DC บทที่ 206: ถูกล้อมด้วยผู้มีฝีมือ
การระเบิดบนท้องฟ้าคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่ใช้ได้ยามเมื่อคนของนิกายดอกบัวเพลิงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่ใช่ศิษย์ทุกคนของนิกายดอกบัวเพลิงจะได้รับวัตถุนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักจึงจะได้รับสิ่งนี้เนื่องเพราะว่าพวกเขามีความสำคัญต่อนิกาย
และตามกฏของนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองกำลังทำอยู่เพื่อตอบสนองต่อการขอความช่วยเหลือหากว่าได้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ข้างหน้า
เมื่อการระเบิดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักภายในนิกายที่สังเกตเห็นเปลวเพลิงต่างพากันหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำทันทีและเริ่มมุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เกิดการระเบิด
ภายในไม่กี่นาที ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ระดับสูงหลายร้อยคนต่างพากันปรากฏตัวยังบริเวณซูหยาง สร้างความตระหนกให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่แถวนั้น ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเห็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์เองจำนวนมากมารวมตัวกันในพื้นที่เดียวมาก่อนยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่
การถูกรายล้อมโดยศิษย์และผู้อาวุโสนับพันจากนิกายดอกบัวเพลิงนับตั้งแต่เขตสัมมาวิญญาณไปจนถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยฉับพลัน ใครต่างก็คาดคิดว่าศิษย์รุ่นหลังเด็กๆอย่างเช่นซูหยางต้องฉี่ราดกางเกงและสลบไปด้วยความหวาดกลัว แต่ตามความเป็นจริง ซูหยางเพียงแค่ยิ้มอย่างเยือกเย็นกับสถานการณ์เช่นนี้และกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่แขนหักว่า “ช่างเป็นกระต่ายตื่นตูม ข้ายังมิได้แตะต้องเจ้าด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับทำเรื่องใหญ่หาความช่วยเหลือมาอย่างมากมายราวกับว่าเจ้ากำลังอยู่บนเส้นตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโจมตีข้าเมื่อกี้นี้ เช่นเดียวกับศิษย์ของเจ้า ช่างไร้ยางอาย”
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ผู้อาวุโสเหลา ทำไมเจ้าจึงใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ”
ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางสับสนเมื่อเห็นสถานการณ์ จากมุมมองของพวกเขาไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติที่นี่เมื่อแรกเห็นที่จำเป็นต้องใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ สิ่งที่ต้องใช้ในสถานการณ์ที่ถึงตายเท่านั้น
“จ-จ-เจ้าคนเลวตรงนั้นเป็นผู้บุกรุก มิเพียงแต่เขาทำมือข้าพิการ แต่จากสิ่งที่ข้าได้รับรู้มา เขามาที่นี่ด้วยเจตนาที่จะสร้างอันตรายใหญ่หลวงกับนิกายดอกบัวเพลิงด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา บรรดาผู้อาวุโสนิกายหันไปมองดูซูหยางพร้อมกับขมวดคิ้วย่นบนใบหน้า
“ผู้บุกรุก เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ในจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะทำร้ายพวกเรา”
ผู้อาวุโสนิกายต่างมีท่าทางสงสัย แต่ปฏิกิริยาเช่นนั้นย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ใช่สถานที่ที่สามารถคุกคามพวกเขาได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมเต็มกำลัง อย่าว่าแต่เพียงแค่ศิษย์เพียงคนเดียวจากที่แห่งนั้น
“เอ้อ…” ผู้อาวุโสเหลาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองเร่งรีบใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือเร็วเกินไป ถ้าเขาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมในการใช้ เขาอาจจะเป็นคนที่ถูกลงโทษแทนที่จะเป็นซูหยาง สำหรับการเสียทรัพยากรและเวลาอันมีค่าของทุกคน
พลันนั้นเองเขาก็นึกถึงหวังหมิงซึ่งสิ้นชีวิตไปอย่างลึกลับก่อนหน้านั้น เขาจึงกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ซูหยางว่า “ศิษย์ของข้าเห็นเจ้าเลวนี้ฆ่าหวังหมิง”
แน่นอนว่าผู้อาวุโสเหลาย่อมไม่รู้ว่าซูหยางฆ่าหวังหมิง และพียงโกหกพกลมเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายดูอันตรายมากขึ้น แต่เขาจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าเขาได้เปิดเผยความจริงได้โดยบังเอิญ
“อะไรกัน จริงรึ”
วิธีที่ผู้อาวุโสนิกายใช้มองซูหยางพลันเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินผู้อาวุโสเหลาแก้ตัวมั่วๆ
