DC บทที่ 370: อัจฉริยะไร้เทียมทาน ซูหยิน
“สำนักอินทรีทองได้ส่งเหยาชางซึ่งอยู่ที่ระดับห้าเขตสัมมาวิญญาณออกมา” สือตงประกาศ
ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นร่างเล็กเดินขึ้นไปบนเวทีและสือตงก็พูดด้วยความตื่นเต้น “สำนักหงส์สวรรค์ได้ตัดสินใจส่งศิษย์คนเล็กที่สุด ซูหยิน ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ในขณะที่มีอายุได้สิบห้าปี เธอได้เข้าสู่จุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ สมกับเป็นอัจฉริยะของตระกูลซู”
“ซูหยินของตระกูลซูงั้นรึ…” ซีซิงฟางเลิกคิ้ว “เธอเป็นน้องสาวของซูหยางงั้นรึ สมกับเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับเขา พรสวรรค์ของเธอค่อนข้างน่ากลัว ถึงกระทั่งก้าวหน้าเกินกว่าข้าถ้ามิใช่เพราะร่างสวรรค์ของข้า”
“ยาศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนกันที่พวกเขาใช้เลี้ยงดูเด็กหญิงคนนี้ เธอเพิ่งจะเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณเมื่อหนึ่งปีก่อน” เจ้าซีก็มีท่าทีประหลาดใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดูซูหยินชั่วขณะ เจ้าซีก็สังเกตเห็นแววของพลังที่อยู่ภายในตัวเธอที่ควรจะเป็นของเขตปฐพีวิญญาณ
“เธอได้ก้าวข้ามผ่านเขตสัมมาวิญญาณสำเร็จเขตปฐพีวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว”
“ข้าเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณตอนที่ข้าอายุสิบหกปี และนั่นส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะร่างสวรรค์ของข้าที่ยอมให้ข้าดูดกลืนปราณไร้ลักษณ์รวดเร็วกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไป สำหรับการที่เธอได้สำเร็จสิ่งนี้โดยไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เธอไม่มีความสัมพันธ์กับเขา ข้าก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาเธออยู่บ้าง…” ซีซิงฟางแอบถอนหายใจขณะที่เธอมองดูร่างของซูหยินระเบิดพลังออกมาและน็อคคู่ต่อสู้หมดสติไปอย่างง่ายดาย
“วิชาที่ซูหยินใช้เมื่อกี้ช่างที่ทรงพลังจริงๆ มันระเบิดพลังในทันทีน็อคเหยาชางหมดสติไปแม้ว่าจะใช้วิชาป้องกัน ถ้าให้ข้าเดานั่นต้องเป็นวิชาระดับอัมพร” สือตงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“แสดงวิชาระดับอัมพรได้อย่างหมดจดตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตของเธอไร้ขีดจำกัด”
“วิชานั้นชื่อว่าอะไรรึ ช่างมีอำนาจทำลายล้างเหลือเกิน”
“สมกับเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของตระกูลซู ตราบเท่าที่พวกเขามีเธออยู่ในตระกูล พวกเขาย่อมกลายเป็นสุดยอดของสี่ตระกูลใหญ่ได้อย่างง่ายดาย”
ผู้ชมต่างพากันตะโกนชื่นชมซูหยินและตระกูลซูหลังจากที่ได้ประจักษ์ถึงความเป็นอัจฉริยะของซูหยินและการแสดงวิชาของเธอ
หลังจากชนะรอบแรก ซูหยินก็หันไปทางซูหยางและโบกมือให้กับเขาด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“เจ้าคิดยังไง นั่นใช้เวลาเธอเพียงแค่อาทิตย์เดียวในการเชี่ยวชาญรูปแบบที่สองของเจ็ดรูปแบบศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นนี้” ไป่ลี่ฮัวมองดูเขาจากเวทีด้วยความพึงใจบนใบหน้าและกล่าวกับเขาโดยใช้สัมผัสวิญญาณ ทำท่าเหมือนกับว่านี่เป็นความสำเร็จของเธอเอง
“ข้าเห็นว่าก็พอใช้ได้” ซูหยางตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ฮึ่ม ชอบทำท่าเหมือนกับว่าทุกอย่างมิมีค่าให้สนใจในสายตาของเจ้า” ไป่ลี่ฮัวแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะเลิกสนใจเขา
ในขณะที่ความก้าวหน้าของซูหยินอาจจะน่ามหัศจรรย์ในสายตาของผู้ฝึกวิชาในโลกนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่ระดับปานกลางในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
หลังจากที่ล้มคู่ต่อสู้คนแรกแล้ว ซูหยินก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อบนเวทีและทำการต่อสู้ต่อรอบต่อไป
“รูปแบบศักดิ์สิทธิ์ที่สอง หมัดวังวนศักดิ์สิทธิ์”
ซูหยินต่อยหมัดออก ส่งปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลบิดอากาศเป็นเกลียวไปยังคู่ต่อสู้ที่กำลังหวาดกลัว
โชคร้ายสำหรับคู่ต่อสู้ซูหยิน ซึ่งเพียงแค่อยู่ที่ระดับเจ็ดเขตสัมมาวิญญาณ เขาหมดทางช่วยกับการโจมตีของเธอและปลิวหมุนควงสว่านกลางอากาศอย่างควบคุมไม่ได้ออกไปจากเวทีหลังจากที่ถูกโจมตี
“ใครเป็นคนถัดไป” ซูหยินยืนอย่างภาคภูมิใจบนเวทีและตะโกนออกมาร แม้ว่าเธอเพิ่งต่อสู้กับคนที่แปดในแถว เธอก็ยังหายใจเป็นปกติ
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมิถึงตาของพวกเราแม้สักคน…”
ศิษย์คนอื่นของสำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันถอนใจ
“ความแตกต่างระหว่างผู้เข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคปีนี้กว้างเหมือนกับผืนฟ้ากับแผ่นดิน ในปีก่อนเรามีเพียงแค่ผู้เข้าร่วมอย่างมากหนึ่งถึงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ อย่างไรก็ตามมีมากกว่าสิบคนในปีนี้ และเกือบทั้งหมดของพวกเขามาจากที่เดียวกัน” ซีซิงฟางเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มขื่นขมภายใต้ผ้าคลุมหน้า
แม้ว่าเธอจะดีใจกับความสำเร็จของอัจฉริยะเหล่านี้ แต่นี่ก็ทำให้การแข่งขันปีนี้ค่อนข้างเป็นแค่การแข่งขันฝ่ายเดียวและทำให้เธอเบื่อ
“และทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากโอสถสู่ปฐพี มันเกือบเหมือนโกง ไม่ มันคือการโกง”
“ใช่ อย่างไรก็ตามมิมีอะไรที่เราสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในเมื่อโอสถสู่ปฐพีปรากฏในเวลาที่ไม่ถูกต้อง บางทีการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งหน้าอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อทุกคนได้รับโอสถสู่ปฐพี” เจ้าซีพูดกับเธอ
“นิกายดอกบัวเพลิงมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่สิบห้าคนที่ระดับปฐพีวิญญาณ นอกจากว่าสำนักอื่นมีพลังอำนาจเท่ากันหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็ค่อนข้างจะประกันได้ว่าพวกเขาจะได้อันดับสองในการแข่งขันนี้”
“เพียงอันดับสองเองรึ เช่นนั้นใครจักเป็นอันดับแรกล่ะ” เจ้าซีถามเธอ
“แน่นอนว่าต้องเป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซีซิงฟางพลันตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“….”
เจ้าซีได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า แม้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับ แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็แทบจะรับประกันได้ว่าเป็นอันดับแรกของการแข่งขันระดับประเทศนี้
หลังจากนั้นไม่นานซูหยินก็เดินออกจากเวทีหลังจากที่ล้มคู่แข่งคนที่สิบของเธอ เอาชนะทั้งสำนักด้วยตัวของเธอเอง ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียงสองครั้งนับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกเกิดขึ้น และแต่ละครั้งล้วนแต่ได้รับมาจากอัจฉริยะไร้เทียมทานที่จะกลายเป็นจอมยุทธผู้โด่งดังในอนาคตทั้งสิ้น
“ว้าว… น้องสาวของศิษย์พี่ชายช่างมหัศจรรย์…”
“ยากที่จะเชื่อว่าเธอมีอายุเท่ากับพวกเราบางคน…”
ศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแสดงความประหลาดใจบนใบหน้าหลังจากที่รู้เห็นถึงอำนาจที่เหนือกว่าของซูหยินบนเวที
ผู้แปล: เช่นเคยครับ บทที่ลงท้ายด้วยเลข 0 ถือเป็นของสมนาคุณเพื่อนนักอ่านทุกคน และฝากติดตามสองเรื่องแปล
แวนดาลู นักเวทแห่งความตาย
ผู้กล้าไร้อาชีพ
ไว้ด้วยนะครับ