DC บทที่ 212: การทรยศ
ยามเมื่อเขาอยู่บนยอดของศาลาหยินหยาง ซูหยางใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายในอาคาร
“ไอ๊หยา…ข้ามิเคยเห็นคนไข้แบบนี้มาก่อน… ไม่มีวี่แววความเจ็บป่วยหรืออะไรทั้งสิ้น เธอดูเหมือนหลับสบาย แต่….”
เหล่าหมอภายในห้องงุนงงกับสภาพไร้สติของโหลวหลานจี และไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาเคยดูแลคนไข้แบบนี้มาก่อน
หมอสองสามคนได้ตั้งสมมติฐานว่าเธอถูกพิษ แต่เมื่อพวกเขาได้ตรวจเลือดและปราณไร้ลักษณ์ของโหลวหลานจีก็ไม่พบสัญญาณของการถูกพิษ ตามจริงผลยังแสดงว่าโหลวหลานจีมีสุขภาพแข็งแรงเป็นอย่างยิ่งและไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณความเจ็บป่วยบนร่างเธอ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ โหลวหลานจียังคงอยู่ในสถานะสลบไสลมากว่าสองวันแล้ว ซึ่งทำให้กระทั่งหมอที่ดีที่สุดที่นั่นงงงัน
“นี่มิมีอะไรที่ท่านสามารถทำได้เพื่อปลุกเธอขึ้นมาเลยจริงๆรึ” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นถามหมอ
บรรดาหมอสบตากันก่อนที่จะมองไปยังผู้อาวุโสนิกายด้วยสีหน้าขอโทษ ส่ายหน้า “โชคร้าย นอกจากว่าเราสามารถหาสาเหตุของการสลบไสลของเธอได้ ก็มิมีอะไรที่เราสามารถทำได้ ในเมื่อเธอทั้งไม่ถูกพิษหรือเจ็บป่วย”
“นั่นคงมิใช่ว่า…”
ผู้อาวุโสภายในห้องต่างมีท่าทางไม่เชื่อถือ รู้สึกหมดหวังกับสถานการณ์เบื้องหน้า ถ้าไม่มีผู้นำนิกาย จะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าพวกเขาสามารถหาเจ้าแม่คนใหม่ได้ถ้าโหลวหลานจีและสิ้นชีวิตจากการหลับไหล นิกายยังคงขาดความลับหลายอย่างที่มีแต่โหลวหลานจีล่วงรู้ เช่นวิชาลับและทรัพยากรที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งจะมีผลต่อพลังอำนาจและทรัพย์สินทั้งนิกายอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกันอย่างหนัก ซูหยางก็กระโดดเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ สร้างความตื่นตัวให้กับทุกคนที่นั่น
“เจ้าเป็นใครกันวะ”
อย่างไรก็ตามยามเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นชุดที่เขาสวมอยู่กับตัว ซึ่งเป็นของศิษย์ใน พวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“ใครให้สิทธิ์เจ้ามาที่นี่กัน”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตั้งคำถามเขา
“ศิษย์ซูหยางรึ”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นจดจำใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางได้หลังจากที่มองดูเขาสองวินาที
“ท่านรู้จักเขา ผู้อาวุโสหวู”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นหันไปมองดูหญิงชราเพียงคนเดียวภายในห้อง ซึ่งเป็นคนที่ซูหยางพบระหว่างการทดสอบศิษย์ใน ในตอนที่ยังเป็นศิษย์นอก
“อยู่บ้าง…” ผู้อาวุโสหวูพยักหน้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นจากการเข้ามาของเขา ซูหยางก็เพิกเฉยทุกคนที่นั่นและเดินไปยังโหลวหลานจี ผู้ซึ่งหลับไม่ได้สติบนเตียงของเธอ
“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสต่างพากันตรงไปหยุดเขาเมื่อเขาจับมือของโหลวหลานจี
“พวกท่านต้องการให้เธอตื่นหรือไม่ ให้ข้าพึงใจสักนิดด้วยการเงียบ”
“ว-ว่ากระไร…” ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันมึนงงกับพฤติกรรมอันอุกอาจของซูหยางในเมื่อเป็นเพียงแค่ศิษย์
“แม้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ใน นั่นยังคงมีกฏที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม” ผู้อาวุโสหูกล่าวขณะขมวดคิ้ว
ต่อจากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปลุกผู้นำนิกายตื่นได้”
ซูหยางไม่ได้ตอบกลับผู้อาวุโสหวูในทันที แต่ตรวจชีพจรของโหลวหลานจีโดยใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองชั่วสองสามวินาที
