ตอนที่ 292 คิดฟุ้งซ่าน
ชุยหังก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองกลับไปนอนลงบนที่นอนใหม่ตอนกี่โมง แต่เพราะมีเรื่องภายในใจดังนั้นเขาจึงตื่นเช้ามาก
เมื่อมองดูเวลายังไม่ถึงตีห้าเลย
เมื่อคืนวานหลูจื้อบอกว่าตีห้ากว่าพวกเขาต้องออกเดินทางแล้ว
ชุยหังทดสอบลองส่งข้อความวีแชทไปหนึ่งข้อความ: [ฉันตื่นแล้ว พวกนายไปหรือยัง]
ทางฝั่งหลูจื้อตอบเขากลับมาอย่างรวดเร็ว: [กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง นายนอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ ฉันก็ไม่สะดวกคุย]
ชุยหังรู้ว่าพวกเขาคงจะกำลังรวมพลอะไรทำนองนั้น ดังนั้นจึงไม่ตอบกลับไปอีก
บางครั้งแม้อีกฝ่ายจะไม่พูดอะไร แต่ตนต้องมีสำนึกตื่นตัว
แต่หลังจากที่รู้ว่าหลูจื้อกำลังจะออกเดินทางแล้วเขาก็ไม่มีทางนอนต่อได้แล้วจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถไปกับหลูจื้อได้ แต่หัวใจก็ยังไปกับเขา
ด้วยความอดกลั้นความหุนหันพลันแล่นที่จะส่งข้อความให้หลูจื้อ ชุยหังจึงเริ่มเลื่อนดูเวยป๋อที่ตนต่อสู้มาตลอดทั้งช่วงเช้าวานนี้
ยังคงเป็นคำพูดพวกนั้นของตนก่อนหน้านี้ เขายิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพละกำลังในการพูดของตนนี้สามารถตอกกลับทำให้คนพวกนั้นปิดปากได้ยังไงนะ
ตัวเองในตอนนั้นมีกระทั่งแรงบันดาลใจในการด่าคน มีความคิดพุ่งดุจน้ำพุโดยไม่ต้องคิดมากเลย
เมื่อเทียบกับตนแล้ว คนที่ใส่ร้ายป้ายสีตนพวกนั้นกลับมีเพียงไม่กี่ประโยควนกลับไปกลับมา ไม่มีอะไรใหม่เลย
ในความเป็นจริงคนเหล่านี้ต่างก็มาดูสนุกๆ ไม่สนใจว่าเรื่องราวจะใหญ่โต ปืนใหญ่ภูเขาของความรุนแรงในโลกไซเบอร์ประเภทนี้ แต่ไหนแต่ไรต่างไม่มีทางรู้สึกว่าความรุนแรงของพวกมันทรงพลังขนาดไหน
เมื่อยามที่หิมะถล่มไม่มีสักครั้งที่จะมีเกล็ดหิมะรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
ที่จริงแล้วเหตุผลนี้เข้าใจง่ายมาก
บนอินเทอร์เน็ตต่างไม่ระบุชื่อ ในขณะที่ให้ความสะดวกสบายมากมายก็มีอันตรายมากมายซ่อนอยู่
มีคนด่าว่าคนบนนั้น แต่คนที่ถูกด่าว่ากลับไม่มีทางรู้เลยว่าคนๆ นี้แท้จริงแล้วเป็นใคร ตนไปทำให้เขาขุ่นเคืองใจตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ตราบใดที่ยังมีคนจงใจนำพา จากดำก็สามารถพูดให้กลายเป็นขาว จากขาวก็พูดให้กลายเป็นดำได้
การใช้ชีวิตในยุคอินเทอร์เน็ตแบบนี้ ชุยหังไม่เคยคิดที่อยากจะเป็นบุคคลสาธารณะ เขาไม่อยากให้แม้แต่เรื่องเวลาที่ตนเขาห้องน้ำแล้วนั่งยองๆ หรือว่ายืน ต่างก็กลายเป็นข่าวในวันรุ่งขึ้น
แต่ว่าคนบางคนไม่ต้องการให้คุณใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ คิดอยากจะผลักคุณให้ไปอยู่ในกระแสลมปากแหลมคม [1]
สิ่งของหรือคนที่เอามาครองไม่ได้ต่างต้องทำลาย
ความคิดของคนประเภทนี้ที่จริงแล้วค่อนข้างเป็นโรคจิตเภท
ชุยหังก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง แต่เขาเกลียดหลิวเฮ่อคนนี้จนเข้ากระดูกเลยจริงๆ
หวังว่าในชีวิตนี้ ตนไม่ต้องเจอคนๆ นี้อีกแล้ว
เจอหนึ่งครั้งคงจะสะอิดสะเอียนรังเกียจหนึ่งครั้ง
โชคดีที่ระยะเวลาที่ตนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลิวเฮ่อมันไม่สายจนเกินไป มิฉะนั้นคงไม่ใช่แค่เสียเวลาแต่อาจจะพลาดเสียหลูจื้อไปด้วย
ในความเป็นจริงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องให้ความสำคัญกับมาก่อนมาหลัง บางครั้งถ้าพลาดไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะตามกลับมาได้แล้วตลอดชีวิต
ดังนั้นเขาถึงอยากจะคบกับหลูจื้อโดยที่ไม่สนใจอะไรและไม่อยากเสียเวลาใดๆ
มีเวลาที่จะกังวลเรื่องนั้นกังวลเรื่องนี้ ไม่สู้ถนอมเวลาที่คนสองได้อยู่ด้วยกันดีกว่า
ฟ้าสางโดยไม่ทันรู้ตัว ตอนที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาชุยหังยังปรับตัวไม่ค่อยทัน
โทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเสียงของวีแชท
ชุยหังรีบหยิบขึ้นมาดูและปรากฏว่าเป็นหลูจื้อจริงๆ
[เมียครับ ฉันขึ้นรถแล้วนะ รอฉันกลับมานะ]
ไม่รู้ทำไม อันที่จริงภายในใจของชุยหังไม่ได้อึดอัดเสียใจแต่น้ำตากลับไหลลงมากะทันหัน ไหลผ่านหูกลิ้งตกลงบนหมอนเกิดเป็นเสียงกระทบขึ้นมาเบาๆ
ตอนที่ 293 สัมภาษณ์
ในวันแรกที่หลูจื้อไป ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยตลอดทั้งวัน
ชุยหังก็รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นคงไม่ได้ผ่อนคลายมากนัก
ในเวลานี้ทหารย่อมเอาภาระหน้าที่วางไว้เป็นอันดับแรก ในส่วนของความรักที่ลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวพวกนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปอึกอักกับมันแล้ว
ตอนนี้ก็เพราะเขาว่างเกินไป เมื่อก่อนตอนที่เรียนอยู่อย่างน้อยหลังจากเข้าเรียนแล้วหรือตอนที่ซ้อมเต้นต่างก็ต้องมีสมาธิมากจึงไม่มีทางฟุ้งซ่าน
แม้ว่าตนอาจจะไม่สามารถนำมาเทียบกับการตระหนักในภารกิจอันศักสิทธิ์ของหลูจื้อได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ตนลองที่จะไปเข้าใจหลูจื้อว่าตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไร แล้วตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน
เขาพยายามให้ตนเรียนรู้ที่จะชิน วันเวลาแบบนี้ในอนาคตยังต้องมีอีกมากแน่นอน
หลังจากผ่านไปแบบนี้หนึ่งวันเต็มๆ ตอนกลางคืนเขายังฝันว่าหลูจื้อกลับมาอยู่ข้างกายเขาแล้วกอดเขาไว้แน่นจนทำให้เขารู้สึกร้อนจนเหงื่อจะไหลออกมาแล้ว
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าในอ้อมแขนของตัวเองกำลังกอดหมอนไว้ ข้างกายว่างเปล่าไม่มีใครสักคน
ความรู้สึกเดียวดายทำให้เขารู้สึกว่าค่ำคืนนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน
หลังจากผ่านไปแบบนี้อีกสองวัน หลูจื้อยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ
แม้ว่าทางฝั่งหลูจื้อจะไม่ได้ส่งข้อความถึงชุยหังเลย แต่สองวันนี้ตัวชุยหังไม่ว่าจะเช้าเที่ยงเย็นหรือตอนที่ตนทำเรื่องอะไรต่างก็จะส่งข้อความไปให้หลูจื้อ
เขาไม่คาดหวังว่าหลูจื้อจะสามารถตอบกลับในทันที เพียงแต่หวังว่าตอนที่เขาเห็นมันแล้วจะรู้ว่าตนอยู่ที่บ้านยังคงนึกถึงเขา ในเมืองนี้นอกจากที่บ้านของเขาเองแล้วยังมีอีกหนึ่งคนที่เต็มใจเปิดไฟรอเขากลับมา
ในที่สุดก็ถึงวันศุกร์ วันที่ชุยหังต้องไปสัมภาษณ์งานแล้ว
เขาตั้งใจตื่นแต่เช้า จากนั้นจัดการตัวเองให้เรียบร้อยสักหน่อยถึงออกจากบ้าน
เมื่อไปถึงบริษัทนั้น ชุยหังมองประตูขนาดใหญ่ของบริษัทก็รู้สึกว่าบริษัทนี้ดูเหมือนจะร่ำรวยพอสมควรเลยจริงๆ
หน้าประตูใหญ่มีรถหลายคันจอดอยู่ตรงนั้นและมีทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่นั่นแถมยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย
เขาเดินเข้าไป จากนั้นเปิดข้อความที่ได้รับก่อนหน้านั้นในโทรศัพท์ยื่นให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอกว่าหลังจากที่เข้าไปที่อาคารธุรการที่อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่แล้วให้ตรงไปที่ห้องประชุม ชั้นห้า ทางซ้ายมือก็โอเคแล้ว
ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนมารวมตัวกันสัมภาษณ์ที่นี่ไม่น้อยเลยจริงๆ
หลังจากชุยหังเข้าไปตามที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอกไว้ก่อนหน้านี้จนเจอห้องประชุมแล้วก็พบว่าด้านในมีคนรออยู่จำนวนไม่น้อยแล้วจริงๆ
มีบางคนสวมชุดสูทรองเท้าหนังที่ดูเป็นทางการมากอย่างที่เขาเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ด้วย แต่ว่าในโอกาสแบบนี้ดูเหมือนจะจริงจังเกินไปหน่อย
สองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นวัยรุ่นอายุก็อยู่ประมาณยี่สิบห้า ยี่สิบหกถือปากกาแล้วแบบฟอร์มปึกหนึ่ง
เมื่อชุยหังเข้ามาคนหนึ่งในนั้นถามขึ้นอย่างสุภาพว่า: “มาเข้าร่วมสัมภาษณ์ใช่ไหม”
หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้วบุคคลนั้นก็ส่งแบบฟอร์มให้ชุยหังหนึ่งแผ่น จากนั้นก็ยื่นปากกาให้ด้วย ให้เขากรอกข้อมูลพื้นฐานของตัวเองลงไป
เวลาประมาณเก้าโมงเช้า อีกคนมองดูเวลาแล้วพูดขึ้นว่า: “เอาล่ะ เวลาสายมากแล้ว พวกเราคนที่ควรจะมาถึงก็น่าจะถึงแล้ว ฉันเชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรต่างก็ต้องการแสวงหาตำแหน่งที่เหมาะสมในบริษัทนี้ และได้รับเงินเดือนที่เหมาะสม ฉันจะแนะนำบริษัทของเราสั้นๆ ง่ายๆ สักหน่อย”
หลังจากพูดจบก็พูดคร่าวๆ ถึงบรรพบุรุษของบริษัท ประวัติการพัฒนาและขอบเขตของธุรกิจหลักในปัจจุบัน
เมื่อชุยหังฟังขอบข่ายของบริษัทแล้วก็ค่อนข้างสนใจมากทีเดียว
“ต่อไปพวกคุณทุกคนก็แนะนำตัวเองสักหน่อยเถอะ ในเมื่ออยู่ในอุตสาหกรรมการขาย วิธีขายของที่ดีที่สุดคือการเอาตัวเองส่งเสริมการขายออกไปก่อน เริ่มจากใครก่อน?”
——
[1] กระแสลมปากแหลมคม ‘风口浪尖’ หมายถึง การวิพากย์วิจารณ์ของผู้คนในสังคมที่โหดร้ายและดุดัน