เมื่อหวังชูเหรินปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ทั้งหอประชุมก็เงียบลงในทันใด และมีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงได้ยินก็คือเสียงหัวใจเต้นด้วยความตื่นเต้นของเหล่าจอมยุทธ
“ยินดีต้อนรับสู่งานชุมนุมการปรุงยา ข้าหวังชูเหริน นักปรุงยาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้าก็จักเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ของข้าในงานของวันนี้” หวังชูเหรินกล่าวกับผู้คนอย่างสง่างาม และได้รับความสนใจจากพวกเขาในทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้เรียนรู้หลังจากได้รับประสบการณ์ในการทำงานเป็นเวลาหลายปีจากโรงประมูลดอกบัวเพลิง
“ก่อนอื่น ข้าจักขอขอบคุณทุกท่านมาในโอกาสนี้สำหรับการสละเวลามาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ ข้ารู้ว่าพวกท่านมีคำถามมากมายอยู่ในใจในเวลานี้ แต่ข้าขอร้องให้ทุกท่านยอมอดทนต่อไปอีกสักเล็กน้อย ในเมื่ออาจารย์ของข้าจักมี “ถ้อยคำ” ให้กับทุกท่านที่นี่”
หวังชูเหรินนำเอาแหวนมิติออกมา และวางเตาปรุงยาไว้ตรงกลางห้อง ก่อนที่จะก้าวออกไปด้านข้าง
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางซึ่งยังคงสวมชุดนักปรุงยาสีดำพร้อมทั้งสวมหน้ากาก ก็ค่อยเดินออกมาบนเวที
“นั่นเป็นนักปรุงยาที่ได้ค้นพบโอสถสู่ปฐพีรึ ช่างมีกลิ่นอายที่เหนือธรรมดาจริงๆ”
“เขาช่างดูสูงส่งกว่าที่ข้าได้คาดคิดไว้เสียอีก”
เหล่าจอมยุทธที่นั่นต่างพากันหายใจหนักหน่วงเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ของซูหยาง รู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้พากันมาอยู่ตรงหน้าของสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่
และทุกย่างก้าวที่ซูหยางเหยียบย่ำ ผู้คนก็ยิ่งหอบหายใจหนักยิ่งขึ้น
“ช่างโอ้อวดเสียเหลือเกิน…” หงอวี้เอ๋อร์ยิ้มในใจหลังจากที่เห็นการปรากฏตัวอย่างอลังการของซูหยาง
หลังจากที่ปรากฏตัวแล้ว ซูหยางก็เดินตรงไปยังเตาปรุงยาที่อยู่ตรงกลางห้องและนั่งอยู่ตรงหน้าเตา ไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปยังผู้ชม
อึดใจต่อไป เขาก็โบกชายเสื้อ เกิดเป็นเปลวเพลิงปรุงยาขึ้นมารายล้อมรอบเตา
“ช่างเป็นเปลวเพลิงที่สวยงามและแกร่งกล้า”
“ข้ามิเคยเห็นคนที่มีความสามารถในการควบคุมเพลิงปรุงยาได้ไร้ที่ติเช่นนี้มาก่อน มิรู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าที่จะได้รับผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้”
ผู้เชี่ยวชาญการปรุงยาเหล่านั้นต่างก้พากันหลงไหลไปกับเปลวเพลิงร้อนแรงที่เต้นระริกไปรอบๆเตาราวกับว่ามันมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมเปลวเพลิงของซูหยางราวกับว่าพวกมันไม่ต่างไปจากนิ้วมือของเขา
สองสามวินาทีให้หลัง เมื่อเตาปรุงยาร้อนเต็มที่แล้ว หวังชูเหรินก็นำเอาถาดบรรจุวัตถุดิบมาให้กับซูหยาง
“อะไรกัน หรือว่าเขามีเจตนาที่จะปรุงยาต่อหน้าเหล่านักปรุงยามากมายเช่นนี้ เขามิกังวลว่าพวกเราอาจจะขโมยตำรับยามาเป็นของพวกเรารึ”
เหล่านักปรุุงยาที่นั่นต่างก็พากันงงงันกับการที่ซูหยางตัดสินใจปรุงยาต่อหน้าเหล่าจอมยุทธมากมาย ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากการปรุงอาหารตำรับลับของตระกูลในขณะที่ถูกรุมล้อมไปด้วยพ่อครัวระดับโลกจำนวนมากที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ทุกขณะจิต
พวกเขาไม่มั่นใจว่าเป็นความโง่เขลาทั่วไปหรือว่าเป็นความบ้าบิ่นถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม เหล่านักปรุงยาทั้งหลายต่างก็อดยินดีที่จะได้เห็นว่ายาประเภทไหนกันที่ซูหยางกำลังจะปรุงออกมาด้วยวัตถุดิบเหล่านั้นไม่ได้
อย่างไรก็ตามก่อนที่นักปรุงยาจะทันได้เห็นวัตถุดิบเหล่านั้นที่รวมกันอยู่เหมือนกองใบไม้ ซูหยางก็โยนวัตถุดิบทั้งถาดนั้นลงไปในเตาปรุงยา
“นี่มันอะไรกัน”
เหล่านักปรุงยาที่อยู่ที่นั่นต่างพากันแตกตื่นจนพูดไม่ออกกับการกระทำของซูหยาง ในเมื่อความรู้พื้นฐานและสามัญสำนึกโดยทั่วไปนั้นจะให้โยนส่วนผสมเข้าไปทีละหนึ่งในเวลาที่เหมาะสม นอกจากว่าคนผู้นั้นจะสามารถทำงานพร้อมกันหลายอย่างด้วยการกลั่นวัตถุดิบแต่ละชนิดไปพร้อมๆกันได้ อย่างไรก็ตามใครกันที่จะสามารถประสบความสามารถเช่นนี้ที่ซึ่งกระทั่งนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นกระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าคิด
ตามความเป็นจริง ในประวัติของการปรุงยา วัตถุดิบที่นักปรุงยาคนหนึ่งเคยกลั่นพร้อมกันนั้นก็คือสามชนิด แต่ว่าซูหยางนั้นได้ทำการโยนวัตถุดิบสิบกว่าชนิดเข้าไปในครั้งเดียวโดยไม่ลังเล
“ถ้าพวกเรามิสามารถที่จะเห็นเขาโยนวัตถุดิบเข้าไปในเตาปรุงยา เช่นนั้นทั้งหมดที่เราต้องการก็คือมองเข้าไปในเตาปรุงยาและมองดูเขากลั่นและผสมวัตถุดิบเหล่านั้นทีละอย่าง”
เหล่านักปรุงยาที่นั่นต่างพากันคิดถึงทางออกอย่างรวดเร็วและรีบเพ่งสัมผัสวิญญาญไปยังภายในหม้อปรุงยา
แต่ทว่าในขณะที่เหล่านักปรุงยาเหล่านี้เพิ่งจะทันได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในเตาปรุงยา ซูหยางก็ได้กลั่นและผสมวัตถุดิบทั้งหมดเหล่านั้นเข้าไปรวมกันจนหมดแล้ว และมันก็ใช้เวลาน้อยกว่าสิบวินาทีในการดำเนินการให้ประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้
“อะไรกัน เขาสามารถกลั่นและผสมวัตถุดิบกว่าสิบชนิดด้วยเวลาไม่กี่วินาทีงั้นรึ เป็นไปไม่ได้”
เมื่อเหล่านักปรุงยาตระหนักว่าได้เกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างก็พากันทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนจากที่นั่งด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อประทับอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
ในเวลานั้น คนที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการปรุงยาต่างก็พากันตกตะลึงและสับสนกับปฏิกิริยาของเหล่านักปรุงยาเหล่านี้ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจถึงความลึกซึ้งของฉากนี้ได้
อย่างไรก็ตามสองสามอึดใจให้หลัง เมื่อซูหยางเปิดฝาเตาปรุงยาและนำเอายาที่อยู่ภายในออกมา กระทั่งผู้คนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการปรุงยาต่างก็พากันตกใจไปกับการที่เม็ดยาถูกสร้างขึ้นมาภายในเวลาสั้นๆแค่นั้น ในเมื่อพวกเขาทั้งหมดต่างพากันคาดว่ามันต้องใช้เวลากว่าสองสามชั่วโมง
หลังจากที่เงียบไปเป็นระยะเวลานาน ใครคนหนึ่งก็อุทานออกมาเสียงอันดังว่า “เป็นไปไม่ได้ เขาปรุงเม็ดยาได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที ข้ามิเชื่อ นี่ต้องเป็นอุบายที่พวกเขาได้ตระเตรียมไว้ก่อนหน้านั้น”
ครั้นเมื่อมีคนแสดงความสงสัยของตัวเองออกมา นักปรุงยาอีกหลายคนต่างก็เริ่มส่งเสียงแสดงความสงสัยของตนเองออกมาบ้าง ในเมื่อความสามารถของซูหยางนั้นตามปกติแล้วเป็นสิ่งที่น่าตระหนกและไม่น่าเชื่อมากเกินไปในสายตาของพวกเขา
เมื่อเห็นความสงสัยของผู้คนและได้ยินคำวิพากษ์วิจารย์ของพวกเขา หวังชูเหรินก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวขึ้นว่า “แม้ว่ายาขมยากจะกลืน* แต่สิ่งที่พกท่านได้เห็นเมื่อกี้นั่นก็ไม่ใด้เป็นการแกล้งทำแต่อย่างใด ข้าสามารถรับรองพวกท่านได้ว่าความสามารถของอาจารย์ข้านั้นเป็นของจริง”
“อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านยังมิพึงใจกับถ้อยคำของข้า พวกท่านสามารภก้าวออกมาตรวจสอบหม้อยาได้ด้วยตนเอง ถ้ามีหลักฐานว่ามีการหลอกลวงในการสาธิตเมื่อกี้นี้ เช่นนั้นพวกเราก็จักมอบตำรับยาโอสถสู่ปฐพีให้กับพวกท่าน”
“อะไรนะ จริงรึ”
นักปรุงยาไม่กล้าเสียเวลา รีบตรงเข้าไปยังเตาปรุงยาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังชูเหริน
แต่ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะใช้เวลาดูหม้อปรุงยามากมายเพียงใด และจากการตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของเตา นักปรุงยาเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะหาข้อสงสัยอะไรกับเตาปรุงยาออกมาได้
ถ้าการสาธิตเป็นเรื่องหลอกลวงและเม็ดยาที่ออกมาจากเตานั้นเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ นั่นก็ควรจะมีวัตถุดิบที่เขาโยนลงไปด้านในเหลืออยู่ และถึงแม้ว่าซูหยางจะเผาวัตถุดิบจนกระทั่งมันไม่มีอะไรเหลืออยู่ มันก็ควรจะยังคงมีหลักฐานหลงเหลืออยู่ภายใน
แต่อนิจจา เตาปรุงยานั้นสะอาดหมดจด และก็ไม่มีวี่แววที่จะบอกได้ว่าการสาธิตนี้เป็นการหลอกลวง
ครั้นเมื่อนักปรุงยาเหล่านี้ตระหนักถึงความจริงนั้นแล้ว พวกเขาต่างก็พากันมองไปยังซูหยางด้วยสีหน้าตื่นตระหนกบนใบหน้า ในเมื่อความสามารถของเขานั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกเขา
“พวกเราต้องขออภัยท่านผู้อาวุโสนักปรุงยาเป็นอย่างสูงในการสงสัยความสามารถของท่าน”
นักปรุงยาต่างก็พากันโค้งคำนับและกล่าวขอโทษเขาหลังจากนั้น
