“ท-ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ หรือเป็นเพราะว่าเธอจางซิวยิง เธอเป็นอะไรกับเจ้า” หวังหมิงร่ำร้องด้วยน้ำมูกและน้ำตา
ซูหยางมองไปที่ท่าทางน่าสมเพชของอีกฝ่ายโดยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าเกลียดมากกว่าคนที่ใช้กำลังข่มเหงผู้อื่นคืออะไร คนที่ใช้อิทธิพลกดดันผู้ที่ไม่อาจจะป้องกันตัวได้ คนแบบเจ้า”
ซูหยางเริ่มก้าวตรงไปยังหวังหมิงที่สั่นสะท้านอย่างช้าๆ
“ถึงแม้ว่าจางซิวยิงจะไม่ขอร้อง ข้าก็จักกำจัดเจ้าอยู่แล้วเพื่อที่โลกนี้จะได้มีผู้เคราะห์ร้ายน้อยลง”
สีหน้าของหวังหมิงซีดราวกับกระดาษในตอนนี้ ราวกับว่าไม่มีเลือดในกายเหมือนกับผีดิบ
“ด-ด-ได้โปรด…ข้าขอวิงวอน…อ-อย่าฆ่าข้า…” ใบหน้าหวังหมิงเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ดูราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นคนรักตายในอ้อมแขน ขาของเขาขยับอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถอยหนึ่งก้าวยามซูหยางก้าวหนึ่งก้าว
“ฆ่าเจ้ารึ อย่ากังวล ข้ามิฆ่าเจ้าหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
ดวงตาของหวังหมิงมีประกายขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ รู้สึกมีความหวังขึ้นเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเมื่อซูหยางพูดต่อ
“ความตายช่างเบาบางในการลงโทษคนเช่นเจ้า ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดที่เกินทนที่เจ้าจักร่ำร้องให้ข้าฆ่าเจ้าแทน”
“ด-ด-เดี๋ยว…ไม่…โปรด…” ใบหน้าหวังหมิงมีแต่ความหวาดกลัวเหนือกว่าทุกสิ่งที่เขาเคยได้ประสบมา
“ช-ช-ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย มีผู้บุกรุกพยายามฆ่าข้า”
หวังหมิงพลันเริ่มตะโกนร้องสุดเสียง ถ้าเขาไม่สามารถหยุดซูหยางได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจะต้องกระตุ้นคนทั้งนิกายและให้พวกเขาจัดการกับอีกฝ่ายแทนเขา
“ใครก็ได้ช่วยด้วย มีผู้บุกรุก เขาเป็นสายลับพยายามที่จะทำลายนิกายดอกบัวเพลิง”
หวังหมิงได้ตะโกนร้องต่อไปชั่วขณะ แต่ถึงจะร่ำร้องต่อไปอีกหลายนาที ก็ไม่มีใครที่จะมาช่วยเขา ไม่แม้เพียงเงา
“ก-เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีใครมาเลย” หวังหมิงมองไปรอบๆด้วยท่าทางสับสน แน่นอนว่าบางคนต้องได้ยินเสียงเขาต่อให้ว่าพวกเขาหลับสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แต่ทำไมจึงยังไม่มีใครมาถึงทั้งที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน
“มีอะไรผิดพลาดไปรึ บางทีเจ้าอาจจะตะโกนเสียงไม่ดังพอ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่พยายามตะโกนให้นานกว่านี้อีกหน่อย” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าผ่อนคลายของเขา ราวกับว่าเขากำลังสนุกจากการมองดูหวังหมิงร่ำร้องอย่างสับสน
“จ-เจ้าทำอะไรลงไป นี่เป็นการกระทำของเจ้าใช่หรือไม่ จริงแล้วเจ้าเป็นใคร” หวังหมิงพูดด้วยเสียงแหบแห้งซึ่งเป็นเหตุมาจากการตะโกนร้อง
“ข้าคาดว่าเจ้าจะต้องทำอะไรเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงสร้างค่ายกลรอบสถานที่นี้ไว้ก่อนหน้า ค่ายกลที่ป้องกันเสียงเล็ดลอดออกไปไม่ว่าเจ้าจะกรีดร้องดังเพียงใด เจ้าควรขอบใจข้าในเมื่อเจ้ามิต้องกังวลว่าใครจะมารบกวนยามเมื่อเจ้ากรีดร้องเหมือนหมู…”
“ไม…ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”
หวังหมิงไม่อาจมองเห็นว่านี่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อยามเมื่อเขามองไปยังซูหยาง และเพียงสามารถเห็นปีศาจร้ายยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของซูหยาง
