Dual Cultivation บทที่ 475: สร้างความโกลาหลที่นิกายดอกบัวเพลิงอีกครั้ง
“ข้าจักพบกับเจ้าอีก ซูหยาง”
หญิงสาววัยรุ่นสง่างามสวมชุดศิษย์หลักเดินออกจากบ้านของซูหยางอย่างมีความสุขพร้อมกับผิวแวววาวและสีหน้าพึงพอใจ
“บาย” ซูหยางโบกมืออำลาเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในเวลานั้นอีกฝั่งของถนน หลินเชาชางมองดูพวกเขาผ่านทางหน้าต่างด้วยสีหน้ารำคาญ
“น-นี่เป็นศิษย์หลักคนที่เก้าแล้วที่เข้าไปเยี่ยมเขาในวันนี้ เขาทำอย่างไรกันจึงทำให้หญิงสาวเหล่านี้เข้าไปหาเขาโดยมิต้องแม้กระทั่งออกจากตัวอาคาร นี่ช่างอุกอาจ” เธอร่ำร้องในใจ
นับตั้งแต่ซูหยางกลับถึงที่พักของเขาในครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ก้าวออกไปจากประตูอีกเลย แต่ว่าเขาก็ยังสามารถดึงดูดเหล่าศิษย์หลักพวกนี้ให้เข้าไปในบ้านของเขาได้ และนี่ทำให้หลินเชาชางจิตใจสับสนจนไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชาได้อย่างสงบเพราะพวกเธอ
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เมื่อดวงเดือนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ามานานแล้ว ก็ยังเห็นศิษย์หญิงคนอื่นเดินไปยังที่พักของซูหยาง
“เธอคือ…”
เมื่อหลินเชาชางเห็นร่างที่ตรงเข้าไปนี่ เธอก็พลันเปิดหน้าต่างและเรียกอีกฝ่ายทันที “น้องหญิงอวี้ เจ้าจะไปไหนดึกดื่นปานนี้รึ”
“พี่หญิงหลิน ข้า…ข้ามีนัดหมายกับซูหยาง เขาสัญญากับข้าว่าจะสอนวิชากระบี่ให้ข้าสักสองสามกระบวนท่า” ศิษย์คนนี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนบนใบหน้าเธอ
“กระทั่งเธอก็ยังโกหกซึ่งหน้าข้า” หลินเชาชางร้องในใจ
ศิษย์อวี้คนนี้ไม่เพียงเป็นแค่ศิษยหลัก เธอได้เข้ามานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาเดียวกันกับหลินเชาชาง และทั้งคู่ก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรค์มากมายมาด้วยกันนับตั้งแต่พวกเธอเป็นเพียงแค่ศิษย์นอก กลายเป็นศิษย์หลักในเวลาใกล้เคียงกัน
ทั้งสองคนเป็นมากกว่าเพื่อน โดยหลักแล้วพวกเธอเป็นพี่น้องกัน
และเมื่อมาคิดว่าน้องของเธอคนนี้โกหกต่อหน้าเธอ นี่สร้างความตกใจให้กับหลินเชาชางอย่างมาก
“อย่าโกหกข้า น้องหญิงอวี้ มิมีทางแน่นอนที่เจ้าจักมาที่นี่จนดึกดื่นเพียงเพื่อเรียนวิชากระบี่จากซูหยาง” หลินเชาชางไม่สามารถทนฝืนตัวเองให้ยอมรับคำโกหกนี้ได้จึงได้พูดต่ออีกฝ่าย
ในการตอบกลับกับคำพูดของหลินเชาชาง ศิษย์อวี้แสดงสีหน้าแดงซ่านและกล่าวว่า “ถ้าท่านรู้แล้วว่าทำไมข้ามาที่นี่ เช่นนั้นทำไมท่านจึงมาถามข้าล่ะ พี่หญิงหลิน ท่านล้อข้าเล่นรึ”
“ม-ไม่ ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะรู้ว่าทำไมเจ้าจึงต้องการคนอย่างเขามาย่ำยีร่างกายอันบริสุทธิ์ของเจ้าด้วย มิใช่ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวบริสุทธ์อยู่รึ”
ศิษย์อวี้พยักหน้า “จริงอยู่ ข้ายังมิมีประสบการณ์เช่นนั้น แต่ทว่าซูหยางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ยิ่งอย่าได้กล่าวถึงหน้าตาชวนฝันของเขา ถ้าจะให้ใครมาเป็นคนรักคนแรกของข้าก็ควรจะเป็นเขา ท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่ามีศิษย์กี่คนที่ต้องการกระโจนเข้าใส่เขาแม้กระทั่งในเวลานี้ สิ่งเดียวที่ห้ามพวกเธอก็คือสถานที่แห่งนี้ ถ้าเขาอยู่ที่เขตศิษย์นอก หรือไม่ก็เขตศิษย์ใน ย่อมต้องมีหญิงสาวเข้าแถวรอคอยที่จะเคาะประตูของเขา”
“อะไรนะ” หลินเชาชางเบิกตากว้างด้วยความตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเธอได้ประมาทความนิยมที่หญิงสาวมีต่อซูหยางต่ำไปอย่างมาก
เมื่อเห็นหน้าตางงงันของอีกฝ่าย ศิษย์อวี้ก็กล่าวต่อว่า “ท่านได้ออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้หรือไม่ พี่หญิงหลิน ท่านเคยคิดว่าไหมว่าตอนนี้มีความวุ่นวายในเขตอื่นๆมากมายเพียงไหน มีศิษย์หญิงหลายสิบคนที่กำลังพยายามที่จะแอบเข้ามาในที่แห่งนี้เพียงเพื่อที่จะพูดกับซูหยางแม้กระทั่งในเวลาที่เราพูดคุยกันอยู่นี้”
“อะไรนะ” หลินเชาชางกรามตกร่วงลงพื้น เธอไม่คิดว่าการปรากฏตัวของซูหยางจะสามารถสร้างความโกลาหลภายในนิกายของพวกเธอมากเช่นนั้น
“ข้ามิได้โกหกต่อท่านในครั้งนี้ พี่หญิงหลิน ถ้าท่านไปยังประตูที่แยกแต่ละเขตออกจากกันในตอนนี้ ท่านสามารถที่จะพบเห็นศิษย์จำนวนมากที่นั่นพยายามที่จะผ่านผู้อาวุโสนิกายอยู”
“ต-แต่ทว่า ข้ามิมีเวลามากนักที่นี่ ข้าจักพูดกับท่านในภายหลัง พี่หญิงหลิน” ศิษย์อวี้กล่าวกับเธอก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูหน้าบ้านซูหยางและเคาะประตู
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เปิดประตูและต้อนรับเธอเข้าไปข้างในพร้อมรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะปิดประตู หลินเชาชางสาบานได้ว่าซูหยางได้เหลือบมองมายังเธอเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง
“…”
หลินเชาชางยืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยสีหน้าสับสนและไม่ยอมกระพริบตาแม้ว่าจะผ่านไปหลายนาทีราวกับว่าเธอกลายเป็นรูปปั้นหิน
ทันใดนั้นเธอก็กระโดดออกจากหน้าต่างและมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ที่ศิษย์อวี้กล่าวถึง
ก็เหมือนกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักส่วนใหญ่ที่นั่น นิกายดอกบัวเพลิงประกอบด้วยสามส่วน เขตศิษย์นอก เขตศิษย์ใน และเขตกลาง
แต่ละเขตนี้กั้นไว้ด้วยกำแพงบางๆ และวิธีที่จะเดินทางผ่านระหว่างแต่ละเขตนั้นก็คือเดินผ่านประตูใหญ่ตรงกำแพง แต่ทว่าปกติแล้วจะมีศิษย์หลายคนยืนอยู่ที่ประตูเหล่านี้เพื่อป้องกันให้มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้
แต่เพราะความปั่นป่วนวุ่นวาย คนที่เฝ้าประตูใหญ่ในตอนนี้ทั้งหมดจึงเป็นผู้อาวุโสนิกาย
ครั้นเมื่อหลินเชาชางไปถึงประตูที่แยกเขตกลางและเขตศิษย์ในออกจากกันนั้น เธอก็สามารถเห็นศิษย์หญิงมากกว่าห้าสิบคนโต้เถียงกับผู้อาวุโสนิกายที่นั่น
“ผู้อาวุโส ทำไมท่านมิปล่อยให้พวกเราผ่านไปหน่อยล่ะ พวกเราได้สัญญากับท่านว่าพวกเราจักมิเดินเปะปะในเขตกลาง เจตนาของพวกเรามีเพียงแค่เพื่อพบกับพี่ชายซูหยางเท่านั้น”
“ใช่แล้ว พวกเราเพียงต้องการลายเซ็นต์ของพี่ชายซูหยางเท่านั้น ทำไมท่านจึงต้องสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเราด้วย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันต่อว่าต่อขานผู้อาวุโสนิกาย
“ฮึ่ม มีเพียงศิษย์หลักและผู้อาวุโสนิกายเท่านั้นที่ยอมให้เข้าไปในเขตกลางในสถานการณ์ปกติ นี่เป็นกฏของนิกายนับตั้งแต่ก่อตั้งมา ถ้าเจ้าต้องการที่จะผ่านเช่นนั้ก็จงเป็นศิษย์หลักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสนิกายเสียก่อน” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นซึ่งรู้สึกอิจฉาความนิยมของซูหยางอย่างมากกล่าว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมเขาจึงมีท่าทางดื้อดึงเช่นนั้น
“ข้าเพิ่งได้เป็นศิษย์ในเมื่อปีที่แล้ว นั่นจักต้องใช้เวลาอีกมิน้อยกว่าสิบปีก่อนที่ข้าจะมีคุณสมบัติทดสอบการเป็นศิษย์หลัก และนั่นมันสายเกินไปอย่างมากในตอนนั้น”
“จ-เจ้าพวกตาแก่หัวดื้อ เจ้าเพียงแค่ริษยาความนิยมของหญิงสาวที่มีต่อพี่ชายซู ดังนั้นเจ้าจึงจะเอามันไปจากพวกเรา”
“ใช่แล้ว ข้าพนันได้ว่าพวกเจ้ามิเคยได้รับความนิยมจากหญิงสาวเมื่อตอนพวกเจ้าเป็นศิษย์”
เหล่าศิษย์เริ่มด่าผู้อาวุโสนิกาย สร้างความงุนงงให้กับพวกเขา
“ค-ใครกล่าวเช่นนั้นเมื่อกี้นี้ ข้าขอท้าให้เจ้าออกมาพูดแบบนั้นอีกครั้ง” เหล่าผู้อาวุโสนิกายพากันควันออกหู
“น-นี่เป็นหายนะ…” หลินเชาชางคิดในใจหลังจากที่เห็นฉากปั่นป่วนวุ่นวายนี้
ถ้าเหล่าศิษย์ยังคงมีท่าทางบ้าคลั่งในกลางดึกเช่นนี้ เธอก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าภาพเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ตอนเช้ามืด
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันกายและรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของเธอ หลังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบในเวลาที่เธอกลับไป