DC บทที่ 386: นิกายดอกบัวเพลิงปะทะนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ยินดีต้อนรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายเข้าสู่โคลีเซียมหิมะโปรย ที่ซึ่งการแข่งขันระดับภูมิภาคได้จัดขึ้นเป็นวันที่สาม หลังจากผ่านมานานสามวัน ก็เหลือเพียงห้าสิบกว่าสำนักที่คงเหลืออยู่ในการแข่งขันนี้” ซื่อตงปรากฏตัวบนเวทีและพูดเสียงดัง
“จากที่กล่าวมาในเมื่อมิมีอะไรแล้วเช่นนั้นก็ขอให้ข้าได้แนะนำการแข่งขันคู่แรกสำหรับวันนี้ วังสายฟ้าฟาด กับคู่ต่อสู้ของเขา สำนักร้อนแรงไร้ขีดจำกัด”
ทั้งสองสำนักที่ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมยี่สิบคนในแต่ละข้างพากันขึ้นไปบนเวทีไม่นานหลังจากนั้นซึ่งแต่ละคนในเหล่าผู้เข้าร่วมเหล่านี้ล้วนปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ
“จะมีแต่เพียงสำนักที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงที่สามารถเข้าสู่เวทีมาถึงจุดนี้ได้ เฮ้อ…” ไป่ลี่ฮัวพึมพัมอย่างเยือกเย็น
จากนั้นเธอก็หันไปดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและแอบถอนหายใจ “ยกเว้นสำนักหนึ่ง…”
ไม่ว่าเธอจะพยายามครุ่นคิดเพียงใด เธอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงสามารถบรรลุสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากฐานะที่เหมือนสำนักระดับต่ำ
“นอกจากว่าจักมีสิ่งมีชีวิตพ้นโลกที่มีความรู้และประสบการณ์อันลึกล้ำช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิเช่นนั้นก็เกือบเป็นไปมิได้สำหรับสำนักที่มีขนาดเท่านั้นที่จะมาถึงจุดนี้ได้ถึงแม้ว่าได้รับโชคจากสวรรค์ก็ตาม”
ร่างที่ปราศจากหน้าตาที่มีความรู้สึกพ้นโลกรายล้อมรอบกายพลันปรากฏขึ้นในใจไป่ลี่ฮัวขณะที่เธอกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะมีจอมยุทธที่ทรงอำนาจมาช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากเบื้องหลัง ซึ่งโลกไม่อาจรับรู้
ไป่ลี่ฮัวพลันมองดูนิกายดอกบัวเพลิง
“หรือว่าจอมยุทธและนักปรุงยาลึกลับนี้ที่ได้สร้างความตื่นตระหนกแก่โลกก่อนหน้านี้ด้วยโอสถสู่ปฐพีจะเป็นคนคนเดียวกัน นิกายดอกบัวเพลิงก็เป็นเพียงแค่สำนักที่เหนือกว่าระดับกลางก่อนที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนกับนักปรุงยาลึกลับนั่นเช่นกัน”
“แต่ทำไมทำไมจอมยุทธนี้จึงเลือกที่จะช่วยพวกเขา หรือจะมีอะไรบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงที่ข้าไม่รู้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่ไป่ลี่ฮัวนิ่งคิดถึงถึง “จอมยุทธลึกลับ” และเพียงแค่เธอคิดว่าผ่านไปเพียงพริบตาก็ถึงคู่ที่เก้าของวันนี้แล้ว
“โชคดีพี่ชาย โชคดีพี่สาวทั้งหลาย ซูหยินที่ส่งเสียงเชียร์พลันปลุกไป่ลี่ฮัวให้หลุดออกมาจากการคิดลึก
“ถึงตาของพวกเขาขึ้นบนเวทีแล้วเหรอ” ไป่ลี่ฮัวหยุดความคิดของตนเองและมุ่งความสนใจไปบนเวที ซึ่งนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตรจากแต่ละฝ่าย
“ผู้นำนิกายมีคำพูดอะไรที่จะพูดกับอีกฝ่ายก่อนการต่อสู้อย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขา
โหลวหลานจีส่ายหน้าและหันไปดูซูหยางซึ่งจ้องกลับไปยังโหวเยินเจียด้วยสีหน้าท่าทางเยือกเย็น
“ให้ข้าดูว่าพวกเจ้าก้าวหน้ามากขึ้นอีกเท่าไหร่นับตั้งแต่ “วันนั้น” ซูหยางพลันกล่าวกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อศิษย์ของสำนักดอกบัวเพลิงได้ยินคำพูดของเขา ความทรงจำที่ไม่ต้องการที่พวกเขาพยายามที่จะลืมก็พลันปรากฏขึ้นในใจ จนทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจข่มกลั้น
โหวเยินเจียขมวดคิ้วและพูดด้วยท่าทางเคร่งเครียดว่า “มีอย่างหนึ่งที่ข้าต้องการจะพูด รีบเริ่มการแข่งขันนี้ได้แล้ว”
ซื่อตงพยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้นเมื่อทั้งสองสำนักได้กลับไปยังข้างเวทีและส่งผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนแรก ข้าก็จักเริ่มการแข่งขัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขานิกายดอกบัวเพลิงก็พลันถอยกลับไปที่ข้างเวที และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไปยังฝั่งตรงข้ามเวที ปล่อยให้ตรงกลางเวทีว่างเปล่า
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่างโชคดีถึงที่สุดที่มาได้ไกลถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตามช่างโชคร้ายสำหรับพวกเขา ดูเหมือนว่าโชคของพวกเขาได้หมดลงไปแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาบนเวที”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นเพียงแค่สำนักระดับต่ำใช่ไหม ถึงแม้ว่าจะเป็นโชคดีหนุน แต่นี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อไม่เคยมีสำนักระดับต่ำที่ได้ก้าวเข้ามาไกลมากกว่าวันที่สองในการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ขณะที่ผู้ชมต่างพากันพูดคุยกัน นิกายดอกบัวเพลิงก็ส่งได้ศิษย์คนแรกขึ้นไปบนเวที
“ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณรึ พวกเขายังส่งแค่ศิษย์ที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณมาเป็นอันดับแรกเมื่อการแข่งขันก่อนหน้านี้อยู่เลย…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
“ดูเหมือนว่านิกายดอกบัวเพลิงจะเอาจริงพยายามที่จะล้มพวกเรา ใครต้องการที่จะไปเป็นอันดับแรก” เธอหันไปมองดูเหล่าศิษย์
“ข้า”
“โอ ข้าต้องการสู้ก่อน”
“เดี๋ยว ให้ข้าไปก่อน”
โดยไม่คาดคิดศิษย์ทุกคนต่างพากันยกมือ
“…”
ประหลาดใจกับความกระตือรือล้นของพวกเธอจนทำให้โหลวหลานจีพูดไม่ออก
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดว่า “ข้าจักนึกตัวเลขที่อยู่ระหว่างหนึ่งถึงร้อย ใครก็ตามที่เดาถูกหรือใกล้เคียงจักขึ้นไปต่อสู้ก่อนเป็นคนแรก พวกเจ้ามีโอกาสหนึ่งครั้งเท่านั้น”
“หนึ่ง”
“เก้า”
“ยี่สิบ”
“สามสิบสอง”
“แปดสิบ”
“ห้าสิบห้า”
เหล่าศิษย์พากันเริ่มเดาตัวเลขกันในทันที
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็พยักหน้าและชี้มือไปยังศิษย์คนหนึ่งและกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดี หลิงนา เลขของเจ้าใกล้เคียงที่สุด”
สาวสวยร่างบางน่ารักที่โหลวหลานจีชี้แสดงท่าทางสดใสขึ้นและพยักหน้า “ข้าจักมิยอมให้นิกายผิดหวัง”
เธอกล่าวกับพวกเธอก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยส่งศิษย์หลินนา ซึ่งอยู่ที่ระดับห้าเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำเธออย่างรวดเร็ว
“ไอ๊ย่า ถึงกับส่งศิษยที่มีพลังการฝึกปรือต่ำสุดในหมู่พวกเธอออกมาสู้กับคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ตลอดการแข่งขันนี้จักต้องโหดร้ายและทำอยู่ข้างเดียวโดยมิต้องสงสัย”
ผู้ชมต่างพากันส่ายหน้ากับความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างทั้งสองข้าง กระทั่งรู้สึกแย่กับเด็กสาวตัวเล็กที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี
“เริ่มการต่อสู้” ซื่อตงประกาศไม่นานหลังจากนั้น
“เฮ้ สาวน้อย”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันเรียกเธอ “ข้ามิมีความแค้นกับเจ้าหรือว่าดูถูกเจ้า และข้าก็จักชื่นชมมากหากเจ้ารีบยอมแพ้และส่งเจ้าเลวซูหยางออกมาเพื่อที่ข้าจักสามารถทุบตีเจ้านั่นอย่างช้าๆ”
“…”
หลินนามองดูศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามิสนใจในเรื่องความแค้นของเจ้า แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสู้กับศิษย์พี่ชายของข้า เจ้าจักต้องเตะข้าออกไปจากเวทีก่อน”
“แม้ว่าข้ามิได้มีความสุขกับการข่มเหงคนอ่อนแอ แต่เจ้าบีบให้ข้าลงมือ” ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงแค่นเสียงเย็นชากับคำพูดของเธอ ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาหลินนาด้วยสีหน้าดุร้าย