ขณะที่วูจินจิงกับซูเมิ่งอี้กำลังสาละวนอยู่กับอีกฝ่าย สำนักสุวรรณสิงห์ก็เริ่มสร้างใหม่อาคารสถานที่หลังจากที่เซียวลี่เกือบทำลายรากฐานกว่าพันปีของพวกเขาไป
อย่างไรก็ตามความเสียหายที่สำนักของพวกเขาได้รับนั้นปรากฏว่าเสียหายร้ายแรงมากกว่าที่เจ้าสำนักทองได้คาดคิดไว้ ในเมื่อทรัพย์สมบัติล้วนถูกเผาผลาญเป็นขี้เถ้าไปพร้อมกับทรัพยากรหลักส่วนใหญ่ของสำนักซึ่งอยู่ล้วนอยู่ภายในอาคาร
และเมื่อปราศจากทรัพยากรส่วนใหญ่ของพวกเขา สำนักสุวรรณสิงห์ก็ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูตนเองได้ ส่งผลให้เจ้าสำนักทองจนมุม
“เชี่ย เชี่ย เชี่ย”
ภายในห้องของเขา เจ้าสำนักทองระบายความโกรธแค้นไปกับเครื่องเรือนรอบข้าง โยนพวกมันไปทั่วห้อง
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้าเด็กผมเงินนั่น ถ้าเจ้าเด็กนั่นมิได้เข้ามาสอดส่องต้องสงสัยในสำนักข้า สิ่งเหล่านี้ย่อมมิเกิดขึ้น” เจ้าสำนักทองโยนความผิดทั้งหมดไปให้เซียวลี่ โดยไม่สนใจพฤติกรรมของตนเอง
หลังจากทำลายข้าวของต่อไปอีกสองสามชิ้น สุดท้ายเจ้าสำนักทองก็หยุดอาละวาดและหันไปมองยังร่างสวมหน้ากากที่ยืนนิ่งอยู่ที่มุมห้อง
ร่างสวมหน้ากากเมื่อเห็นว่าในที่สุดเจ้าสำนักทองก็หันมาสนใจตนเอง จึงค่อยพูดออกมาด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ถ้าผู้อาวุโสทองต้องการทรัพยากร พวกเราดาบแสงจันทร์สามารถช่วยท่านแก้ปัญหาได้”
ได้ยินคำพูดจากร่างสวมหน้ากาก เจ้าสำนักทองแค่นเสียงเย็นชา “อีกกี่ครั้งที่ข้าควรจักฆ่าคนของเจ้าก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าใจคำตอบของข้า ข้าปฏิเสธทุกสิ่งที่เจ้านำเสนอ”
อย่างไรก็ตามคนสวมหน้ากากยังคงอยู่ภายในห้องและกล่าวว่า “ถ้าท่านช่วยเราทำลายตระกูลซี พวกเราจักยกความมั่งคั่งทุกอย่างของพวกเขาให้กับท่าน ซึ่งนั่นเป็นทรัพยากรที่นับว่าเพียงพอต่อการซ่อมแซมสำนักของท่านอย่างเหลือเฟือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังสามารถยึดตำแหน่งของพวกเขาและปกครองทวีปตะวันออกทั้งหมด”
เจ้าสำนักทองไม่ได้ตอบสนองในทันที และมีท่าทางครุ่นคิดอยู่บนใบหน้า
คนเหล่านี้ที่เรียกตนเองว่าดาบแสงจันทร์โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ในวันหนึ่งต่อหน้าเขาเมื่อสองเดือนก่อนและร้องขอให้เขาช่วยทำลายตระกูลซีนับแต่นั้น
ครั้งแรก เจ้าสำนักทองล้วนเพิกเฉยต่อพวกเขาอีกทั้งยังฆ่าคนส่งข่าวทุกคนที่พวกเขาส่งมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจที่เขามีต่อเป้าหมายของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น และตอนนี้สำนักของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งการล่มสลาย ข้อเสนอของพวกเขาพลันกลายเป็นสิ่งน่าพึงพอใจที่สุดในสายตาของเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตกลงทันทีในการช่วยพวกเขา เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้คนพวกนี้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ถูกจูงจมูกไปได้โดยง่าย
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คนในหน้ากากก็กล่าวต่อว่า “ดาบแสงจันทร์ของพวกเราเพียงต้องการเจ้าหญิงของตระกูลซี ส่วนอื่นที่เหลือผู้อาวุโสทองสามารถตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอะไรกับพวกมัน”
“มีอะไรกับเจ้าหญิงของตระกูลซีที่สำคัญต่อพวกเจ้ารึ คำตอบของข้าจักขึ้นอยู่กับเหตุผลของพวกเจ้า” เจ้าสำนักทองกล่าวต่อหลังจากนั้น
“ท่านผู้นำต้องการที่จะได้รับร่างสวรรค์ของเธอ ร่างร้อยพิษมิกราย”
คนสวมหน้ากากไม่ได้พยายามปกปิดความจริงจากเขาเพราะว่าผู้นำสั่งเขาให้ทำเช่นนั้น เนื่องเพราะว่าดาบแสงจันทร์ต้องการความช่วยเหลือจากเขาอย่างมากเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมาย
“ร่างร้อยพิษมิกราย หึ” เจ้าสำนักทองแอบแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ร่างสวรรค์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งภายในทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นกระทั่งผู้ที่มีพลังอำนาจดังเช่นเจ้าสำนักทองก็ยังต้องการเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าข้าจำได้มิผิดพลาด พวกเจ้าสามารถข้ามทะเลหยกมายังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยใช้สมบัตวิญญาณบางอย่าง แต่มันเพียงทำงานทางเดียวใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น” คนสวมหน้ากากยืนยัน
“แต่เพื่อที่จะให้พวกเราข้ามทะเลหยกมาถึงที่นี่ มันจักใช้เวลาครึ่งปีเป็นอย่างน้อย”
“พวกเราจักรอท่านผู้อาวุโสทองไปถึงทันทีที่ท่านตกลงช่วยเหลือพวกเรา” ร่างนั้นกล่าว
เจ้าสำนักทองเงียบลงไปอีกครั้ง
หลังจากคิดไปอีกสองสามนาที เจ้าสำนักทองก็ฉีกยิ้มและกล่าวว่า “บอกผู้นำของเจ้าว่าข้าจักไปหาเขาโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้”
คนสวมหน้ากากพยักหน้าและหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเจ้าสำนักทองอยู่ตรงนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าพวกโง่เง่า…” เจ้าสำนักทองหัวเราะในใจ “พวกเจ้าคิดหรือว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ ทำไมข้าจักต้องฟังใครก็ไม่รู้จากสถานที่ที่ต่ำต้อยดังทวีปตะวันออก ทั้งยังต้องการแบ่งทรัพย์สมบัติกับข้า”
เขาคาดหวังที่จะได้รับร่างร้อยพิษมิกรายเป็นของตนเองอย่างเงียบๆ รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเอง จินตนาการว่าเขาสามารถข้ามทะเลไปถึงได้อย่างราบรื่น
–
–
–
ในสถานที่เหนือทะเลหยก ชิวเยวี่ยหันกลับไปดูทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางด้านหลังเธอด้วยรอยยิ้มโล่งอก
“ข้าสามารถเก็บซ่อนความลับของข้าจากเขาได้สำเร็จ” เธอชื่นชมในใจ
ตอนนี้เธอไม่คิดกังวลว่าเขาจะพบเธอในฐานะธิดาเทพเซียนซูเยวี่ยจนต้องอับอายปางตายอีกต่อไป
“เจ้าดูมีความสุขนะวันนี้” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า “มีอะไรดีๆเกิดขึ้นก่อนหน้านี้รึ”
“อาจจะหรืออาจจะไม่ ใครจะรู้” ชิวเยวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น
ซูหยางยังคงยิ้มลึกลับ “เจ้ารู้ไหม ข้าเรียนรู้หลายอย่างระหว่างที่อยู่ที่นั่นเพียงแค่สั้นๆ และนั่นทำให้การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามากๆ”
“โห ท่านกระทั่งยังเรียนรู้หลายสิ่งจากที่นั่นด้วยรึ อะไรบ้างที่ท่านรู้” ชิวเยวี่ยสังเกตเห็นว่าท่าทางของเขาค่อนข้างแปลก แต่เธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยที่ประดุจฝุ่นละอองบนเสื้อผ้า
“มิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร มันเป็นเพียงเรื่องราวน่าใจเล็กน้อยบางอย่างเท่านั้น”
“จริงรึ ทำไมท่านมิแบ่งปันให้กับข้าบ้าง” ชิวเยวี่ยพูดโดยไม่คิด
“เจ้ามั่นใจรึ เจ้าอาจจะพบว่ามันมิได้เป็นเรื่องสนุกอะไรเลยก็ได้” ซูหยางเตือนเธอแบบไม่ใส่ใจ
“มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขานใช่ไหม ไม่มีอะไรที่มั่นใจในเรื่องพวกนั้น”
ในตอนนี้ ท่าทางขี้เล่นบนใบหน้าของชิวเยวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับกลิ่นอายลึกลับที่อยู่รอบตัวซูหยาง
ส่วนสำหรับซูหยาง รอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเขายิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ เขาแทบรอไม่ได้ที่จะเห็นท่าทางชิวเยวี่ยที่จะเกิดขึ้นครั้นเมื่อเขาเริ่มพูดเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ชื่อซูเยวี่ย