ซูหยางพลันยกมือขึ้นและกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ปลอมแปลงที่ทุ้มลึกมากกว่าเสียงดั้งเดิมของเขาพร้อมกับความรู้สึกลึกลับในนั้น “ผู้คนย่อมเกิดความสงสัยในสิ่งที่ตนเองมิเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นข้าจึงมิกล่าวโทษพวกเจ้าแต่ประการใดในการสงสัยความสามารถของข้า ตามจริงแล้วถ้าพวกเจ้ายังคงสงสัยควาสามารถของข้า ทำไมพวกเจ้าจึงมิตรวจสอบเม็ดยาที่ข้าเพิ่งได้ปรุงออกมาล่ะ แม้กระทั่งนักปรุงยามือใหม่ที่เพียงรู้แต่เรื่องพื้นฐานก็ควรจะสามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ที่เม็ดยาถูกสร้างขึ้น”
ซูหยางยื่นมือออกไปและแสดงเม็ดยาที่วางอยู่บนฝ่ามือให้พวกเขาเห็น
“น-นี่เป็นโอสถสู่ปฐพี และมันบริสุทธิ์ยิ่งกว่ายาทุกเม็ดที่มีขายอยู่ในตลาด”
“คุณสมบัติของยานั้นสูงกว่ายาคุณภาพสูงใดๆที่ข้าเคยเห็นมาก่อน… นั่นหมายความว่าอย่างไรกับยาเม็ดนี้กันแน่ อะไรที่มีคุณภาพยิ่งไปกว่าเม็ดยาระดับสูง เม็ดยาระดับสูงสุดอย่างงั้นรึ”
แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นเม็ดยาที่ดีที่สุดในโลกนี้ทั้งหมดมาก่อน แต่เหล่านักปรุงยาก็ยากที่จะยับยั้งน้ำลายที่ไหลออกมาจากปากของตนเองหลังจากที่เห็นเม็ดยาคุณภาพไร้ที่ติเป็นครั้งแรกในชีวิต
“กลิ่นที่หอมสดชื่นนี้… ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเม็ดยานี้เพิ่งนำออกมาจากเตา ถึงแม้ว่าพวกเรามิต้องการจะเชื่อ แต่พวกเราก็มิสามารถที่จะปฏิเสธความเป็นจริงที่แจ่มชัดได้” ผู้อาวุโสเจิ้ง นักปรุงยาระดับสุดยอดที่ตรงนั้นได้แสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
เวลาหลังจากนั้น ครั้นเมื่อนักปรุงยาที่นั่นได้มีโอกาสตรวจสอบเม็ดยาแล้ว หวังชูเหรินก็กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อตอนนี้ทุกคนได้เห็นกระจ่างชัดเจนในความสามารถของอาจารย์ของข้าแล้ว ก็ขอได้โปรดกลับคืนไปยังที่นั่งของพวกท่านและพวกเราจะได้ดำเนินการในการประชุมต่อไป เห็นด้วยหรือไม่”
แม้ว่านักปรุงยาจะลังเลกับการพรากไปจากเม็ดยาคุณภาพไร้ที่ติ พวกเขาก็ได้แต่พยักหน้าของตนเองและกลับคืนไปยังที่นั่งของตนเองในที่สุด
ครั้นเมื่อทุกคนได้กลับคืนไปยังที่นั่งของตนเองแล้ว ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามิได้สาธิตความสามารถของข้าเพียงเพื่อที่จะโอ้อวดความสามารถของข้า หรือว่าข่มความสามารถของเหล่านักปรุงยาในที่นี้ ตามความเป็นจริงแล้ว เจตนาในการสาธิตนี้ก็เพื่อที่จะขยายมุมมองของพวกเจ้าในด้านการปรุงยา สิ่งที่พวกเจ้าเห็นกันอยู่ภายในวันนี้นั้นเป็นเพียงแค่พื้นผิวของทะเลที่รู้จักกันในนามของการปรุงยา และที่ข้าได้รวมตัวพวกเจ้าทั้งหมดมาในวันนี้ก็หวังที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่พวกเจ้า”
ผู้แปล * ยาขมยากจะกลืน หมายถึง ไม่อยากที่จะยอมรับในเรื่องราวใดๆ แต่ก็ต้องจำใจยอมรับ
ปล. กลับมาแปลตามปกติในวันที่ 25/12/63 ครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย