Dual Cultivation บทที่ 392: วิชาเหนือโลก
“เฮ้” โหวเยินเจียเรียกซูหยางขณะที่เขาเดินจากไปจากเวที
ซูหยางหยุดเดินและหันไปมองดูอีกฝ่าย
“ขอบคุณ… ที่หยุดเธอไว้” โหวเยินเจียพูดต่อ
“ถ้าเจ้ามิหยุดเธอไว้ นั่นย่อมทำให้เธอสูญเสียอนาคตในฐานะผู้ฝึกวิชา ในกรณีที่เลวร้ายเธออาจจะกลายเป็นคนพิการจากวิชาตีกลับ”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการขอบคุณจริงๆ ส่งสาวสวยที่เต็มใจไปยังที่ข้าอยู่”
โหวเยินเจียไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับคำพูดเช่นนั้นอย่างไรจึงได้แต่เงียบด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ในเวลาเดียวกันนั้นผู้ชมต่างก็พากันเงียบสนิท ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
“ผู้ชนะในการแข่งขันนี้คือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
มีเพียงแต่ตอนที่ซื่อตงประกาศผลที่ทำลายความเงียบลงได้
“มิมีทาง… นี่มิควรจะเกิดอะไรขึ้นเช่นนี้…”
“นิกายดอกบัวเพลิงพ่ายแพ้ได้อย่างไรกันเมื่อกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมการแข่งขันล้วนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ และก็มิใช่ว่าพวกเขาสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
“เชี่ยทั้งนั้น ข้าอุตส่าห์พนันเงินทั้งหมดไปว่าพวกเขาจะชนะ”
หลายคนดูเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่มีคนมากกว่านั้นที่ตื่นตระหนกไปกับผลของการแข่งขันนี้
ไม่ว่าอย่างไร นิกายดอกบัวเพลิงซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างพากันคิดว่าจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หนึ่งในสำนักระดับต่ำที่สุดในการแข่งขันทั้งหมดนี้
“พี่ชายข้าเป็นดังที่คาดไว้… เขาช่างน่ามหัศจรรย์…” ซูหยินตาเป็นประกายไปด้วยความชื่นชม
“วิชานั้นที่เขาใช้เคาะหลินเชาชางสิ้นสติไป… มีวิชาแบบนี้ในโลกด้วยรึ” ไป่ลี่ฮัวสามารถรู้สึกได้ว่าหลังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบหลังจากที่เห็นวิชาสุดท้ายที่ซูหยางใช้ซึ่งแผ่รังสีพ้นโลกออกมา
อย่างไรก็ตามไม่เพียงแค่ไป่ลี่ฮัว จอมยุทธทุกคนที่นั่นต่างก็พากันรู้สึกได้ถึงรังสีเทพเจ้าจากวิชานั้น ราวกับว่านั่นเป็นแหล่งกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์
“ท่านพ่อ วิชานั่นที่ซูหยางใช้…” ซีซิงฟางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ข้าเข้าใจ…แต่ข้าก็มิรู้อะไรเช่นกัน” เจ้าซีมีสีหน้เคร่งเครียด
“ทุกวิชาในโลกนี้มีระดับ และแต่ละระดับก็จะมีกลิ่นอายที่เฉพาะตัว อย่างไรก็ตามข้ายังมิเคยรู้สึกถึงกลิ่นอายรังสีแบบนี้มาก่อน”
ตัวอย่างเช่น ส่วนใหญ่แล้ววิชาระดับมนุษย์จะปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นวิชาระดับมนุษย์ และนี่คือวิธีปกติที่ผู้ฝึกยุทธใช้ประเมินวิชาที่พวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนโดยอาศัยกลิ่นอายของมัน อย่างไรก็ตามวิชาที่ซูหยางใช้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่เป็นรังสีที่เหนือโลกที่ไม่มีใครเคยรู้จัก ได้แต่กล่าวว่ามันเป็นวิชาระดับใหม่หรือเป็นวิชาที่พิเศษเฉพาะจริงๆเท่านั้น
“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าวิชานี้อยู่ในระดับไหน แต่รังสีของมันนั้นแกร่งกล้ากว่าวิชาระดับเซียนใดๆ” เจ้าซีคาดเดา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขากล่าวต่อว่า “ตามที่ข้าคาดไว้ อาจารย์ของเขาต้องเป็นคนจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางอันลึกลับนั่น”
หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะโดยไม่คาดฝัน การแข่งขันก็ดำเนินต่อไปตามปกติ
เวลาผ่านไปหลังจากนั้น หลินเชาชางก็ค่อยลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“อืมม.. เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน” เธอพึมพัมขณะที่เธอลุกขึ้นนั่ง รู้สึกถึงวัสดุนุ่มนิ่มสบายภายใต้ร่าง “ศิษย์พี่หญิง ร่างกายของท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเจ็บตรงไหนบ้าง”
ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูเธอพลันตรงเข้าไปหาหลังจากที่เห็นเธอตื่นขึ้น
“นอกจากจะรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย ข้าก็รู้สึกว่าค่อนข้างปกติ…” หลินเชาชางตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวลและสับสน “ขอบคุณสวรรค์ที่ท่านสบายดี” ศิษย์คนนั้นถอนหายใจโล่งอก
“เกิดอะไรขึ้นกับการแข่งขัน ทำไมข้าจึงมาหลับอยู่ที่นี่” หลินเชาชางเลิกคิ้ว
“ท่าน… ท่านจำอะไรมิได้เลยหรือ ท่านใช้วิชาสุดยอดบงกชดาลเดือดระหว่างการแข่งขันกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ศิษย์คนนั้นให้คำอธิบายอย่างคร่าวๆ
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ สุดท้ายหลินเชาชางก็นึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้และความจำในการต่อสู้ก็ปรากฏขึ้นในใจ
“อาา…ข้าเข้าใจแล้ว.. มิเพียงแต่ข้าแพ้การแข่งขันให้กับเขา แต่ข้าก็ยังกระทั่งทำตัวงี่เง่า…”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น ศิษย์พี่หญิง ท่านพยายามอย่างดีที่สุด นั่นมิได้น่าอายแม้แต่น้อย” ศิษย์คนนั้นพยายามที่จะปลอบใจเธอ
“หยุด เจ้ามิจำเป็นต้องโกหกโต้งๆอย่างนั้น ถึงแม้ว่าข้าตกอยู่ในผลกระทบของบงกชดาลเดือด เขาก็เคาะข้าร่วงอย่างง่ายๆเหมือนกับกำลังหายใจ แท้จริงแล้วเขากำลังเล่นกับข้ามาตลอด”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหลินเชาชางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามการแข่งขันมิใช่เพียงสิ่งเดียวที่ข้าสูญเสียในการแข่งขันครั้งนั้น…”
หลินเชาชางแสดงรอยยิ้มขื่นขม
ศิษย์คนนั้นตระหนักถึงสิ่งที่เธอพูดถึงได้อย่างรวดเร็วและมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง “ศิษย์พี่หญิงหลิน ท่านมั่นใจว่ามิคิดที่จะให้ร่างกายของท่านกับเขาใช่ไหม”
“นั่นเป็นการพนัน และนั่นเป็นพนันที่ข้าแพ้”
“ท่านแพ้แล้วจักเป็นไร ท่านมิจำเป็นต้องให้เขาอะไรทั้งสิ้น”
“แต่ว่ามีคนเป็นพยานนับแสน”
“ไร้สาระ ผู้คนย่อมเข้าใจถ้าท่านมิทำเช่นนั้น ตามจริง ข้ามั่นใจว่ามิว่าพวกเขาหรือท่านย่อมมิอยากให้เป็นเช่นนั้น ทำไมท่านมิพูดกับท่านเจ้าสำนักล่ะ ข้ามั่นใจว่าเขาจักต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่”
หลินเชาชางหลับตาและเปลี่ยนเป็นเงียบขณะที่เธอนึกถึงสิ่งที่ซูหยางได้พูดกับเธอก่อนที่เธอจะหมดสติ
รอยยิ้มแปลกๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ และเธอก็พึมพัมว่า “อย่ากังวล ใช่ว่าข้าจักมอบร่างกายให้เขาในเรื่องอะไรทำนองนี้จริงๆ ข้ามิทำอะไรแน่นอนตอนนี้”
“จริงรึ” ศิษย์คนนั้นมองดูเธอด้วยสายตาเป็นกังวล
หลินเชาชางพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามหาท่านผู้นำนิกายให้ข้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะพูดกับเขา”
“อื้อ” ศิษย์คนนั้นพยักหน้าและออกจากห้องไปไม่นานจากนั้น
หลังจากนั้น โหวเยินเจียก็เข้ามาในห้อง
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เขาถามเธอ
“อ่อนแออยู่บ้างเล็กน้อย”
“นั่นเป็นไปตามคาด ในเมื่อพลังการฝึกปรือของเจ้าถูกผนึกชั่วคราว เจัาจักกลับคืนเป็นปกติภายในไม่กี่วัน… อย่างน้อยก็ตามสิ่งที่ซูหยางพูดไว้”
แม้ว่าหลินเชาชางจะเงียบ สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยคำถาม
“ข้าเสียใจ… ที่แพ้… ที่ทำให้ทุกคนผิดหวังหลังจากที่ข้าพูดสิ่งต่างๆออกไป” หลินเชาชางพึมพัมหลังจากนั้นชั่วขณะด้วยน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
โหวเยินเจียส่ายหน้าและยิ้ม “สัตว์ประหลาดเช่นเขา ข้าก็มิมั่นใจว่าข้าจักเอาชนะเขาได้ อย่าว่าแต่เจ้า อย่าคิดอะไรมากเรื่องนี้ สิ่งที่เจ้าต้องรู้อย่างเดียวก็คือมิมีใครที่โทษเจ้าที่แพ้”
หลินเชาชางกระพริบตาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล