บทที่ 572: คะแนนเต็ม
“อะไรกันนั่นท่านผู้อาวุโสเพิ่งเรียกซูหยางว่าเป็น “เพื่อน” ของเขาใช่หรือไม่”
“ใช่ซูหยางคนเดียวกันจากนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยหรือไม่”
“อัจฉริยะระดับหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณเมื่ออายุได้ 17 ปี นั่นใช่ไหม”
เมื่อผู้คนได้ยินคําพูดของซูหยาง พวกเขาต่างพากันกระซิบกระซาบซึ่งกันและกัน
แม้ว่าจะค่อนข้างจะเป็นที่น่าประหลาดใจตั้งแต่ตอนแรกที่ว่าซูหยางจะมีเส้นสายกับนักปรุงยาคนนี้แต่หลังจากที่พวกเขาคิดกันอยู่ชั่วขณะ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีเหตุผลที่เขาจะรู้จักคนจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง ในเมื่อนี่ย่อมเป็นการอธิบายถึงความก้าวหน้าและพรสวรรค์อันเหลือล้นของเขา
“ข้ารู้แล้ว ซุหยางนั่นมีสายสัมพันธ์กับนักปรุงยานี้จริงๆ แต่ทําไมข้าจึงยังมิเห็นตัวเขา มิใช่ว่าเขาเองก็มาที่เมืองนี้เช่นกันหรอก หรือว่าเขามาเมืองนี้เพื่อทําอย่างอื่น” “เจ้าชีครุ่นคิดด้วยสีหน้า เคร่งเครียด
“ดูเหมือนว่าพวกเราได้ออกนอกเรื่องไปชั่วขณะ แต่อย่างไรก็ตามมีใครอีกไหมที่มีผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้” ซูหยางพูดเสียงดัง
ในขณะถัดมา ชายชราคนหนึ่งก็เผยให้เห็นถึงม้วนคัมภีร์ของเขาและกล่าวว่า “75,651”
“นั่นเป็นผู้อาวุโสเจิ้ง หนึ่งในนักปรุงยาผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในทวีปตะวันออก”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันจดจําผู้อาวุโสเจิ้งได้ในทันที ซึ่งเขาเป็นนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงมานานกว่าศตวรรษแล้วในตอนนี้
“นั่นเจ้าคงเป็นสุดยอดในทวีปตะวันออกงั้นสินะ” ซูหยางถามอีกฝ่ายด้วยเสียงเยือกเย็น
“ผู้ชราผู้นี้มิกล้าที่จะอ้างตัวว่าเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดต่อหน้าท่านผู้อาวุโส” ผู้อาวุ โสเจิ้งยืนขึ้นแล้วทําความเคารพซูหยางด้วยความเคารพอย่างสูง “แต่อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้ศึกษาการปรุงยามานานกว่าสองร้อยปีแล้วในตอนนี้ ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของข้า”
ซูหยางพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อว่า “มีใครอื่นอีกที่มีผลลัพธ์ที่สูงกว่านี้”
ในเวลาหลังจากนั้น หญิงสาวสวยคนหนึ่งก็ยกมือของเธอขึ้นและเธอก็แสดงให้เขาเห็นถึงจํานวนที่บันทึกไว้ในม้วนคัมภีร์ของเธอ
“87,979”
“โห มิเลวเลยทีเดียวกับคนที่มีอายุเท่านี้ สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร” ซูหยางถามเธอ
เด็กสาวยืนขึ้นอย่างเยือกเย็นและคํานับเขาก่อนที่จะพูดว่า “ผู้เยาว์คนนี้ชื่อว่า โหลวอี้เชียว และข้าในตอนนี้นั่นเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเจิ้ง”
“สมกับเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเจิ้ง เธอดูเหมือนนจะมีพรสวรรมากกว่าอาจารย์ของตนเอง”
“ถ้าข้าจํามิผิด เธอเหมือนจะมีอายุเพียง 25 ปี ใช่ไหม และเธอก็เพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณ…”
“แม้ว่าการมีพลังการฝึกปรือสูงจะสามารถเพิ่มพูนความทรงจําได้ แต่ผู้มีพรสวรรค์อย่างเช่นเธอนั้นเกิดมาพร้อมกับความทรงจําของอัจฉริยะ มิน่าแปลกใจเลยที่ทําไมผู้อาวุโสเจ๋งจึงรับเธอไว้เป็นศิษย์”
“เธอต้องได้รับหนึ่งในสามตําแหน่งนั้นอย่างแน่นอน ข้าขอพนัน…”
“อย่ามองข้ามความสามารถของพวกเราเช่นกัน ในขณะที่เธออาจจะมีความทรงจําที่ดีอย่างแท้จริง แต่พวกเราก็มิรู้ว่าเธอจะทําได้หรือไม่ในการทดสอบอีกสองอย่างข้างหน้า”
“ข้ามสนใจว่าเจ้าจะมีอาจารย์หรือไม่ ตราบเท่าที่เจ้ามีสิ่งที่ต้องการและเจ้ามีความปรารถนาที่จะเป็นศิษย์ของข้า ข้าก็จักรับเจ้าไว้ภายใต้ปีกของข้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ
ในเวลาถัดจากนั้นเขาก็หันไปมองยังหวังชูเหรินและถามเธอ “ผลลัพธ์ของเจ้าได้เท่าไหร่”
รอยยิ้มมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังชูเหริน ขณะที่เธอเผยให้เห็นผลลัพธ์ของตัวเอง
“93,211”
“เจ้ากล้าทําเป็นพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าได้คาดหวังคะแนนเต็มจากเจ้า ดูเหมือนว่าข้าได้ปล่อยปละละเลยกับการฝึกฝนของเจ้าในระยหลังมานี้ใช่ไหม อย่ากังวลไป ครั้นเมื่องานนี้จบลงไปแล้ว ข้าจักอบรมเจ้าอย่างเหมาะสม” ซูหยางกล่าวกับเธอ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังชูเหรินหายไปในทันที และเธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แม้กระทั่งคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองเธอด้วยความสงสารในสีหน้าโดยมีบางคนในนั้นที่ถึงกับแอบหัวเราะไปกับเคราะห์ร้ายของเธอ
“มีอีกไหม มิมีใครที่นี่ที่ได้รับคะแนนเต็มบ้างเลยรี” ซูหยางถามพวกเขาหลังจากนั้น
ทันใดนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งยกมือของเธอขึ้น
“ทางนี้”
หญิงสาวสวยผู้ซึ่งเพิ่งพูดออกไปยกม้วนคัมภีร์ในมือเธอขึ้นไปบนอากาศ แสดงให้ทุกคนในห้องเห็นคะแนนเต็ม หนึ่งแสน เขียนติดอยู่บนนั้น
“นั่นคือหงอ เอ๋อร์ สมกับเป็นอัจฉริยะอันดับสองของทวีปตะวันออก ถ้ามีใครสมควร จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสแล้วล่ะก็ นั่นก็ควรจะเป็นคนแบบเธอ”
ซูหยางมองดูเธอพร้อมกับหรี่ตาและพูดกับเธอผ่านสัมผัสวิญญาณ “เจ้ากําลังจะพยายามทําอะไรรึ เจ้าจะได้อะไรจากการเป็นศิษย์ของข้าเมื่อเจ้าเป็นภรรยาข้าอยู่แล้ว”
ถังหลิงซี่ยิ้มและตอบกลับผ่านสัมผัสวิญญาณว่า “อย่ากังวล ข้ามิได้มีแผนที่จะลดฐานะของเข้าลงจากภรรยามาเป็นศิษย์อย่างแน่นอน ข้าเพียงแค่พยายามหาอะไรสนุกๆก่อนที่ข้าจะกลับคืนสู่ร่างเดิมของข้า
ซูหยางถอนใจหลังจากที่ได้ยินเหตุผลของเธอ และเขาก็พูดด้วยเสียงอันดัง “เพราะว่าหงอวเอ๋อร์และหวังชูเหรินเป็นศิษย์ข้าอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงมินับแต้มของพวกเธอ ดังนั้นข้าจักให้แต้มพิเศษสิบแต้มให้กับโหลวอี้เซียวกับการมีผลลัพธ์ดีที่สุด”
“อะไรกัน หงอกี้เอ๋อร์เป็นศิษย์ของเขาอยู่แล้วงั้นรี”
เมื่อบรรดาผู้คนที่นั่นได้ยินข่าวนี้ พวกเขาก็พากันจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง กระทั่งหวังชูเหรินเองก็อดที่จะหันกายไปมองยังอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจไม่ได้
“เมื่อไหร่กันที่ซูหยางรับเธอเป็นศิษย์ ข้าคิดว่าข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวเสียอีก” เธอร่ําร้องในใจรู้สึกว่าตําแหน่ง “ศิษย์” ของเธอนั้นไม่ได้น่าประทับใจอีกต่อไป
ในเวลาถัดมา ซูหยางก็ทําการทดสอบต่อ
“สําหรับการทดสอบแรก ข้าทดสอบความทรงจําของพวกเจ้า ตอนนี้การทดสอบที่สองนี้ข้าจักทดสอบความสามารถในการดมกลิ่น” เขากล่าวกับพวกเขา
“ในฐานะนักปรุงยา เป็นเรื่องที่สําคัญอย่างมากที่จะต้องมีความสามารถในการดมกลิ่น ในเมื่อมีสมุนไพรที่มีสามารถที่จะตรวจจับหรือรับรู้ด้วยสัมผัสวิญญาณได้ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการใช้จมูกของพวกเจ้า เป็นเรื่องที่สําคัญมากเช่นกันสําหรับเจ้าในการสามารถที่จะแยกแยะส่วนผสมได้ด้วยกลิ่น ถ้าเจ้ามีจมูกดี เมื่อได้รับการฝึกฝนบางอย่าง เจ้าก็จักสามารถแม้กระ ทั่งดมกลิ่นส่วนผสมของเม็ดยาที่เจ้ามิเคยเห็นมาก่อนได้”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
คนเราสามารถบอกส่วนผสมของตัวยาจากเม็ดยาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเพียงแค่ด้วยการดมกลิ่นได้ด้วยอย่างนั้นรี นั่นฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่ออยู่บ้าง ในเมื่อพวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่มีความสามารถเช่นนั้นมาก่อน
ต่างจากหวังซูเหรินที่ซึ่งได้เป็นพยานในความสําเร็จของการกระทําเช่นนี้ของซูหยางมาก่อนมันเป็นที่ค่อนข้างยากที่จะเชื่อคํากล่าวอ้างเช่นนั้น