จวบจนกระทั่งสิ้นสุดของวันที่เจ็ด วันสุดท้ายของการทดสอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับศิษย์ใหม่ทั้งหมด 893 คน
มีเวลาเหลืออยู่เพียงอีกหกชั่วโมงก่อนที่การทดสอบจะสิ้นสุด แต่ก็ยังมีเหลือที่ว่างอีกประมาณหนึ่งร้อยที่เพื่อเติมให้เต็ม
“ในอีกหกชั่วโมง การทดสอบศิษย์ก็จักถึงเวลาสิ้นสุด แต่เมื่อเห็นแล้วว่าพวกเราใกล้ที่จะถึงขีดจำกัดที่พวกเราจะรับ ดังนั้นถ้าพวกเรายังมิได้มีศิษย์ถึง 1,000 คนภายในหกชั่วโมง พวกเราก็จะทำการทดสอบต่อไปอีกจนกว่าพวกเรามีศิษย์ครบ 1,000 คน แน่นอนว่าพวกเราจักเพียงยืดเวลาต่อไปอีกเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะมิได้มีศิษย์ถึง 1,000 คนในเวลานั้น พวกเราก็จะปิดการทดสอบไปจนกว่าจะถึงปีหน้า”
“อีกนัยหนึ่งก็คือ ครั้นเมื่อพวกเราได้รับศิษย์คนที่ 1,000 คนแล้ว พวกเราก็จักปิดการทดสอบทันที ถ้าพวกเจ้ามิได้รับโอกาสในการเข้าร่วมการทดสอบในปีนี้ แต่ต้องการที่จะกลับมาในปีหน้า พวกเราก็จะให้ป้ายแก่พวกเจ้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าสามารถข้ามไปยังแถวหน้าและเป็นคนแรกๆในการเข้าร่วมการทดสอบในปีหน้า”
เมื่อผู้เข้าร่วมที่นั่นได้ยินการประกาศนี้ พวกเขาต่างก็พากันกระวนกระวายขึ้นมาในทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนที่ว่างที่เหลืออยู่เริ่มลดลงไปทีละตำแหน่ง
หกชั่วโมงถัดมาเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังไม่ได้จำนวนศิษย์ 1,000 คนตามที่ต้องการและยังคงมีที่เหลืออยู่อีก 36 ตำแหน่ง พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยืดเวลาออกไปอีก 24 ชั่วโมง
สี่ชั่วโมงหลังจากที่ยืดเวลาออกไปแล้วจำนวนที่ว่างก็ลดลงเหลือแค่ 17 ตำแหน่ง
และหลังจากผ่านไปอีกสองชั่วโมง จำนวนที่ว่างก็เหลือเพียง 7 ตำแหน่ง
“ทำไมเจ้าจึงยืดเวลา ซูหยาง ข้ามิคิดว่าเจ้าจักใจกว้างเช่นนั้น” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เพราะว่าข้าอารมณ์ดี”
“หรือว่าเป็นเพราะเธอ” ดวงตาของโหลวหลานจีจับอยู่ที่เยี่ยนเยี่ยน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตลอดเวลาเหมือนกับเป็นตุ๊กตา
“ข้าเดาว่าเจ้าต้องกล่าวเช่นนั้น มิว่าอย่างไรนี่จักเป็นครั้งแรกของข้าที่ได้สอนคนที่เป็นที่รักของสวรรค์ ข้าสนใจใคร่รู้ว่าเธอจักเติบโตได้มากและเร็วแค่ไหน”
หลังจากอีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็เหลือเพียงสามตำแหน่งที่เหลืออยู่
“ต้องการศิษยอีกเพียงแค่สามคนรึ” โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แม้ว่าการรับศิษย์เพียงแค่ 1,000 คนนั้นน้อยกว่าสิ่งที่เธอคาดคิดไว้จากสถานการณ์และชื่อเสียงปัจจุบันของเธอไว้มากนัก แต่นั่นก็ยังดีกว่าแต่ก่อนมากนัก ที่ซึ่งพวกเขาได้รับเพียงศิษย์ไม่กี่สิบคนทุกปีแม้กระทั่งในช่วงที่นิกายเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์
“โอ ใช่แล้ว ซูหยาง ข้ามีคำถาม—”
ในขณะที่โหลวหลานจีกำลังอ้าปาก แผ่นดินก็เริ่มสะเทือน
“อะไรกัน แผ่นดินไหวรึ”
ผู้คนที่นั่นไม่ได้ให้ความสนใจมากนักในตอนต้น ต่างคาดคิดว่าแรงสั่นสะเทือนก็จะหายไปภายในไม่กี่วินาที
แต่ทว่าแผ่นดินกลับสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งหลังจากเวลาผ่านไปนานถึงหนึ่งนาที รุนแรงขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านไป
“ก-เกิดอะไรขึ้น นี่มิใช่แผ่นดินไหวธรรมดาแล้ว”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันเกิดความกังวลและกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น
“ซูหยาง เกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวนี้” โหลวหลานจีถามเขา
“…”
อย่างไรก็ตามซูหยางยังคงเงียบขณะที่เขาจ้องไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“???”
