การตายของหวังหมิง
ภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนในค่ายกลป้องกันเสียง ซูหยางทรมานหวังหมิงนานกว่าสองชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ทำราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ในขุมนรก ซูหยางย่อมไม่มีความเห็นใจกับคนดังเช่นหวังหมิง ซึ่งไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้อื่นเพื่อความปรารถนาลามกของตนเอง
“นี่ช่างน่าเบื่อ” ซูหยางกล่าว ไม่แม้จะกระพริบตาจากการได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของหวังหมิงหรือสนใจกับท่าทางเจ็บปวดของอีกฝ่าย
“….”
หวังหมิงสิ้นเสียงไปนานแล้วจากการกรีดร้องมากเกินไป ดวงตาของเขาเหลือกขาวโดยไม่เห็นลูกตาดำ ร่างกายของเขาสั่นกระตุกเหมือนแมลงที่ถูกบี้ และมีฟองน้ำลายออกมาจากปาก
และแม้ว่าหัวใจของเขายังคงเต้น อาจถึอได้ว่าหวังหมิงได้ตายไปแล้วจากสภาพของเขาในตอนนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับหวังหมิงมากที่สุดทั้งหมดนี้ก็คือ การที่ซูหยางไม่ได้หยุดหลังจากที่ทำลายลูกบอลสองลูกและยิ่งไปกว่านั้นคือการเฉือนทิ้งแท่งของเขา ทำลายความเป็นชายอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังหัวเราะให้กับเขากับขนาดที่เล็กจ้อยหลังจากนั้น
“หืม” ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าหัวใจของหวังหมิงได้หยุดเต้นสองสามอึดใจหลังจากนั้น
“ไอ้ย่า…แม้ว่าข้าได้พูดว่าข้ามิฆ่าเจ้า…ช่างน่าละอาย…” ซูหยางมองไปยังร่างไร้ชีวิตของหวังหมิงโดยไร้แววความรู้สึกในดวงตา เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เห็นความเป็นมนุษย์จากร่างของหวังหมิงแต่เป็นเพียงแค่กองขยะเท่านั้น
สองสามวินาทีต่อจากนั้นซูหยางก็โบกชายเสื้อเพียงเล็กน้อย และไฟปรุงยาดวงเล็กก็ถูกเหวี่ยงลงไปบนร่างของหวังหมิง กลืนกินศพของเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของหวังหมิงก็คือเถ้าจากร่างของเขา
ครั้นเมื่อตัวตนของหวังหมิงถูกลบหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ ซูหยางก็ถอนค่ายกลและเดินอย่างสบายๆกลับไปยังบ้านของจางซิวยิง ราวกับว่าสองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ซูหยาง…” จางซิวยิงผู้ซึ่งหลับอยู่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อซูหยางเข้าไปในห้อง
“ข้ามีปัญหาการนอนหลับดังนั้นข้าจึงออกไปเดินเล่น” เขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
จางซิวยิงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาออกไปจากห้องแม้แต่น้อย
“นั่นค่อนข้างอันตรายสำหรับท่านในการเตร็ดเตร่ไปทั่วนิกายในเวลานี้…ตามกฏนิกายท่านมิควรจะอยู่ที่นี่ตอนนี้ สุดท้าย…” เธอเตือนเขา
“มิมีใครสังเกตเห็นข้า ดังนั้นข้ายังคงสบายดี” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาขึ้นไปบนเตียงที่จางซิวยิงกำลังนอนอยู่ ไม่แม้จะพูดถึงเรื่องที่หวังหมิงจะจู่โจมเธอคืนนี้
ซูหยางไม่ได้ลบหวังหมิงไปเพราะว่าเขาต้องการทำให้จางซิวยิงพอใจ หรือว่าเขาคาดหวังรางวัลจากเธอเพราะการกระทำของเขา เขาทำเช่นนี้เพราะว่าเขาเกลียดผู้คนแบบนั้นและต้องการให้อีกฝ่ายสูญหายไปอย่างแท้จริง ดังนั้นในใจของเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกจางซิวยิงเกี่ยวกับหวังหมิงแม้แต่น้อย ซึ่งในที่สุดเธอก็จะต้องพบเห็นไม่ช้าก็เร็ว
สองสามวินาทีต่อมายามเมื่อเขาอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซูหยางก็โอบกอดร่างของจางซิวยิงซึ่งเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ หลับไหลไปพร้อมกับความอบอุ่นของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ
–
–
–
ยามเช้าวันถัดมาซูหยางจากที่พักของจางซิวยิงแต่เช้าและกลับไปยังห้องของหวังชูเหรินเพื่อดูว่าเธอก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใดในชั่วข้ามคืน
“ข้าแปลกใจเหลือเกินที่ท่านมิถูกจับยามเดินไปทั่วนิกายหลังจากเที่ยงคืน ท่านไปไหนรึ ท่านได้ออกจากนิกายไปหรือเปล่า” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาเมื่อเธอไม่ได้ยินว่ามีความวุ่นวายใดคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังไว้
“นี่เป็นความลับ” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตามแสดงความก้าวหน้าของเจ้าซิ”
หวังชูเหรินนำเอาขวดออกมาสองขวดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แต่ละขวดบรรจุโอสถมังกรเพลิงไว้หนึ่งเม็ด
“ไม่เลวเมื่อพิจารณาว่าเจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งคืน” ซูหยางพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยา
“อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงห่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้ในใจ”
“…” หวังชูเหรินจนวาจา แค่ไหนกันสำหรับศาสตร์แห่งการปรุงยาที่เธอต้องก้าวหน้าไปก่อนที่เธอจะได้ปรุงยานั่น หรือว่ายาที่เขาต้องการให้เธอปรุงนั้นเป็นยาระดับเซียน นั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียดของยาให้กับเธอ เพราะว่ามันจะทำให้เธอสูญเสียความมุ่งมั่น
“อย่ากังวลข้าจักอยู่ที่นี่เพื่ออบรมเจ้าจนกว่าเจ้าจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งไม่ไกลมากนักต่อไปภายหน้า” ซูหยางกล่าวต่อ
“ท่านคิดว่ามันต้องใช้เวลาเท่าไหร่” หวังชูเหรินอดถามไม่ได้
“ก่อนอาทิตย์ตกดิน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
“ร-เร็วปานนั้นเลยรึ” หวังชูเหรินงงงัน
ไม่นานนักยามเมื่อหวังชูเหรินเปลี่ยนชุดสกปรกออกไปแล้ว ซูหยางเริ่มอธิบายเธออีกครั้ง
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้เพียงแค่ยืนพูดในคราวนี้ เขาสอนเธอในขณะที่เธอปรุงยาไปด้วย ทำให้เธอได้รับวิชารวดเร็วกว่าเดิม
ทุกความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซูหยางจะพบเห็นมันได้ทันทีและชี้มันออกมาให้เธอเปลี่ยนแปลง
และหลังจากที่ถูกสอนโดยซูหยางไม่กี่ชั่วโมง หวังชูเหรินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ในฐานะผู้สอนเช่นกัน
แม้ว่าซูหยางดูเหมือนอธิบายเธออย่างง่ายๆ แต่นั่นกลับมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างพวกเขาในเรื่องของความสามารถที่จะส่งผลกระทบให้กับผู้ที่พวกเขาสอน และนั่นทำให้หวังชูเหรินรู้สึกละอายใจในการอยู่เคียงข้างเขาในฐานะผู้สอน
เธอรู้ว่าไม่ว่าจะใช้เวลามากมายเท่าไหร่ในฐานะผู้สอน เธอจะไม่มีวันที่จะลอกเลียนสิ่งที่ซูหยางทำให้กับศิษย์ของเธอได้
“มันยากที่จะเชื่อถือในใบหน้าอ่อนเยาว์ของท่าน ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญหลายอย่างเช่นนี้… ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าท่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมมาแต่โบราณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยท่าทางอยากรู้
ซูหยางแสดงท่าทางลึกลับให้กับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “เจ้าต้องถูกหลอกลวงที่จะอ้างอิงรูปร่างหน้าตาของผู้คนในยุทธภพ และนั่นเป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ”
“ข้าสามารถที่ใช้คำก่อนหน้านั้นมายืนยันกับตัวเองตอนนี้ได้หรือไม่ที่ว่าท่านเป็นชายชราที่แปลงกายมา” หวังชูเหรินมองดูเขาพร้อมหรี่ตา
“นำสิ่งที่เจ้าต้องการไปจากคำพูดของข้า แต่อย่างไรก็ตามร่างกายของข้านี้อายุเพียงสิบหกปีแน่นอน”
“หือ ท่านอายุเพียงสิบหกปีเองรึ” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยตากลมโตและกรามร่วงลงสู่พื้น ท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและตระหนก ราวกับว่าเธอมองดูภูตผี