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็ปล่อยมือของโหลวหลานจีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างนั้นนั่นเอง”
“ว่ากระไร เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถทำอะไรได้ในเมื่อพวกเรามิสามารถกระทั่งบ่งบอกได้ว่าทำไมเธอจึงอยู่ในสภาพนั้น”
คนคนแรกในห้องที่เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาไม่ใช่่ผู้อาวุโสนิกายแต่เป็นเหล่าหมอในที่นั้นแทน
“เจ้าพูดว่าเจ้าสามารถปลุกเธอตื่นได้ แต่ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน เจ้ามีใบรับรองว่าเป็นแพทย์หรือไม่”
บรรดาหมอที่นั่นไม่เชื่อว่าคนที่อายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะมีประสบการณ์มากถึงครึ่งของพวกเขาในเชิงของประสบการณ์ทางการแพทย์ อย่าว่าถึงสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับโหลวหลานจีซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดถึงกับมืดแปดด้านด้วยเพียงแค่ตรวจชีพจรเธอเท่านั้น
ซูหยางกวาดสายตาไปยังเหล่าหมอและแค่นเสียงเย็นชา “เพียงแค่ปัญหาง่ายๆแต่พวกเจ้าไม่มีใครสามารถบ่งบอกออกมาได้ พวกเจ้าเป็นหมอจริงๆหรือเปล่า หรือเพียงแค่สวมชุดและทำตัวเหมือนเป็นหมอ”
หมอทุกคนในห้องรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตบหน้าพวกเขาสลับซ้ายขวาเมื่อได้ยินคำตำหนิของซูหยาง พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ดี ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าเพียงสวมชุดหมอ เช่นนั้นข้าก็จักจากไป”
“ข้าเช่นกัน”
“ในเมื่อเจ้าสามารถรักษาเธอ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเราที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ด้วยความโกรธแค้นเพราะว่าคำพูดหมิ่นเกียรติของซูหยาง บรรดาหมอออกจากห้องไปทีละคนสองคน
“ร-รอสักครู่”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นแสดงท่าทางหวาดหวั่นเมื่อเหล่าหมอเริ่มจากไป หากปราศจากพวกเขา โหลวหลานจีอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“อ-อย่าไปฟังคำเจ้าเด็กเลวนี่ มิมีเหตุผลที่จะไปโกรธเพราะว่าคำตำหนิหยาบคายจากเด็กรุ่นหลัง”
บรรดาผู้อาวุโสนิกายต่างพากันพยายามหยุดยั้งพวกเขา แต่น่าเสียดายเหล่าหมอออกไปโดยไม่ไยดี อย่างไรก็ตามไม่ใช่เป็นความผิดของซูหยางทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาจากไป ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเสียเวลาในการรักษาโหลวหลานจีในเมื่อไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาที่สามารถหาปัญหาของเธอได้
อีกนัยหนึ่งพวกเขาใช้ซูหยางเป็นข้ออ้างในการหลบออกไปจากห้องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะหมออีกต่อไปกับการที่ไม่สามารถรักษาโหลวหลานจี ดังนั้นพวกเขาจึงแอบขอบคุณซูหยางอย่างเงียบๆสำหรับโอกาสนี้
และภายในไม่กี่วินาที ก็เหลือหมอเพียงแค่สามคนในห้อง
ผู้อาวุโสนิกายทุกคนหันไปจ้องมองซูหยางด้วยสายตาโกรธแค้นหลังจากเหล่าหมอจากไปแล้ว
“ศิษย์ เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร ถ้าผู้นำนิกายสิ้นชีพจากการหลับไหล เจ้าจักถูกประหารสำหรับการฆ่าผู้นำนิกายในเมื่อการกระทำของเจ้าตอนนี้ไม่ต่างจากการทรยศ”
ได้ยินว่าเขาต้องรับผิดชอบในการฆ่าโหลวหลานจีเพราะทำให้เหล่าหมอจากไป ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “นั่นมิได้เป็นปัญหาต่อข้า ในเมื่อเธอจักตื่นขึ้นคืนนี้แม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม”
“เจ้าว่ากระไรนะ” บรรดาผู้อาวุโสนิกายมองดูเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