ไม่ว่าจะครั้งไหนที่ข้าได้เห็น ค่ายกลนี้ก็ช่างลึกล้ำและซับซ้อน เพียงแต่มิรู้ว่าซูหยางเรียนวิธีการสร้างค่ายกลเช่นนี้มาจากไหน” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ขณะที่วิจารณ์ค่ายกลป้องกันที่ปกป้องห้องสมบัติ
“ช่าย… ข้าก็สงสัยว่ามาจากไหนเช่นกัน…” รอยยิ้มแปลกๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโหลวหลานจี ในเมื่อเธอไม่สามารถบอกอีกฝ่ายได้ว่าซูหยางเรียนรู้มาจากในอดีตชาติของเขาเมื่อตอนที่เขาเป็นเซียน
ไม่กี่อึดใจจากนั้น โหลวหลานจีก็นำเอาป้ายหยกออกมาและวางมันลงไปในค่ายกลเพื่อเปิดมันออก
ป้ายหยกนี้ก็เปรียบเหมือนกุญแจสำหรับประตูไขค่ายกล และในทั้งโลกนี้ มีเพียงสองคนที่ถือมันไว้ ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และนอกจากจะมีใครสักคนที่มีความสามารถในการทำลายค่ายกลซึ่งต้องมีพลังการฝึกปรืออย่างน้อยในเขตราชันวิญญาณและมีความรู้ด้านค่ายกลอย่างลึกซึ่ง มิเช่นนั้นก็อย่าหมายคิดเข้าไปในคลังนี้
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในคลังแล้ว พวกเขาก็งงงันกับฉากที่อยู่ภายในนั้น
กลางห้องกองไว้ด้วยภูเขาแหวนมิติกองเล็กๆ และก็มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยวงกองอยู่รวมกัน
“ทำไมจึงมีแหวนมิติมากมายปานนี้” ผู้อาวุโสจ้าวพึมพัม
“ข้าก็สงสัยมากเช่นกันว่ามีอะไรอยู่ภายในแหวนมิติพวกนี้…”
โหลวหลานจีตรงไปหยิบแหวนมิติขึ้นมาหนึ่งวงและแอบมองเข้าไปข้างในด้วยพลังวิญญาณของเธอ
“อา?!”
แต่ทว่าไม่กี่อึดใจจากนั้นหลังจากที่เห็นภายในแหวนมิติแล้ว โหลวหลานจีก็ร่ำร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง เสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความตระหนก ก่อนที่จะปล่อยแหวนมิติร่วงลงพื้น
“เกิดอะไรขึ้นท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสเจ้าตะลึงงันกับการที่เธอพลันกรีดร้อง
“น-ใน… ดูด้านในแหวนมิติ…”
ผู้อาวุโสจ้าวกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและหยิบแหวนมิติที่โหลวหลานจีปล่อยทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาแอบดูด้านใน
เมื่อเขาเห็นภูเขาของหินวิญญาณด้านใน เขาก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจเช่นกัน “บ้าอะไรกัน อย่างน้อยต้องมีหลายล้านก้อนหินวิญญาณในนี้”
จากนั้นเขาก็หันไปดูภูเขาของแหวนมิติต่อหน้า
“ป-เป็นไปมิได้… อย่าบอกข้าว่าแหวนมิติทั้งหมดนี้บรรจุด้วยหินวิญญาณ…”
ผู้อาวุโสจ้าวและโหลวหลานจีพลันสอดส่องมองไปทั่วทั้งแหวนมิติทั้งหมด
สองสามนาทีให้หลังทั้งคู่ต่างก็พากันสบตากันเองด้วยดวงตาที่ลืมโพลง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ผู้อาวุโสจ้าวหัวเราะด้วยท่าทางแปลกๆ ราวกับว่าเขากลายเป็นบ้า “แหวนมิติทุกวงที่ข้าตรวจสอบล้วนบรรจุด้วยหินวิญญาณ… และแต่ละวงมีอย่างน้อยหลายล้านภายในนั้น”
“เช่นเดียวกันกับทางข้า…” โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าตื่นตะลึง “และมีแหวนมิติทั้งหมด 121 วงที่นี่… หมายความว่าต้องมีอย่างน้อยหลายร้อยล้านก้อนหินวิญญาณภายในกองของแหวนมิติเหล่านี้”
“สวรรค์ เพียงแต่ว่าซูหยางได้ความร่ำรวยนี้มาจากไหนกัน นอกจากว่าเขาปล้นทั้งทวีป เขาก็มิควรจะมีหินวิญญาณมากมายปานนี้” ผู้อาวุโสจ้าวอุทานออกมาดังลั่น ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“มิน่าประหลาดใจที่ว่าทำไมเขาจึงยินดีที่จะให้ศิษย์นอก 100 ก้อนหินวิญญาณทุกเดือน… ถ้าพวกเรามีหินวิญญาณมากมายปานนี้ พวกเราก็สามารถพยายามที่จะให้พวกเขา 1,000 ก้อนได้ทุกเดิือน”
