“จ-เจ้ามิมีอาจารย์รึ เช่นนั้นเจ้าเข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณได้อย่างไรในอายุเท่านี้ นั่นเป็นไปไม่ได้มิว่าข้าจะคิดเรื่องนั้นอย่างไรก็ตาม” ซุนจิงจิงแสดงความสงสัยของตนเองออกมา
นอกจากว่าเธอเป็นคนอย่างซูหยาง ซึ่งมีความทรงจำจากชีวิตก่อนว่าเป็นเซียน เป็นเรื่องปกติที่ไม่ควรจะเป็นไปได้สำหรับเด็กอายุสิบสองปีที่จะเข้าถึงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ ไม่ว่าจะมีโชคดีประเภทไหนที่เธอได้ประสบก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหญิงคนนี้สวมเสื้อผ้าธรรมดา ถึงกับมีขาดบ้างเล็กน้อย ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นคนในตระกูลร่ำรวยสักที่หนึ่งนั้นต่ำมาก นอกจากว่าเธอจะมีเจตนาที่จะสวมเสื้อผ้าปุปะเพื่อหลอกคนอื่นเป็นงานอดิเรก
“ข้ามิเข้าใจ ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้” เด็กหญิงถามเธอในขณะที่ยังคงเรียบเฉย
“ช-เช่นนั้นถ้าเจ้ามิถือหากข้าจะถามว่าเจ้ามีพลังฝึกปรือถึงระดับนี้ได้อย่างไร” ซุนจิงจิงถามเธอด้วยหน้าตางุนงง ในเมื่อปกติแล้วเป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อว่าเด็กหญิงได้เข้าถึงระดับนี้ได้โดยปราศจากความช่วยเหลืออื่น
“อย่างไร… ท่านถามอย่างงั้นรึ” เด็กหญิงเอียงหัวด้วยใบหน้างุนงง ดูเหมือนจะสับสนกับคำถามของซุนจิงจิง “ข้าก็ดูดซับพลังงานรอบตัวข้าเป็นปกติ”
“น-นั่น…” ซุนจิงจิงพูดไม่ออก
“จิงจิง มิมีความจำเป็นที่จะต้องถามเธอ นั่นมิได้มีความสำคัญกับพวกเราที่ว่าเธอมีความแข็งแกร่งระดับนี้ได้อย่างไร แต่อยู่ที่ว่าเธอจะผ่านการทดสอบได้หรือไม่” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
“เอ๋ ท่านยังคงต้องการเธอรับการทดสอบอีกรึ ทั้งที่เธอเป็นจอมยุทธอายุสิบสองปีเขตปฐพีวิญญาณ” ซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยสีหน้างงงัน ใครต่อใครก็ย่อมไม่ยอมเสียเวลาและรับอัจฉริยะระดับอสูรเช่นนั้นเข้าสู่สำนักกันทั้งนั้น
“ต่อให้เธอเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับอสูรในโลกนี้ ถ้าเธอมิมีวิถีจิตที่ถูกต้อง เธอก็จักไปได้มิไกลนักในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ” เขาตอบอย่างเยือกเย็น
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เด็กหญิงคนนี้ดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ที่เหนือโลกนี้สำหรับคนเหล่านี้ ในสายตาของซูหยางแล้ว เธอก็เพียงเหนือกว่ามาตรฐานเท่านั้น
ซุนจิงจิงพยักหน้า “ช-ใช่แล้ว ข้าขอโทษ นั่นทำให้ข้าประหลาดใจจนเสียความตั้งใจ…”
สองสามอึดใจให้หลัง ซุนจิงจิงก็ทำลายเม็ดยาจิตมาร แผ่พุ่งหมอกสีแดงไปทั่วทุกแห่งหน
เด็กหญิงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัวและทำการต่อต้านเม็ดยาจิตมาร
ห้าวินาที… สิบวินาที… สิบห้าวินาที… ยี่สิบวินาที… ยี่สิบห้าวินาที…
เด็กหญิงยังคงไม่หวั่นไหวแม้กระทั่งเมื่ออยู่ภายใต้ผลของเม็ดยาจิตมาร ราวกับว่ามันไม่มีผลต่อเธอ
กระทั่งเมื่อสามสิบวินาทีผ่านไปแล้ว เด็กหญิงคนนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเยือกเย็น ไม่รู้ตัวโดยสมบูรณ์ว่าเธอนั้นได้ผ่านการทดสอบแล้ว
และเพราะว่าเด็กหญิงไม่แสดงท่าทางยากลำบาก ซุนจิงจิงจึงยอมให้เด็กหญิงทำการทดสอบต่อไปแม้ว่าจะผ่านสามสิบวินาทีไปแล้ว แน่นอนว่าเธอเองก็สงสัยว่าพรสวรรค์ของเด็กหญิงคนนี้เป็นจริงหรือไม่
สี่สิบวินาที… ห้าสิบวินาที หนึ่งนาทีเต็มได้ผ่านไปนับตั้งแต่เด็กหญิงสูดลมหายใจรับเม็ดยาจิตมารเข้าไป แต่เธอก็ยังคงนั่งอยู่อย่างเยือกเย็น
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปห้านาทีเต็ม สุดท้ายเด็กหญิงจึงค่อยลืมตาของเธอขึ้น
“ข้าผ่านหรือยัง” เธอถามซุนจิงจิงด้วยใบหน้าไร้ความสนใจ
ซุนจิงจิงพยักหน้าด้วยใบหน้าสับสน
“ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นเด็กหญิงจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเวทีที่สามอย่างสบายๆ
“ช่างเป็นอสูรพิสดาร เธอสามารถที่จะต้านเม็ดยาจิตอสูรได้นานถึงห้านาที และก็ยังดูเหมือนกับว่าเธอมีความสามารถที่จะอยู่ที่นั่นได้นานยิ่งกว่านี้” ผู้คนต่างพากันส่งเสียงให้กำลังใจต่อเด็กหญิงซึ่งไปได้ไกลขนาดนั้นในการทดสอบ
บนเวทีที่สาม เด็กหญิงหยดเลือดหนึ่งหยดผ่านรอยที่เธอเจาะบนนิ้วลงไปในวารีกลืนสวรรค์
เลือดนั้นทำให้เกิดการกระเพื่อมที่สวยงามบนผิวหน้าของน้ำก่อนที่จะจมลึกลงไปในชาม
สองสามวินาทีให้หลัง วารีกลืนสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง แต่ทว่ามันไม่ได้หยุดแค่นั้นและยังคงมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที วารีกลืนสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ามันเปลี่ยนไปเป็นเลือดจริง
อย่างไรก็ตามน้ำสีเลือดไม่ได้หยุดแค่นั้น และมันก็ยังคงเปลี่ยนไปเป็นสีอื่น
“ท-ทอง น้ำเปลี่ยนสีจากแดงเป็นทองได้อย่างไรกัน” ซูลี่ชิงสับสนกับผลลัพธ์ และเธอก็หันไปมองดูซูหยางซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าสงบเฉย
“มันมิได้เป็นสีแดง.. ข้าล้มเหลวรึ” เด็กหญิงมองดูซูลี่ชิงซึ่งส่ายหน้าของเธออย่างรวดเร็ว
“ม-ไม่… ข้ามิคิดว่าเจ้าล้มเหลว…”
“เธอพูดถูก เจ้ามิได้ล้มเหลว” ซูหยางพลันปรากฏตัวข้างพวกเธอและกล่าวขึ้น
เด็กหญิงหันไปมองดูซูหยางด้วยใบหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย
สองสามอึดใจให้หลังเมื่อเธอฟื้นจากความตื่นตะลึง เด็กหญิงก็ยกกำปั้นของเธอไปยังซูหยาง ราวกับว่าเธอเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับเขา
ซูหยางยิ้มให้กับการกระทำของเธอแล้วกล่าวว่า “มิมีความจำเป็นสำหรับพวกเราที่จะต้องประลอง เจ้าได้ผ่านการทดสอบเแล้ว”
“ได้…” เด็กหญิงพยักหน้า
“เจ้าชื่ออะไร” จากนั้นเขาก็ถามเธอ
“เยี่ยน.. เยี่ยนเยี่ยน” เธอตอบ
“ยินดีต้อนรับสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เยี่ยนเยี่ยน” ซูหยางยื่นส่งบัตรประจำตัวศิษย์ให้แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าสามารถกลับมายามเมื่อเจ้าได้จัดการทุกสิ่งที่บ้านเรียบร้อยแล้ว”
อย่างไรก็ตามเยี่ยนเยี่ยนส่ายหน้าและกล่าวด้วยเสียงสงบว่า “พ่อแม่ของข้ามิได้เหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว และข้าก็มิมีบ้านให้กลับ”
“อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นเจ้าสามารถเริ่มชีวิตของเจ้าในนิกายได้นับแต่วันนี้” ซูหยางพยักหน้า
“ท่านมิถามข้าเรื่องประวัติความเป็นมาของข้ารึ” เยี่ยนเยี่ยนถามเขาด้วยสายตาที่สนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็พูดพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าต้องการที่จะเล่าให้ข้าฟัง ข้าก็จะรับฟังเจ้า แต่ข้ามิใช่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ดังนั้นข้าจักมิสอดรู้สอดเห็นในเรื่องชีวิตของเจ้าโดยมิมีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในฐานะของผู้นำนิกายของเจ้า ข้าเพียงแต่สนใจที่จะเห็นเจ้าเติบโตขึ้นมิมีอะไรไปมากกว่านั้น”