DC บทที่ 211: ความวุ่นวายที่ศาลาหยินหยาง
หวังชูเหรินซึ่งกำลังมีความสุขกับความสามารถใหม่ทางด้านการปรุงยาอย่างลึกล้ำอยู่ภายในห้องปรุงยาด้วยการปรุงยาไม่หยุดยั้งพลันรู้สึกว่าหยกสื่อสารในชุดคลุมสั่นสะเทือน
แม้ว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมารบกวนของเธอ หวังชูเหรินก็ยังตรวจดูหยกสื่อสาร ในเมื่อมีเพียงคนสำคัญไม่กี่คนภายในนิกายดอกบัวเพลิงที่จะติดต่อกับเธอ
“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ตาเฒ่านั่นต้องการอะไรจากข้ากัน” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งเคยได้รับการติดต่อจากเขา
“ผู้อาวุโสหวัง ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะมาปรึกษา ข้าจักรออยู่ด้านนอกที่พักของท่าน” เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันดังขึ้นจากหยกสื่อสาร
“เรื่องสำคัญ” หวังชูเหรินไม่ได้ออกไปจากที่พักทันทีเพื่อพบกับเขาและยังคงปรุงยาต่อไป
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหวังชูเหรินปิดฝาเตาและออกจากห้องไปทำความสะอาดตนเองก่อนที่จะไปพบกับผู้อาวุโสสูงสุดหาน
แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะมีฐานะเป็นเพียงรองผู้นำนิกายเท่านั้น สูงเหนือกว่าผู้อาวุโสนิกายใดๆในความเป็นผู้อาวุโส แต่หวังชูเหรินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตนเองโดยไม่กังวลอะไรเกี่ยวกับเขาซึ่งยังคงรอเธออย่างอดทนอยู่ภายนอก ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหวังชูเหรินเป็นตัวตนที่พิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับลำดับชั้นของนิกาย ในเมื่อเธอเป็นเพียงคนเดียวในทั้งนิกายที่รู้วิธีปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ยาที่เป็นเครื่องหมายของนิกายดอกบัวเพลิง
ผู้นำนิกายเคยพยายามหลายครั้งเพื่อที่จะให้หวังชูเหรินแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงแบบสมบูรณ์ แต่หวังชูเหรินล้วนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ในแต่ละครั้ง กระทั่งไปไกลถึงขั้นพูดว่าเธอจะออกไปจากนิกายถ้าเขากล้ากดดันเธอ
สูญเสียหวังชูเหรินและยาของเธอย่อมเป็นผลร้ายต่อนิกายดอกบัวเพลิง ดังนั้นผู้นำนิกายจึงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว ยอมให้เธอมีบางสิ่งคล้ายกับความเป็นอิสระภายในสำนัก
อีกนัยหนึ่งแม้ว่าหวังชูเหรินจะไม่ได้อยู่เหนือผู้นำนิกาย แต่เธอก็มีอิทธิพบมากกว่าเขาในบางเรื่อง สิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ได้แต่เพียงฝันไฝ่
“ขออภัยที่ต้องให้รอ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ข้าอยู่ระหว่างการปรุงยา” หวังชูเหรินทักทายเขาอย่างง่ายๆที่ประตู
“ผู้อาวุโสหวัง…” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อยในใจเนื่องมาจากการไร้ความเร่งด่วนของเธอ เขายังคงมีท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้า
หลังจากนั้นชั่วขณะเมื่อพวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องรับแขก หวังชูเหรินถามเขาว่า “อะไรคือเรื่องสำคัญที่ท่านมีกับข้า ผู้อาวุโสสูงสุดหาน”
“ท่านรู้จักชายคนที่ชื่อซูหยางหรือไม่” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดตรงประเด็น
“…ซูหยาง” หวังชูเหรินพลันขมวดคิ้ว เธอไม่คาดคิดว่าชื่อของซูหยางจะออกมาจากปากของผู้อาวุโสสูงสุดหาน
มองเห็นท่าทางของเธอ ผู้อาวุโสหานสามารถเดาคำตอบของเธอได้จึงได้กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าข้ามิรู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา พวกเราพบว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิงญาติของท่าน”
ดวงตาหวังชูเหรินเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร มีใครจับท่าทางเขาได้หรือว่าเขาทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่เจตนา
“แค่…แค่นั้นรึ” หวังชูเหรินกลับคืนสู่ท่าทางสงบหลังจากนั้นไม่กี่วินาที
“ท่านพูดว่า…แค่นั้นรึ หรือ” เป็นตาที่ผู้อาวุโสหานกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจ นี่เป็นท่าทางเมื่อรู้ชื่อของคนฆ่าญาติของเธออย่างนั้นหรือ ไม่ต่างอะไรจากไร้เยื่อใยอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าการตายของหวังหมิงไม่มีความหมายต่อเธอแม้แต่เพียงน้อยนิด
“มีมากกว่านั้น” เขากล่าวต่อ “ผู้นำนิกายร้องขออย่างแข็งขันอย่าให้ท่านไล่ตามแก้แค้นเขา ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เกิดปัญหามากมาย”
ได้ยินคำพูดของเขาหวังชูเหรินก็แอบแค่นเสียงเย็นชาอยู่ใจ เธอไม่มีทางตามหาซูหยางต่อให้พวกเขาบีบให้ไป
