บทที่ 590 พบกับสํานักสุวรรณสิงห์
“เจ้ามั่นใจว่าพวกเราจะไปพบกับพวกนั้นตามลําพัง มิปลอดภัยกว่าหากให้จอมยุทธสักคนตามเราไปด้วย” ซีหวังกล่าวกับเขาหลังจากที่พวกเขาออกจากยานบินแล้ว
“อย่ากังวลไป พวกนั้นมิทําอันตรายท่านหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมกับยิ้ม
สองสามอึดใจให้หลัง พวกเขาก็ไปถึงทะเลหยก
“ข้ารู้สึกได้ถึงพวกเขาแล้ว พวกเราไปทักทายแขกของพวกเรากันเถอะ” ซูหยางพูดขึ้นก่อนที่จะบินไปเหนือทะเลหยก
อย่างไรก็ตามไม่ทันได้ถึงครึ่งนาทีให้หลังปลาขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกลียดก็พุ่งขึ้นมาจากน้ําพร้อมกับขากรรไกรที่อ้ากว้างเล็งไปที่ซูหยาง
ซูหยางเพียงแค่เหลือบมองไปที่ปลาก่อนที่จะนําเอากระบออกมาตัดมันออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
“พวกนี้ก้าวร้าวกว่าที่ข้าคิด” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้น
“แน่นอน พวกมันจักโจมตีเจ้าแม้กระทั่งว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกมัน ราวกับว่าเป็นธรรมชาติของพวกมันที่จักต้องโจมตีทุกสิ่งที่อยู่ในสายตา และสัตว์ทะเลก็จักแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆหากว่าเจ้าเดินทางลึกเข้าไป นี่เป็นเหตุผลที่ทําไมจึงมิมีใครกล้าที่จะเดินทางไปในทะเลหยก”
หลังจากที่บินไปได้อีกสองสามนาทีพร้อมกับจัดการกับสัตว์ทะเลไปอีกมากกว่าโหล สุดท้ายซูหยางก็สามารถเห็นเรือลําใหญ่จากระยะห่างด้วยตาเปล่า
“มิน่าว่าทําไมพวกเขาถึงกล้าแล่นเรือผ่านทะเลหยก เพราะพวกเขามีสมบัติวิญญาณที่ลึกล้ำเช่นนี้” ซีหวังมีสีหน้าหวาดหวั่นหลังจากที่เห็นยานที่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงอำนาจ
ก็เหมือนกับยานบินของชิวเยว่ ยานบินจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางเป็นสมบัติวิญญาณที่มีกลไกการป้องกันมากมาย ยอมให้พวกเขาเดินทางผ่านทะเลหยกโดยมิต้องหวาดกลัวว่ามันอาจจะถูกทําลายจากสัตว์ทะเล
ในเวลานั้นบนยาน เจ้าสํานักทองก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวขึ้นของซูหยางกับซีหวัง
“คนหนึ่งอยู่ในเขตราชันวิญญาณส่วนอีกคนในไขตอัมพรวิญญาณ….พวกเขาเป็นพวกของเจ้าหรือไม่” เจ้าสํานักทองหันไปมองผู้ส่งสารของดาบเสี้ยวจันทร์ที่อยู่ข้างกาย
“ม-ไม่ใช่ แม้ว่าข้ามิรู้จักคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ แต่ผู้ที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ ต้องเป็นบรรพบุรุษตระกูลซี ซีหวังแน่” ผู้ส่งสารของดาบเสียวจันทร์กล่าว
“ตระกูลซีรึ ผู้ปกครองปัจจุบันของทวีปตะวันออกรึ พวกเขารู้ว่าพวกเราจะมาถึงก่อนหน้านี้หรือไม่” เจ้าสํานักทองถามอีกครั้ง
“นั่นเป็นไปไม่ไดก ต่อให้พวกเขาพบเห็นแผนของเรา พวกเขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่ จะต้องเกิดบางสิ่งขึ้นกับดาบเสี้ยวจันทร์เป็นแน่”
“ถ้าเช่นนั้นก็มิมีความหมายว่าพวกเขาจะทําอะไร เมื่อข้าสามารถที่จะจัดการกับคนทั้งสองนี้ได้ด้วยตัวข้าเอง” เจ้าสํานักทองกล่าวขึ้นก่อนที่เขาจะกระโดดออกจากเรือและพุ่งไปยังซูหยางกับซีหวัง
ระหว่างที่เขาเหินบินไปนั้น สัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่ใหญ่เท่ากับลําเรือที่มีพลังการฝึกปรือในระดับสูงสุดเขตอัมพรวิญญาณก็โจนขึ้นมาจากท้องทะเลและพยายามที่จะกัดเจ้าสํานักทอง
แต่ทว่า เจ้าสํานักทองเพียงแค่แค่นเสียงก่อนที่จะสังหารมันด้วยเพียงหมัดเดียว
เมื่อซีหวังเห็นกระแสพลังที่แหลมคมของเจ้าสํานักทอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“ชายคนนั้นทรงอํานาจมาก แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก เจ้ามั่นใจว่าเรามจําเป็นต้องหากองหนุนรึ” ซีหวังกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
“ท่านเป็นจอมยุทธเขตราชันวิญญาณแนร์ ข้าได้บอกท่านไปแล้วว่าอย่ากังวล ข้ามิรู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ” ซูหยางส่ายหน้า
สองสามอึดใจให้หลัง เจ้าสํานักทองก็มาถึงตรงหน้าพวกเขาด้วยกระแสพลังที่กดดัน
“เจ้าพวกอ่อนแอต้องการบ้าอะไร” เขากล่าวกับซีหวัง
“เจ้าคือเจ้าสํานักทองจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางงั้นรึ” ซีหวังต้องการยืนยัน
“โฮ่ เจ้ารู้จักข้าอย่างงั้นรี สําหรับคนที่อยู่ห่างออกไปไกลนับแสนกิโลเมตรยังรู้จักข้านั้น ข้าต้องมีชื่อเสียงมากกว่าที่ข้าได้คาดคิดไว้” เจ้าสํานักทองพูดด้วยรอยยิ้มภูมิใจบนใบหน้า
“เจ้ามีเจตนาอะไรจึงมาที่ทวีปตะวันออกนี้ ถ้าเจ้ามาด้วยเจตนาที่ดีข้ายินดีรับประกันว่าเจ้าต้องได้รับประสบการณ์ที่พึงพอใจที่นี่ ในเมื่อตระกูลของข้าปกครองที่แห่งนี้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา…” ซีหวังหรี่ตาจ้องมองเจ้าสํานักทอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าขู่ข้ารึ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้านะรึ ช่างน่าหัวร่อ”
เจ้าสํานักทองหัวเราะเสียงดังลั่นจนทําให้ทั้งทะเลหยกและซีหวังสั่นสะท้าน
ครั้นเมื่อเขาหยุดหัวเราะแล้ว เจ้าสํานักทองก็พูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้ามีเพียงเจตนาเดียวในการมาที่นี่ ก็คือการพาผู้หญิงที่มีร่างสวรรค์กลับไป ในเมื่อเจ้ามาจากตระกูลซี เจ้าคงรู้ว่าข้าพูดถึงใคร”
ซีหวังกัดฟันหลังจากที่ได้ยินคําพูดของเจ้าสํานักทอง แม้ว่าเขาได้คาดการณ์อะไรแบบนี้ไว้แล้วก็ตาม มันก็ยังทําให้เลือดเขาเดือดพล่านด้วยความโกรธ
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าปฏิเสธ” ชีหวังพูดขึ้นหลังจากนั้น
“ปฏิเสธรึ…ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามิได้ขอให้เจ้าอนุญาต แต่ข้าสั่งเจ้าให้นําผู้หญิงมา คนอ่อนแออย่างเจ้ามิได้มีสิทธิ์หรูหราที่จะปฏิเสธ” เจ้าสํานักทองพลันปลดปล่อยพลังการฝึกปรือออกมา จนทําให้เกิดแรงกดดันอันกล้าแข็งปรากฏขึ้นยังบริเวณนั้น
“….”
ซีหวังรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นมดเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันกล้าแข็งของเจ้าสํานักทองเป็นความรู้สึกไร้พลังที่เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะประสบมาก่อน
“ถ้าเจ้ามินําหญิงที่มีร่างสวรรค์มา ข้าจักพลิกแผ่นดินคว่ําทวีปตะวันออกนี้ซะจนกว่าข้าจะเจอตัวเธอ และเพื่อนที่อยู่ในเรือก็จักร่วมสนุกด้วยเช่นกัน”
“เจ้าชาติชั่ว…” ซีหวังร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธ และดวงตาของเขาก็มีประกายของความคิดฆ่าฟัน”
“ข้าจักมิทําเช่นเจ้า เจ้าแก่” เจ้าสํานักทองหัวเราะเยาะเย้ยหลังจากที่รับรู้ถึงกลิ่นอายการฆ่าฟัน
“ต่อให้พวกเจ้าสองคนโจมตีข้าพร้อมกัน พวกเจ้าก็ยังมิสามารถที่จะเอาชนะข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณบนเรือที่ข้าได้นํามาด้วยอีกยี่สิบห้าคน”
“อย่างไรก็ตาม ข้าจักมิเสียลมหายใจของข้านานไปกว่านี้ เจ้ามีเวลาสิบวินาทีในการตัดสินใจ”
“ให้ตายข้าก็ ”
เพียงแต่ว่าในขณะที่ซีหวังกําลังอ้าปาก ซูหยางก็พูดตัดบทเขา กล่าวว่า “ตกลง เราจักนําหญิงมาให้เจ้า”
“เจ้ากําลังคิดบ้าอะไร ซูหยาง” ซีหวังถามเขาด้วยเสียงที่พยายามระงับความโกรธ
“เงียบไว้แล้วปล่อยให้ข้าจัดการเอง” ซูหยางรีบกล่าวกับเขา พร้อมกับพูดต่อไปอีกว่า “ให้เวลาพวกเราสักสองสามนาที ผู้หญิงที่มีร่างสวรรค์นั้นตามความเป็นจริงแล้ว มิได้อยู่ห่างออกไปจากที่นี่มากนัก”
“โอ ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ข้าจักให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วโมงในการนําตัวผู้หญิงคนนี้มา” เจ้าสํานักทองกล่าวด้วยความอัศจรรย์พึงพอใจบนใบหน้าที่ดูดุร้ายนั้น
“ข้าจักกลับมาภายในสิบนาที” ซูหยางกล่าว
“อย่าได้กระทั่งคิดที่จะหนี เจ้าหนุ่ม เพราะว่าข้าจักตามหาเจ้ามิว่าเจ้าจะอยู่ไหนก็ตาม” เจ้าสํานักทองกล่าวกับเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้ามิต้องกังวลในเรื่องนี้ ในเมื่อข้ามิได้มีแผนที่จะวิ่งหนี ตามความเป็นจริงผู้เฒ่าท่านนี้จักอยู่กับเจ้าชั่วขณะในระหว่างที่ข้านําเอาผู้หญิงมาให้เจ้า” ซูหยางตอบกลับด้วยเสียงลึกลับจนทําให้เจ้าสํานักทองขมวดคิ้ว
“เจ้าเด็กคนนี้มีแผนอะไร…” เขาครุ่นคิดในใจ
“เจ้าบ้าหรือเปล่า ซูหยาง เจ้ากล้าทิ้งข้าไว้ที่นี่ตามลําพังกับเจ้าบ้านั่นได้อย่างไร” ชีหยางรีบปฏิเสธความคิดของเขา
อย่างไรก็ตาม ซูหยางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านทําตัวขี้ขลาดเช่นนี้ พลังการฝึกปรือของท่านจักมิพัฒนาถึงแม้ว่าจะไปที่ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางก็ตาม”
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” ซีหวังมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
อย่างไรก็ตามก่อนที่ชีหวังจะทันได้รับคําตอบจากเขา ซูหยางก็ได้หันกายและเหินร่อนกลับไปยังทวีปตะวันออก ปล่อยเขาทิ้งไว้ตามลําพัง