ซูหยางรู้สึกเหมือนไม่ต้องการยืดให้ล่าช้าต่อไปอีก เขาตรงเข้าไปหาหวังหมิงอีกครั้งขณะที่พูดไปทุกก้าวว่า “ติดกับดัก…ช่วยไม่ได้…กลัว…หมดหวัง….สิ้นหวัง…ปวดร้าว…เกลียด…ไร้อำนาจ… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่เจ้าทำกับเหยื่อของเจ้า และกรรมสนองย่อมเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าเป็นผู้จัดการ”
เมื่อหวังหมิงไม่คิดสูักับซูหยาง เขาหันหลังกลับวิ่งหนีทันทีแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีเงื้อมมือซูหยางได้
“ทำไมเจ้าจึงวิ่งหนี”
วูบ
ความกระหายเลือดพลันปรากฏขึ้นจากซูหยางทันทีที่เขาดึงกระบี่ออกมา และในชั่วเวลาไม่ถึงวินาที ซูหยางก็สะบัดกระบี่ ส่งประกายกระบี่วาดผ่านไปยังหวังหมิงที่วิ่งหนี
และเพราะว่ามันพุ่งตามหลังเขา หวังหมิงย่อมไม่รู้ความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาถูกไล่จู่โจมโดยกระบี่จากซูหยาง
และทันใดนั้นประกายกระบี่ที่สร้างขึ้นโดยซูหยางก็เข้าถึงตัวหวังหมิง เช่นเดียวกับการตัดกิ่งไม้สองกิ่งด้วยกระบี่ มันตัดผ่านขาสองข้างของหวังหมิง ยับยั้งความสามารถในการยืนของเขาอย่างสิ้นเชิง ยิ่งอย่ากล่าวถึงการวิ่งอีกต่อไป
“อาาาาาาาาาาาาาาา”
เมื่อถูกตัดขาออกอย่างฉับพลันและปราศจากความสามารถที่จะวิ่งอีกต่อไป หวังหมิงล้มหน้าทิ่มและร่ำร้องอย่างปวดร้าว เสียงแหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ครั้นเมื่อหวังหมิงล้มลงบนพื้น ซูหยางก้าวมาหาเขาอย่างสบายๆพร้อมกับยกกระบี่สูงขึ้นไปบนฟ้า
“ด-ด-เดี๋ยว…” หวังหมิงพยายามต่อต้านความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั่วไปยังร่างกายท่อนล่างเพื่อร้องขอความกรุณา
“ไม่” ซูหยางพูดเสียงเย็นเยียบขณะที่กระบี่ในมือตวัดฟาดลงไปยังหวังหมิง
ฉับ
หวังหมิงพลันรู้สึกว่าบอลสองลูกที่แขวนอยู่ช่วงล่างของร่างกายแตกระเบิดออกเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน
“?&@*#$^%&@!” เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าหวาดกลัวออกมาจากหวังหมิงในวินาทีต่อไปซึ่งไม่คล้ายกับเสียงที่เกิดจากมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงหมูร้อง
และเพราะว่าความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องบนร่างของเขา หวังหมิงจึงหมดสติไป และตื่นขึ้นมาในสองสามวินาทีถัดไปจากความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ยังคงกระแทกลึกเข้าไปในร่าง และความเจ็บปวดนั้นก็วนรอบซ้ำไปมาต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
และในเมื่อซูหยางไม่ต้องการให้หวังหมิงตกตายจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาบังคับยาฟื้นฟูคุณภาพสูงเข้าไปในคอของหวังหมิงเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายสร้างเลือด เก็บชีวิตเขาให้ยังคงอยู่
“โปรด..เพียงฆ่าข้าก็พอ…” หวังหมิงรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงจากการกรีดร้องทั้งหมดจนเขาไม่มีแรงที่จะร่ำร้องอีกต่อไป และดังที่ซูหยางได้กล่าวก่อนหน้านี้ หวังหมิงเริ่มอ้อนวอนให้ฆ่าเขาแทน
“เจ้าอาจจะพอแล้ว แต่ข้ายังไม่จบเรื่องกับเจ้า ค่ำคืนยังเพิ่งเริ่มต้น เช่นนั้นเรามาสนุกกันจนถึงที่สุด…” ซูหยางพูดด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สา หรี่ตาบนใบหน้าหล่อเหลา สายตาเย็นชาจับจ้องตรงไปถึงจิตใจหวังหมิงที่ขณะนั้นได้เกือบพังทลายลงแล้ว
“นายท่าน…ได้โปรด…เมตตา…” หวังหมิงสิ้นสติไปอีกครั้งจากความตกใจเพียงเพื่อที่จะฟื้นคืนกลับมาในเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเพราะว่าซูหยางได้เตะไปยังรอยแผลเปิดอย่างแผ่วเบา