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวังชูเหรินพูด
“ท่าน.. ท่านเข้าใจแล้วรึ” ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูเธอด้วยท่าทางงงงัน
“ข้าพูดอะไรเช่นนั้น มิใช่รึ”
“…”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานไร้คำพูด เขาไม่คิดว่าหวังชูเหรินจะตกลงอย่างง่ายดาย นั่นเหมือนกับว่าเธอไม่มีเจตนาจะแก้แค้นตั้งแต่ต้น ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับคนอย่างเธอ
“ถ้านั่นเป็นเรื่องทั้งหมดที่ท่านต้องการพูดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญนี้ เช่นนั้นข้าจักขอตัวกลับไปปรุงยาต่อ” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอยืนขึ้นจากที่นั่งของเธอ
“ถ-ถ้าท่านมิถือข้าจักขอถามว่า ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับชายคนที่ชื่อซูหยาง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานยืนขึ้นและถามเธออย่างเร่งร้อน
หวังชูเหรินมองดูตาเขาด้วยท่าทางจริงจังและกล่าวว่า “เขาเป็นแค่เพียงแขกที่ข้าพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง”
“ช-เช่นนั้นทำไมท่านจึงดูไม่สนใจ เขาฆ่าหวังหมิง ครอบครัวของท่าน ท่านรู้ไหม” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานมีเจตนาป้องกันเธอไม่ให้แก้แค้น แต่เขาก็อดอยากรู้คำตอบไม่ได้แม้ว่านั่นอาจจะทำให้เธอไปแก้แค้นให้หวังหมิง
“ครอบครัวของข้ารึ” หวังชูเหรินหรี่ตาลงจนคิ้วขมวด “เพียงเพราะว่าเราใช้นามสกุลร่วมกันมิได้หมายความว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านควรตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ สิ่งที่เห็นแก่ตัวและน่าขยะแขยง ต่อให้เขาถูกฆ่าต่อหน้าข้า ข้าก็มิคิดจะแก้แค้นให้กับคนอย่างเขา ถ้าท่านต้องการคนที่จะแก้แค้นแทนเขา เช่นนั้นท่านควรไปหาพ่อแม่ของเขา”
เสียงของหวังชูเหรินเย็นเยือกและเต็มไปด้วยความขยะแขยง ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการตายของหวังหมิง กระทั่งรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติที่มีนามสกุลเดียวกับเขาด้วยซ้ำ
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานงงงันกับท่าทางเย็นชาของหวังชูเหริน เขาประเมินตัวตนของหวังชูเหรินต่ำไป
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหานออกจากที่พักของหวังชูเหรินและรายงานกลับไปยังผู้นำนิกาย ผู้ที่ค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของหวังชูเหริน
“อ-อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกโล่งอกที่ได้ยินว่าเธอจักไม่ตามหาชายคนที่ชื่อซูหยางเพื่อแก้แค้น…” ผู้นำนิกายถอนหายใจโล่งอก
หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “เรามาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กันและกลับไปสนใจเรื่องการแข่งขันระดับภูมิภาคแทน”
“การแข่งขันระดับภูมิภาค หึ ข้าได้ยินว่าเจ้าหญิงของตระกูลเซี่ยก็จักไปที่นั่นเพื่องานนี้”
“ใช่แล้ว” ผู้นำนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “และนั่นย่อมทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากต่อเหล่าศิษย์ชาย ในเมื่อพวกเขาล้วนต้องการให้เธอประทับใจ”
ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวเราะและกล่าวว่า “อย่างน้อยแรงจูงใจของพวกเขาย่อมสูงขึ้นเมื่อเวลามาถึง”
พวกเขาทั้งคู่พูดคุยต่อไปอีกสองสามนาทีเพื่อระบายความเครียดในใจเพื่อให้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก่อนที่จะกลับไปทำงานประจำวัน
ในเวลานั้นซูหยางเพิ่งกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยบนเรือบิน อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังร่อนลงมาจากท้องฟ้า เขาสังเกตเห็นความวุ่นวายใกล้กับศาลาหยินหยาง
ที่นั่นมีคนที่ไม่คุ้นเคยเดินเข้าออกอาคาร และพวกเขาล้วนสวมชุดที่สวมโดยพวกหมอ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือมีผู้อาวุโสนิกายจำนวนมากยืนอยู่ด้านนอกศาลาหยินหยางด้วยท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า ทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นมืดหม่น ราวกับว่าบางคนกำลังใกล้สิ้นใจในที่นั้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น” ซูหยางตัดสินใจที่จะหยุดแวะศาลาหยินหยางเพื่อตรวจดูความวุ่นวายด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงกระโดดออกจากเรือบินและใช้ก้าวเก้าดารานำทางเขาไปยังศาลาหยินหยางโดยไม่มีใครสังเกตพบ ปรากฏตัวเหนืออาคารหลังจากนั้นไม่นานนัก