กระทั่งซูหยางยังมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเรื่องหวังหมิงถูกยกขึ้นมา เขามั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเมื่อตอนที่เขาฆ่าหวังหมิง แต่ผู้อาวุโสเหลาคนนี้กลับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“ร-รอสักครู่”
เสียงหวานแว่วขึ้นด้านหน้าซูหยางก่อนที่เขาจะทันได้พูด และร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“ข-เขามิได้ทำเช่นนี้ด้วยเจตนาอันเป็นอันตรายต่อนิกาย แต่นั่นเป็นเพราะข้า” คนผู้นั้นกล่าว
ซูหยางมองไปยังสาวน่ารักตรงหน้าเขาด้วยดวงตากลมกว้าง ซึ่งปรากฏว่าคือจางซิวยิง
แม้ว่าซูหยางไม่เคยบอกจางซิวยิงเรื่องการฆ่าหวังหมิง เธอมั่นใจว่าซูหยางได้ฆ่าหวังหมิงเพื่อเธอเมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับการตายของอีกฝ่ายหลังจากสิ่งที่ซูหยางได้พูดกับเธอไว้ก่อนหน้านี้
“และเจ้าคือใครกัน”
ผู้อาวุโสนิกายหลายคนไม่อาจจดจำจางซิวยิงได้ จึงถามเธอ
“ข-ข้าคือจางซิวยิง….” เธอแนะนำตัวเองด้วยเสียงเอียงอาย
“ศิษย์จาง เจ้าหมายความว่าอะไรกับคำกล่าวเมื่อกี้นี้ ช่วยอธิบายหน่อย”
จางซิวยิงพยักหน้าและอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างลวกๆว่า หวังหมิงได้ใช้ฐานะศิษย์ในของตนเองกดขี่ศิษย์นอกที่เป็นหญิงไปร่วมหลับนอนกับเขาอย่างไร หลังจากนั้นเธออธิบายเกี่ยวกับว่าซูหยางได้ช่วยเธอแก้แค้นหวังหมิงอย่างไร
“ใครจะคิดว่าคนอย่างเช่นหวังหมิงกลายเป็นคนแบบนี้…”
ผู้อาวุโสและศิษย์หลายคนสะอิดสะเอียนยิ่งนักเมื่อรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหวังหมิง บางคนกระทั่งรู้สึกยินดีต่อซูหยางที่ได้ฆ่าเขา ในเมื่อพวกเขาก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน
ซูหยางมองดูทุกสิ่งเหล่านี้เปิดเผยต่อหน้าเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ดำเนินไปได้โดยเขาไม่ต้องพูดแม้แต่เพียงคำเดียว
“นั่นถูกต้องแล้ว ข้าเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิง” สุดท้ายซูหยางได้แต่สารภาพว่าฆ่าหวังหมิงแม้ว่าจะมีเจตนาที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้
เมื่อผู้อาวุโสเหลาได้ยินคำสารภาพของซูหยาง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขามิคิดว่าคำพูดไร้สาระของเขาจะกลายเป็นความจริง
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีชายชราปรากฏตัวขึ้นจากภายในฝูงชนและยืนห่างสองสามเมตรจากซูหยาง สายตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและชื่นชมเมื่อมองดูซูหยาง
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน” เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พลันจำชายชราคนนี้ที่มีผมยาวสีขาวและหนวดเคราฟู
“เจ้า…ทำไมเจ้าจึงปลอมตัวเป็นเพียงศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดขณะที่ลูบบนเครายาวของตนเอง
“ว่ากระไร เขามิใช่ศิษย์ของที่นั่นรึ กระนั้นเขาก็ยังสวมเครื่องแบบของที่นั่น” ทุกคนมีท่าทางสับสนเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน
“บางคนอาจจะได้กระทั่งเสื้อผ้าเฉพาะด้วยความพยายามอยู่บ้าง และเจ้าอาจจะดูเหมือน “อ่อนแอ” แต่เจ้ามิอาจหลอกข้าได้…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานจ้องเขม็งไปยังซูหยางด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุอีกฝ่าย
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” ซูหยางถามเขาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“แม้ว่ามิมีใครในที่นี้สามารถมองเห็นพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเจ้าได้ แต่ข้าก็มิได้โทษพวกเขา ในเมื่อมีเพียงผู้ที่อยู่เขตอัมพรวิญญาณเช่นข้าจึงสามารถที่จะมองเห็นระดับปฐพีวิญญาณระดับสูงสุดของเจ้าได้…”
“ว่ากระไร เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของซูหยางว่าเป็นเขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด ทุกคนในที่นั้นต่างพากันอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสเหลาถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้าจากความตกใจ
กระทั่งจางซิวยิงอดที่จะอ้าปากค้างด้วยความตระหนกไม่ได้ เธอมองดูซูหยางด้วยหน้าตาสับสนเหมือนว่าไม่อยากเชื่อ
ขณะที่ผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณอาจจะไม่มีค่ามากนักในทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง แต่ถือว่าระดับสุดยอดของยุทธภพในที่แห่งนี้