“หินวิญญาณ 100 ก้อนสำหรับศิษย์นอกและก็ทุกเดือนด้วย” ผู้อาวุโสจ้าวมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ยินเช่นนั้น
“มิว่าอย่างไร อย่าบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเรามิต้องการให้ทั้งโลกรู้เกี่ยวกับความร่ำรวยของพวกเรา มิเช่นนั้นก็อาจจักชักนำปัญหาที่มิจำเป็นมาที่นี่”
“ข้ามิกล่าวถ้อยคำแม้แต่คำเดียวถึงแม้ว่าข้าจักต้องตายก็ตาม” ผู้อาวุโสจ้าวสาบานด้วยมือที่ชูขึ้นสูง
หลังจากที่จ้องมองไปยังความร่ำรวยมหาศาลตรงหน้าพวกเขาอีกสองสามอมอึดใจ พวกเขาก็ออกจากคลัง
ครั้นเมื่อโหลวหลานจีกลับไปถึงข้างกายซูหยางแล้ว เธอก็ถามเขาด้วยเสียงที่เหมือนกับยุงว่า “เจ้าไปทำบ้าอะไรจึงได้หินวิญญาณมามากมายเช่นนี้ อย่าบอกข้าว่าเจ้าไปปล้นทั้งทวีปมาอย่างลับๆ”
ซูหยางหัวเราะกับจินตนาการของเธอและตอบด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “งานเสริมของข้า”
“งาน…เสริมรึ…” โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงัน
“มิว่าอย่างไรตอนนี้เมื่อเจ้าได้เห็นความร่ำรวยของพวกเราแล้ว เจ้าก็มิจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับการที่พวกเราใช้จ่ายมากเกินไปในเวลาอันใกล้นี้”
จากนั้นเขาก็หันไปหาเหล่าศิษย์และกล่าวต่อว่า “เป็นอันตัดสินใจว่าศิษย์นอกจะได้รับหินวิญญาณ 100 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน ส่วนสำหรับศิษย์ใน พวกเจ้าจักได้รับ 1,000 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือน”
“1, 000 ก้อนหินวิญญาณ?!?!”
เหล่าศิษย์ต่างพากันอุทานดังลั่นพร้อมกับคางที่อ้าลงไปจนแตะพื้น
พวกเขามีอย่างน้อยกว่าแปดสิบคนศิษย์ใน ในชั่วเวลานี้ นั่นหมายความว่านิกายจะต้องใช้มากกว่า 80,000 ก้อนหินวิญญาณต่อเดือนกับพวกเขาและถึง 200,000 ก้อน ถ้าพวกเขารวมศิษย์นอกเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามถ้าหากพิจารณาจากความร่ำรวยที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในปัจจุบันมีอยู่ งบประมาณจำนวนนี้ก็เหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทร
“ส่วนสำหรับศิษย์หลักแล้วในเมื่อพวกเจ้ามีจำนวนไม่กี่คนแม้กระทั่งในอนาคต ข้าจักให้เบี้ยเลี้ยงต่อเจ้าโดยไม่จำกัด อีกนัยหนึ่งก็คือตราบเท่าที่พวกเจ้าต้องการหินวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไร ตราบเท่าที่มีเหตุผลสมควร นิกายก็จักจัดหาให้เจ้า” ซูหยางกล่าว
“มิจำกัด… จำนวนก้อนหินวิญญาณ….”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองดูซูหยางราวกับว่าเขาเป็นเทพ กระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีตระกูลซีเป็นผู้สนับสนุนการเงินของพวกเขาโดยตรงก็ยังไม่กล้าที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับศิษย์ของตนเองเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรกันอยู่” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “มันอาจจะดูเหมือนมีทรัพยากรมากมายในตอนแรก มากเสียจนกระทั่งเจ้าสามารถเก็บพวกมันส่วนใหญ่ไว้ใช้ในอนาคตได้ หรือกระทั่งนำไปจับจ่ายยามว่าง แต่ทว่าครั้นเมื่อพวกเจ้าเริ่มฝึกวิชา เจ้าจักตระหนักว่านี่มิได้เป็นเช่นนั้น ข้าจักให้วิชาการฝึกฝีมือที่พิเศษเฉพาะกับพวกเจ้าทุกคนที่จักเป็นประโยชน์ต่อพรสวรรค์ของพวกเจ้ามากที่สุด และพวกมันก็จะมีระดับอย่างน้อยที่เขตอัมพรวิญญาณ ซึ่งจักต้องการหินวิญญาณจำนวนมากในการฝึก และเมื่อยามที่พวกเจ้าก้าวไปถึงหนึ่ง 100… หรือกระทั่ง 1,000 ก้อนหินวิญญาณก็จักหายไปก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัว”