สี่วันผ่านไปนับตั้งแต่ซูหยางได้สลบไสลหลังจากเอาชนะอสรพิษโลหิตปีศาจและฟูกวาง แต่เขายังไม่ได้มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้น
“เขาควรจะตื่นขึ้นได้แล้วในตอนนี้…” ชิวเยว่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
มีความเป็นไปได้ที่ซูหยางจะได้รับบาดเจ็บภายในหลังจากที่ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตัวเขาเองเกินตัว แต่เพราะว่าเขามีวิชาการฝึกปราณที่พิเศษเฉพาะ มันจึงได้ปกป้องกระทั่งคนอย่างชิวเยว่ในการมองเข้าไปภายในร่างของเขา ราวกับว่าถูกป้องกันโดยพลังที่มองไม่เห็นบางอย่าง
แน่นอนว่าชิวเยว่สามารถบีบบังคับมองทะลุผ่านพลังนี้เข้าไปด้วยพลังการฝึกปรือของเธอได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นอาจจะยิ่งทำให้อาการบาดเจ็บของเขาเลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเสี่ยงได้
“ข้ามิมีประสบการณ์ในสถานการณ์เช่นนี้…” ชิวเยว่เริ่มครุ่นคิดว่าตัวเธอเองนั้นควรทำอย่างไร
ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่ซูหยางใช้เพียงปราณเทพเพียงเล็กน้อยเพื่อสู้กับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณสองคนที่ทวีปใต้ ครั้งนี้เขาได้ใช้ปราณเทพมากกว่าในการเอาชนะอสรพิษโลหิตปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ใช้วิชาที่ทรงอำนาจที่อาจจะเป็นภาระต่อร่างกายของตัวเขาเองถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เสริมพลังมันด้วยปราณเทพก็ตาม
“ถึงแม้ว่าข้าจะหาคู่ฝึกให้กับเขาเพื่อใช้ฟื้นคืนปราณไร้ลักษณ์ให้กับเขาเหมือนแต่ก่อน แต่เขาก็จะไม่สามารถดูดซับปราณหยินของพวกเธอได้ถ้าเขายังคงหมดสติ…”
ในระหว่างการขบคิดของเธอก็มีใครบางคนเข้ามาในห้องแล้วถามว่า “เขายังคงหลับอยู่หรือ”
ชิวเยว่หันตัวไปและก็เห็นชินเหลียงหยูยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวล ดังนั้นชิวเยว่จึงพยักหน้า
“นี่เป็นสถานการณ์ที่เหมือนกันกับเมื่อตอนที่อยู่ทวีปใต้ ใช่ไหม ข้าควรเริ่มมองหาคู่ฝึกให้กับเขาหรือไม่ ข้ามั่นใจว่าเหล่าศิษย์ย่อมยินดีช่วยเขาฟื้นฟูเป็นแน่”
“แม้ว่าสถานการณ์อาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่เขาหมดแรงมากกว่าในครั้งนี้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะตื่นขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะเป็นเวลาหลายวัน… หรือหลายสัปดาห์นับจากตอนนี้ และนอกจากว่าเขาจะตื่นขึ้นมาดูดซับปราณหยิน ก็มิมีความหมายที่จะหาคู่ฝึกให้กับเขา”
ชินเหลียงหยูเปลี่ยนไปเป็นเงียบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
สองสามอึดใจให้หลัง เธอก็กล่าวว่า “จริงไหมที่เขาจำเป็นจะต้องตื่นขึ้นมาเสียก่อนที่จะดูดซับปราณหยิน ถ้าข้าจำมิผิด โดยพื้นฐานแล้วปราณหยินก็เหมือนกับปราณไร้ลักษณ์ และมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย พวกเรา ในฐานะผู้ฝึกยุทธปกติแล้วก็จะดูดซับปราณไรัลักษณ์แม้กระทั่งในเวลาที่เรามิได้เริ่มฝึกฝน”
“เจ้าคงมิหมายความว่า…” ชิวเยว่หันไปมองเธอด้วยสีหน้างงงัน
ชินเหลียงหยูกล่าวต่อว่า “พวกเราสามารถเติมปราณหยินเข้าสู่ห้องนี้ได้ แม้ว่ามันอาจจะมิได้มีประสิทธิภาพมากนัก แต่มันก็ควรจะเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูของเขาอย่างแน่นอน”
“แม้ว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี แต่เจ้าได้คิดไหมว่าปราณหยินของใครที่พวกเราควรจะใช้บรรจุเข้าไปในห้องนี้ ถ้าเป็นของคนที่อยู่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ ข้าก็ยังคิดสงสัยว่ามันจะสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในเมื่อเขาไม่ได้ดูดซับมันอย่างตั้งใจ ดังนั้นมันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพด้อยลงไปอย่างมาก และจะมีผู้ฝึกวิชาหญิงกี่คนในเขตอัมพรวิญญาณที่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ที่ยินดีจะทำอะไรที่น่าอายเช่นนี้”
“…”
ได้ยินคำถามเช่นนั้น ชินเหลียงหยูก็จ้องมองชิวเยว่อย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอควรจะแนะนำอะไรบางอย่างหรือไม่
สองสามอึดใจให้หลัง เมื่อชิวเยว่ตระหนักว่าทำไมชินเหลียงหยูจึงจ้องมองเธออย่างตั้งใจเช่นนั้น เธอก็พูดขึ้นด้วยใบหน้างงงันว่า “เจ้าต้องการให้ข้าทำรึ เจ้าเอาจริงรึ”
ชินเหลียงหยูพยักหน้า “ผู้อาวุโสชิวเยว่ มิเพียงแต่ท่านมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ แต่ท่านยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อท่านเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นปราณหยินของท่าน ซูหยางย่อมฟื้นคืนได้รวดเร็วกว่านี้อย่างแน่นอน”
ใบหน้าของชิวเยว่พลันแดงก่ำหลังจากที่ได้จินตนาการว่าตนเองได้เล่นกับของตัวเองในขณะที่อยู่ในห้องเดียวกับซูหยาง
“น-นั่นเป็นเรื่องไร้สาระ ใช่ว่าข้าจะสามารถทำอะไรที่น่าอายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าพูดถึงผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ก็ยังมีคนอื่นอีกที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าข้า” ชิวเยว่อุทานออกมา
“อะไรกัน ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่ากระทั่งผู้อาวุโสชิวเยว่อีกรึในโลกนี้ แล้วนั่นเป็นใครกัน” ชินเหลียงหยูถามด้วยดวงตาเบิกโพลง เสียงของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
“จะเป็นใครได้อีกนอกจากเซียวหรง ถ้าเป็นปราณหยินของเธอ ซูหยางอาจจะถึงกับฟื้นพลังวิญญาณของเขาได้ในพริบตา”
“เซี่ยวหรง เธอทรงอำนาจเช่นนั้นจริงๆหรือ”
เพราะว่าพวกเขาไม่เคยได้แนะนำเซียวหรงให้กับชินเหลียงหยูอย่างแท้จริง เธอจึงไม่เคยรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเซียวหรง
“ข้ามิสามารถยอมรับได้ เมื่อมาคิดว่าเด็กหญิงไร้เดียงสานั่นจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสชิวเยว่อย่างแท้จริง และข้าก็ได้ดูแลเธอเหมือนกับเป็นน้องสาว” ชิวเหลียงหยูร่ำร้องในใจ
สองสามอึดใจให้หลังชินเหลียงหยูก็กล่าวขึ้นว่า “แต่… ถึงแม้ว่าเซี่ยวหรงจะแข็งแกร่กว่าท่าน… เมื่อดูว่าตัวตนของเธอเป็นเช่นไรแล้ว… ข้ามิคิดว่าเธอจักสามารถที่จะเติมห้องนี้ด้วยปราณหยินได้”
ชิวเยว่แทบจะกุมขมับหลังจากที่นึกถึงสภาพไร้เดียงสาของชิวเยว่ เป็นเรื่องแน่นอนและเป็นงานที่ไปไม่ได้สำหรับคนแบบเธอ ในเมื่อนั่นไม่ต่างไปจากการขอเด็กซึ่งยังไม่แม้จะจับใจความทำความเข้าใจถึงคำว่า “ช่วยตัวเอง” ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของชิวเยว่ ชินเหลียงหยูก็กล่าวต่อว่า “ถ้าผู้อาวุโสชิวเยว่ยังคงลังเลที่จะเติมห้องนี้ด้วยปราณหยินของเธอ ข้าก็สามารถที่จะทำด้วยตนเองได้ แม้ว่าข้าจะอยู่แค่ในเขตปฐพีวิญญาณ ข้าก็ควรจะดีกว่าผู้ฝึกยุทธทุกคนในระดับเดียวกับข้า…”
เมื่อชินเหลียงหยูเริ่มคลายเสื้อผ้าของตนเอง ชิวเยว่พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน”
“ผู้อาวุโสชิวเยว่…” ชินเหลียงหยูมองดูเธอด้วยใบหน้างุนงง
“ไม่เป็นไร ข้าสามารถทำเรื่องนี้ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ชินเหลียงหยูไม่ได้กล่าวอะไรอีกเพียงพยักหน้าก่อนที่จะสวมเสื้อผ้าให้กระชับอีกครั้ง
“ข้าจักปล่อยซูหยางไว้ในมือท่าน ผู้อาวุโสชิวเยว่” ชินเหลียงหยูได้ออกไปจากห้องปล่อยให้ชิวเยว่อยู่ตามลำพัง
ครั้นเมื่อชินเหลียงหยูปิดประตูแล้ว ชิวเยว่ก็มองดูใบหน้าที่ยังคงหลับของซูหยางและพึมพัมด้วยเสียงเบาแต่มั่นคงว่า “พี่สาวใหญ่หลิงชีพูดถูก ถ้าข้าต้องการที่จะอยู่ข้างกายเขาและมิถูกบดบังด้วยคู่ของเขาคนอื่นในอนาคต ข้าต้องมีการตัดสินใจที่แข็งแกร่งและกล้ากว่านี้ ถ้าข้ามิสามารถกระทั่งทำสิ่งที่ง่ายๆในการช่วยชายที่ข้ารัก ถึงแม้ว่าจะน่าอายอยู่บ้าง ข้าก็จักมิมีสิทธิ์ที่จะอยู่ข้างกายเขา อย่าว่าแต่จะเป็นคู่ของเขา”