“หยุดทำอืดอาดและก็บอกข้าได้แล้ว…” ชิวเยวี่ยกล่าวพร้อมขมวดคิ้วหลังจากที่ซูหยางทำเป็นจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
แม้ว่าเธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามีอะไรในใจของเขา ใจเธอก็ยังเต็มไปด้วยลางร้าย มือของเธอกำแน่น
“กาลครั้งหนึ่ง หญิงสาวผู้ฝึกฝีมือคนหนึ่งตกหลุมรักกับผู้ฝึกวิชาที่มีอายุมากกว่า…” ซูหยางเริ่มเล่าเรื่องให้กับเธอ ชิวเยวี่ยจึงเริ่มเงียบลง
“ผู้ฝึกวิชาหญิงติดตามเขาเฉกเช่นคู่ร่วมเดินทางเพื่อที่จะหว่านเสน่ห์ต่อเขา ติดตามเขาไปจากเมืองสู่เมือง จากทวีปสู่ทวีป แม้จวบจนจากดวงดาวสู่ดวงดาว ผู้ฝึกวิชาหญิงนี้ได้ติดตามชายคนนี้หลายสิบปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะใช้เวลาร่วมกันเป็นระยะเวลานานกับเขา เธอก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาตกหลุมรักได้ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” ซูหยางมองดูชิวเยวี่ยแล้วก็ถามเธอ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร บางทีเธอคงจะหน้าตาแย่ หรืออาจจะไม่สวยพอที่จะดึงดูดใจ” ชิวเยวี่ยชื่นชมความตั้งใจของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้ในใจทั้งที่เธอพูดออกไปแบบหยาบๆ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ผู้ฝึกวิชาหญิงแน่นอนว่าเป็นสาวสวย อีกทั้งเป็นสุดยอดสาวสวย”
เขากล่าวเพิ่มขึ้นว่า “เป็นเรื่องธรรมดามากเลย ผู้ฝึกวิชาหญิงเชื่อว่าด้วยใบหน้าสะสวยของเธอ สิ่งที่เธอต้องทำก็เพียงแค่อยู่ข้างๆชายคนนี้เพื่อหว่านเสน่ห์ให้กับเขา และเพราะว่าความคิดเธอเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกของเธอให้กับเขา”
“…” ชิวเยวี่ยจนคำพูด เป็นเช่นนี้เองหรือ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ชั่วขณะ ชิวเยวี่ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าสถานการณ์ของเธอในอดีตก็คล้ายคลึงกับเรื่องราวของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้
เพราะว่าเธอมั่นใจในความสวยงามไร้ที่ติ มันจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมชิวเยวี่ยไม่สนใจที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกของเธอกับซูหยาง และได้ทำเพียงแค่ติดตามเขาไปทั่วอย่างเงียบๆโดยหวังว่าเขาจะตกหลุมรักเธอ
ชิวเยวี่ยเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้ร่มผ้า หรือว่าซูหยางพยายามที่จะบอกเธอบางอย่างด้วยเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่เปิดเผยความรู้สึกให้แก่เขาที่สถาบันสี่ฤดู เธอก็คงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาหญิงในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ท่องเที่ยวร่วมกับซูหยางต่อไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่เปิดเผยความรู้สึกของเธอเพราะว่าความหยิ่งผยองของเธอเอง
ชิวเยวี่ยสั่นสะท้านกับความคิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ซูหยางกล่าวต่อว่า “นี่ยังมีอีกเรื่อง…”
“คู่สามีภรรยาที่โด่งดังเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน พวกเขาท่องเที่ยวรอบโลกเพื่อค้นหาบางสิ่ง วันหนึ่งมีคนถามสามีว่า จริงแล้วเขาคิดอย่างไรกับภรรยาบ้าง เขากลับตอบคำถามนั้นว่า “ภรรยา เจ้าพูดถึงอะไรกัน ข้ามิได้มีภรรยาสักคน”
เมื่อชิวเยวี่ยได้ฟังเรื่องนี้ในตอนแรก เธอไม่ได้คิดมากมายอะไรนักเพราะว่าเรื่องแรกทำให้เธอลดความระมัดระวังลงไป
“เจ้าคิดอย่างไรกับที่สามีพูดว่าเขามิได้มีภรรยาในเมื่อทั้งโลกรู้จักว่าเขาทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน” ซูหยางถามเธอ
“เพราะว่าเขาขี้ลืมจึงจดจำมิได้ว่าเขามีภรรยาอยู่” ชิวเยวี่ยตอบไปอย่างไม่ได้คิดมากนักด้วยน้ำเสียงสงสัย
ซูหยางสามารถบอกได้ว่าชิวเยวี่ยยังไม่ได้ตระหนักถึงความมุ่งหมายของเขาจึงหัวเราะเล็กน้อย “นั่นเป็นการคาดเดาที่มีเหตุผล แต่นั่นยังไม่ถูกต้อง อีกครั้ง ลองเดาอย่างอื่น”
ชิวเยวี่ยขมวดคิ้วและเริ่มครุ่นคิด แต่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องราวนั้น กลับกันเธอพยายามที่จะขบคิดว่าทำไมซูหยางจึงเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจ ในเมื่อเธอไม่เห็นว่าเขาเป็นคนที่จะเห็นเรื่องราวเหล่านี้สนุกสนานเพราะว่านี่น่าจะเป็นเรื่องราวสำหรับเด็กมากกว่า
“รอสักครู่…” ดวงตาชิวเยวี่ยพลันเบิกกว้าง ราวกับว่าเธอเพิ่งตระหนักรู้ ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน
ถ้าเรื่องแรกหมายถึงสถานการณ์ของเธอก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเรื่องราวที่สองนี้ก็ควรจะหมายถึงเรื่องราวของเธอ…
ชิวเยวี่ยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “พ-เพราะว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขา…ล้วนถูกสร้างขึ้นโดย…ภ-ภรร-ภรรยา”
ถึงตอนนี้รอยยิ้มของซูหยางพลันเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้าง และเขาพูดด้วยเสียงลึกลับว่า “โอ นั่นค่อนข้างเป็นเหตุผลที่น่าสนใจ…ทำไมเจ้าจึงคิดว่าภรรยาจึงต้องทำเช่นนั้น”
“…”
ดูท่าทางของเขา ชิวเยวี่ยพลันรู้ว่าเขาทดสอบเธอและไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เธอนิ่งเงียบไปชั่วขณะพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อย
ซูหยางไม่ได้เร่งรัดเธอและรอคอยอย่างอดทน อย่างไรก็ตามความเงียบกลับยิ่งทำให้ชิวเยวี่ยรู้สึกเลวร้ายลง
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ชิวเยวี่ยจึงค่อยเปิดปากพูด “พ-เพราะว่าภรรยาเหงาและต้องการ..ต้องการให้ความฝันของเธอเป็นจริง…”
แม้ว่าหน้าของชิวเยวี่ยยังก้มอยู่ ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้
เขาแอบถอนใจ คิดสงสัยว่าเขาล้อเล่นมากเกินไปหรือไม่
“ทำไมเจ้าจึงต้องร้องไห้ มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า” ซูหยางกล่าวสบายๆทำท่าเหมือนไร้เดียงสา
“หือ” ชิวเยวี่ยเงยหน้าจ้องมองเขาด้วยท่าทางงุนงง
“ข-เขามิรู้เรื่องหรอกรึ” เธอคิดสงสัยในใจ
ชิวเยวี่ยมีความมั่นใจว่าซูหยางได้รู้เห็นความลับของตัวตนของเธอในฐานะซูเยวี่ย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาบอกเธอเรื่องราวเหล่านั้น แต่ดูเหมือนกับว่าเธอเพียงหวาดระแวงเกินไป
อย่างไรก็ตามในขณะที่ซูหยางเตรียมที่จะบอกความจริงให้กับชิวเยวี่ย เซียวลี่ผู้ซึ่งติดตามพวกเขามาอย่างเงียบๆด้านหลังพลันเปิดปากพูดขึ้นว่า “นายท่าน “ซูเยวี่ย” ที่ท่านครุ่นคิดถึงอยู่ตลอดมานี่คือใครกัน”
“…”
ทั้งชิวเยวี่ยและซูหยางหันไปมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน” ซูหยางถามเธอ
แต่ก่อนที่เซียวลี่จะทันได้ตอบคำถามเขา ซูหยางก็จำได้ว่าเซียวลี่ในฐานะสัตว์วิญญาณประจำตัวเขา สามารถได้ยินความคิดของเขาได้ถ้าไม่ระมัดระวัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนใช้สื่อสารความคิดกับสัตว์วิญญาณประจำตัวพวกเขา
และเซียวลี่ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเขตตำนาน อีกทั้งเป็นสัตว์อสูรที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตใจ ความสามารถในการอ่านใจของเขายิ่งแกร่งกล้ายิ่งกว่าสัตว์อสูรใดๆ
ได้ยินคำถามของเขา เซียวลี่ก็มองดูเขาด้วยท่าทางงงงัน แน่นอนว่าเธอได้ยินชัดเจนจากเขา..หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือจากภายในใจของเขา
ซูหยางหันหน้าไปมองชิวเยวี่ยอย่างช้าๆ แน่นอนว่า เธอจ้องมองเขาด้วยแก้มป่องและท่าทางเป็นทุกข์ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ อีกทั้งยังมีน้ำตาคลอเบ้า
“นี่เป็นว่าท่านรู้มาโดยตลอด” เธอร่ำร้องเสียงดัง