“90 วินาทีรึ นั่นเป็นไปไม่ได้”
เมื่อผู้คนที่นั่นได้ยินเงื่อนไขใหม่ของซูหยางสำหรับคนที่เคยเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อนและต้องการที่จะคืนกลับมา พวกเขาต่างพากันรู้สึกสงสารสำหรับอดีตศิษย์เหล่านี้
ต้านทานเม็ดยาจิตมารเป็นเวลา 30 วินาทีก็ถือว่ายากพอแล้ว แต่พวกเขาในตอนนี้ต้องทนให้ได้นานถึงสามเท่ากว่าผู้เข้าร่วมคนอื่น
ในสายตาสำหรับคนเหล่านี้ ซูหยางมีเจตนาที่จะทำให้มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเขาเองก็ไม่ต้องการให้อดีตศิษย์เหล่านี้กลับคืนสู่นิกาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจินยูโบเกือบตายก่อนที่เขาจะสามารถอยู่ได้ถึงสามสิบวินาที
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะดูเหมือนว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย เหล่าอดีตศิษย์ต่างพากันโล่งอกที่รู้ว่าพวกเขายังได้รับโอกาสที่สองที่จะกลับมาเป็นศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“90 วินาทีรึ นั่นค่อนข้างโหดร้าย” ซุนจิงจิงหัวเราะเบาๆ ข้างตัวเขา
“หือ เจ้าเองก็คิดว่าข้ากำลังรังแกพวกเขาด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว
“เอ๋ ท่านคิดจริงรึว่าจะเป็นไปได้ที่มีใครสักคนที่สามารถอยู่ได้นานถึงสามสิบวินาที” เธอถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ถ้าพวกเขายอมรับความผิดพลาดของตนเองและต้องการกลับเข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆจากส่วนลึกของใจพวกเขา ก็ย่อมมิมีเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงจะไม่สามารถทนได้ถึง 90 วินาที แม้ว่าจริงที่มันอาจจะมิใช่สิ่งที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายๆแม้กระทั่งผู้ที่มีวิถีจิตอันแข็งแกร่งก็ตาม แต่นั่นย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะอยู่ในนิกายถ้าพวกเรายอมให้พวกเขากลับคืนมาง่ายๆ ใช่ไหม”
ข่าวที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้โอกาสที่สองแก่อดีตศิษย์นั้นแพร่กระจายไปเข้าหูของผู้ที่ทอดทิ้งนิกายไปในวันนั้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้อดีตศิษย์หลายคนปรากฏตัวเพื่อทำการทดสอบในวันต่อๆไป
บ้าแล้ว กระทั่งคนที่ไปเข้าสำนักอื่นก็ยังตัดสินใจที่จะแสดงตัวและใช้โอกาสของตนเองอีกครั้ง
ในวันที่ห้าของการทดสอบ ซูลี่ชิงสังเกตเห็นกลุ่มของสาวสวยอยู่ภายในฝูงชน และดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
กลุ่มของสาวสวยเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยทำงานที่ตำหนักโอสถกับเธอ และพวกเธอก็ยังเคยเรียกเธอว่าอาจารย์
และในเมื่อไม่มีคนมากนักที่ผ่านมาถึงการทดสอบที่สามได้ ซูลี่ชิงจึงออกมาจากเวทีชั่วขณะและตรงไปยังซูหยางและกล่าวว่า “ซูหยาง… ศิษย์ของข้า… พวกเธอก็มาที่นี่เช่นกัน…”
“หือ ศิษย์ของเจ้ารึ… เช่นนั้นเด็กสาวพวกนั้น” แน่นอนว่าซูหยางจำเหล่าศิษย์ที่ร่าเริงเหล่านี้จากตำหนักโอสถที่จะต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มสดใสเสมอได้
“นี่อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวมาก แต่ว่าข้า…”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค ซูหยางก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ทำตามที่เจ้าต้องการ”
“เจ้าแน่ใจนะ…” เธอมองดูเขาจากนั้นก็มองไปที่โหลวหลานจีด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ถ้าซูหยางได้ให้สิทธิ์แก่เจ้าแล้ว ก็มิจำเป็นต้องตั้งคำถามอีกต่อไป” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้น “แม้ว่าการตัดสินใจของพวกเขาในวันนั้นสร้างความผิดหวังให้แก่ข้าถึงที่สุด แต่ก็ใช่ว่าข้านั้นเกลียดพวกศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อพวกเธอเป็นศิษย์ของเจ้า ผู้อาวุโสหลาน ข้ามั่นใจว่าพวกเธอมิใช่ศิษย์ที่เลว ดังนั้นข้ายินดีที่จะยกโทษให้พวกเธอ”
“ข-ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย” ซูลี่ชิงคำนับเธอก่อนที่จะเข้าไปหากลุ่มสาวสวยในฝูงชน
เมื่อฝูงชนสังเกตเห็นซูลี่ชิงตรงเข้าไปหาพวกเขา พวกเขาต่างก็พางกันงงงันเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามผู้คนที่นั่นต่างก็ไม่กล้าที่จะขวางทางเธอและสร้างเป็นช่องทางว่างเปล่าให้เธอเดินผ่าน
“อ-อาจารย์…”
เมื่อซูลี่ชิงได้มายืนอยู่ต่อหน้าของอดีตศิษย์ของเธอ พวกเธอทุกคนต่างก็พากันมองดูเธอด้วยสีหน้าละอายใจบนใบหน้าและไม่มั่นใจว่าควรจะกล่าวกับเธออย่างไร ราวกับกลุ่มของเด็กๆที่รู้ว่าตนเองทำผิดและกำลังจะเผชิญกับการดุด่า
“เอาล่ะ พวกเจ้ามีอะไรจะพูดเพื่อตัวเจ้าเองหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้คำแก้ตัวกับข้าสักอย่างสองอย่าง” ซูลี่ชิงถามพวกเธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“พ-พวกเรามิมีคำแก้ตัวใดๆ อาจารย์… พวกเราต่างพากันกลัวนิกายล้านอสรพิษและทุกคนต่างก็พากันจากไป ดังนั้นพวกเราจึงวิ่งหนีไปเช่นเดียวกับคนขลาด”
ซูลี่ลิงถอนหายใจเบาๆและกล่าวว่า “ พวกเจ้าเหล่าหญิงสาว มิใช่เพียงพวกเดียวที่กลัวในเมื่อตัวข้าเองก็ยังสั่นสะท้านเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่อย่างไรก็ตามพวกเจ้าก็ได้สาบานตนที่จะปกป้องนิกายแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตเมื่อตอนที่เจ้ากลายมาเป็นศิษย์ตั้งแต่แรกแล้ว”
“…”
เหล่าเด็กสาวต่างพากันเงียบในเมื่อพวกเธอไม่ต้องการที่จะทำให้สถานการเลวร้ายลงไปกว่านั้น
“พวกเจ้าเหล่าหญิงสาวต้องการที่จะกลับมาสู่นิกายหรือไม่” ซูลี่ชิงกล่าวกับพวกเธอ
บรรดาเด็กสาวต่างพากันพยักหน้าด้วยสีหน้าสับสน
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าสามารถทนเม็ดยาจิตมารได้ถึง 90 วินาทีหรือไม่” เธอถามพวกเธอ
“ร-เรามิรู้จนกว่าพวกเราจะพยายาม ถึงแม้ว่าโอกาสจะมีเพียงริบหรี่ พวกเราก็ต้องพยายาม”
ซูลี่ชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าจะมิรู้ตัว แต่ข้าก็เป็นหนี้พวกเจ้าไว้มากในการขออาสาสมัครทำงานที่ตำหนักโอสถเมื่อมิมีใครเลยต้องการทำงานที่นั่น และข้าก็มิเคยได้มีโอกาสในการขอบคุณพวกเจ้า”
“ข้าได้รับสิทธิ์จากผู้นำนิกายเรียบร้อยแล้วในการที่จะยอมให้พวกเจ้าหญิงสาวกลับคืนสู่นิกาย ดังนั้นจึงมิมีความจำเป็นสำหรับพวกเจ้าที่จะเข้าร่วมการทดสอบ”
“อ-อะไรนะ”
เหล่าเด็กสาวต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง ดูเหมือนกับว่าไม่เชื่อ
“ครั้นเมื่อนิกายกลับมาคึกคักอีกครั้ง พวกเรายังคงต้องการคนทำงานในตำหนักโอสถ และข้าก็จักต้องการศิษย์จำนวนหนึ่งเพื่อช่วยข้า และมิใช่ว่าพวกเจ้าได้หลุดพ้นความผิดทั้งปวงแล้ว แน่นอนว่าข้าจักใช้งานพวกเจ้าให้ถึงแก่นเป็นการลงโทษ” ซูลี่ชิงกล่าว
“ข-ขอบคุณอาจารย์ พวกเราจักมิลืมหนี้บุญคุณครั้งนี้ตราบชั่วชีวิตของพวกเรา”
เหล่าเด็กสาวเริ่มร้องไห้กันทีละคนสองคน
“ข้ามิใช่คนที่พวกเจ้าควรจะขอบคุณ ถ้ามิใช่เป็นเพราะว่าคำอนุญาตของผู้นำนิกาย แม้กระทั่งข้าก็มิอาจจะช่วยพวกเจ้าได้ มากับข้าเพื่อทักทายผู้นำนิกาย”
เหล่าเด็กสาวพยักหน้าและติดตามซูลี่ชิงในขณะที่ผู้คนที่รายล้อมพวกเธอต่างพากันจ้องมองด้วยสายตาอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าอดีตศิษย์
ครั้นเมื่อพวกเธอไปยืนต่อหน้าซูหยางและโหลวหลานจีแล้ว เหล่าเด็กสาวต่างพากันคุกเข่าบนพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันดังชัดเจนว่า “ขอบพระคุณท่านผู้นำนิกายสำหรับความยินยอมที่มีต่อพวกเราเหล่าศิษย์ที่อสัตย์นี้ พวกเราจักมิทอดทิ้งนิกายอีกเป็นครั้งที่สอง และพวกเราจักพิทักษ์นิกายถึงแม้ว่านั่นจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเราเองก็ตาม”