โหลวหลานจีจึงหันมองไปทางด้านนั้นเช่นกัน แต่เธอไม่สามารถเห็นอะไรที่นั่นไม่ว่าเธอจะมองอย่างไรก็ตาม
สองสามอึดใจให้หลัง บางคนค่อยชี้ไปยังทางที่ซูหยางได้จ้องมองไปและพลันอุทานออกมาด้วยเสียงตระหนกและหวาดกลัวว่า “ด-ด-ดูทางนั้น นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันหันไปมองที่ซึ่งคนผู้นั้นได้ชี้ และนั่นก็เป็นตอนที่ทุกคนสามารถเห็นงูสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าหลายกิโลเมตรจากที่นั่น
งูสีดำนี้มีดวงตาสีแดงเลือดและมีกลิ่นอายน่าหวาดกลับรอบตัวของมัน และมันก็ยังปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอีกด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นโครงร่างของมันนั้นก็ใหญ่โตเสียจนกระทั่งสูงกว่าภูเขา และหัวของมันนั้นก็ถึงกับแตะก้อนเมฆ
“โอ สวรรค์ ข้ามิเคยเห็นสัตว์วิญญาณที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้มาก่อน”
“ฮ-เฮ้ นั่นมันมิใช่มุ่งหน้ามาทางพวกเราหรอกรึ”
ผู้คนที่นั่นต่างเริ่มระส่ำระสายเมื่อพวกเขารู้ว่างูมหึมานี้มุ่งตรงมาทางพวกเขา
“วิ่ง วิ่งเอาชีวิตรอดถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะถูกบดขยี้จนตายจากเจ้าสัตว์อสูรนั่น”
ผู้คนที่นั่นต่างเริ่มวิ่งหนีจากพื้นที่ทดสอบ
“ซูหยาง สิ่งนั้นคืออะไร” ซุนจิงจิงและศิษย์คนอื่นต่างรีบเข้ามาหาเขา
หวังชูเหริน ผู้อาวุโสจง ไป่ลี่ฮัว และซีซิงฟาง ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเช่นกัน
“หากตัดสินจากพลังงานที่มันปลดปล่อยออกมา… นั่นก็คือสัตว์อัญเชิญ” ซูหยางกล่าวอึดใจให้หลัง
“อะไรนะ สัตว์อัญเชิญ เช่นนั้นต้องมีใครสักคนอัญเชิญสัตว์อสูรนี่ ใครกันที่จักทำเช่นนี้ และด้วยเหตุผลอะไรกัน” โหลวหลานจีอุทานออกมาด้วยหน้าตาแตกตื่น
และในขณะที่โหลวหลานจีถามคำถามนั้น เสียงอื่นก็ดังขึ้นมาในบริเวณนั้น แต่ทว่าเสียงนี้ไม่ใช่ของใครสักคนในบริเวณพื้นที่ทดสอบ และฟังดูเหมือนกับว่าดังมาจากที่แสนไกล
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าชอบอสรพิษโลหิตปีศาจนี้หรือไม่ ซูหยาง”
เมื่อผู้อาวุโสจงได้ยินเสียงคุ้นเคยนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และเขาก็อุทานออกมาดังลั่นว่า “ฟูกวาง”
“ฟูกวาง ผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษรึ” ไป่ลี่ฮัวอุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อของเขา
“นิกายล้านอสรพิษรึ” โหลวหลานจีร่างสั่นสะท้านหลังจากที่ได้ยินชื่อนี้
เสียงของฟูกวางพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง “นิกายล้านอสรพิษได้วางแผนใช้ไม้ตายนี้เพื่อที่จะยึดครองตระกูลซีที่โอหังในอีกสองสามปีข้างหน้า แต่เพราะว่าเจ้า ซูหยาง ข้าได้เปลี่ยนใจและตัดสินใจที่มิเพียงแต่จะเร่งแผนของพวกเราขึ้นอีกสองสามปีแต่ก็ยังใช้มันในการทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาเดียวกันอีกด้วย”
“อะไรนะ เจ้าบ้าไปแล้วรึ ผู้นำนิกายฟู นี่เป็นการทรยศต่อตระกูลซี ตระกูลข้าย่อมมิปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ และพวกเขาก็จักลงโทษเจ้าด้วยความตาย” ซีซิงฟางกล่าวด้วยเสียงโกรธแค้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าสามารถหยุดอสรพิษโลหิตปีศาจที่เหนือกว่าเขตอัมพรวิญญาณไปไกลแล้วละก็ ข้าย่อมยินดีที่จะมอบชีวิตให้เจ้า แต่ถ้าเจ้ามิสามารถฆ่ามัน แน่นอนว่ามันก็จักทำลายทั้งตระกูลซีและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและยึดครองทวีปตะวันออก” ฟูกวางคำรามดังลั่นในขณะที่ยืนอยู่บนหัวของสัตว์ร้ายนี้