บทที่ 151 การต่อสู้ระหว่างโหจื่อกับเจ้าหัวแบน
ต่อให้ตีหลี่ฝางให้ตาย เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเจ้าหัวแบนจะกล้าลงมือจริงๆ
สีหน้าของเจ้าหัวแบนมองดูซับซ้อน เขามองไปที่หลี่ฝาง เผยให้เห็นความลำบากใจ “เสี่ยวฝาง ขอโทษ”
ขอโทษ?
เมื่อได้คำนี้ ในใจของหลี่ฝาง นอกจากความกลัวแล้ว ยังแฝงขึ้นมาด้วยความเศร้า
หลี่ฝางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พี่ชายที่ดีของตนในอดีต จะกล้าลงมือต่อตัวเองได้เหี้ยมโหดขนาดนี้
หลี่ฝางหลับตาลง ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
แต่ในเวลานี้เองลู่หลุ่ยก็วิ่งเข้ามา และตะครุบตัวของหลี่ฝาง “แกจะตีก็ตีฉัน อย่าตีเขา”
“ผู้หญิงหน้าเหม็น ไสหัวไป!”
มู่เสี่ยวไป๋วิ่งเข้ามาและลากลู่หลุ่ย ออกไป
“ปล่อยเธอ” หลี่ฝางจ้องมองมู่เสี่ยวไป๋อย่างเย็นชา
มู่เสี่ยวไป๋แสยะยิ้มและมองไปที่หลี่ฝาง “ฉันไม่ปล่อย แล้วแกจะทำไม?”
หลี่ฝางกำลังคิดจะลุกขึ้น มู่เสี่ยวไป๋ผลักเจ้าหัวแบนแล้วเอ่ย “เสี่ยวโจว คำพูดของฉันมันไม่มีผลแล้วใช่ไหม?”
“ฉันบอกให้แกหักขามัน แกได้ยินหรือเปล่า?” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวอย่างเย็นชา
หลี่ฝางที่กำลังจะยืนขึ้นจึงถูกเจ้าหัวแบนหยุดเอาไว้
ในตอนนี้ มู่เสี่ยวไป๋ยังคงกระชากผมของลู่หลุ่ยเอาไว้
“เจ้าหัวแบน ถอยไป!” ใบหน้าของหลี่ฝางเย็นเยียบ
“ขอโทษด้วย เสี่ยวฝาง” เจ้าหัวแบนยังคงพูดด้วยสีหน้าดึงดัน “เจ้านายของฉันบอกให้ฉันหักขานาย ฉันได้แต่ทำตามคำสั่ง”
จู่ๆ สีหน้าของเจ้าหัวแบนก็ดิ่งลง บนตัวแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ออกมา
ในเวลานี้เอง ลุงเฉียนถึงพยักหน้าให้โหจื่อที่อยู่ข้างหลังเขา
โหจื่อรีบวิ่งเข้ามาทันที จากนั้นจึงหัวเราะกับเจ้าหัวแบน “พี่โจว ยังจำผมได้รึเปล่า?”
“เฟยโห?” เจ้าหัวแบนมองไปที่โหจื่อ สีหน้าตกตะลึงไปชั่วครู่
“ที่แท้นายยังมีชีวิตอยู่…” เมื่อเจ้าหัวแบนเห็นโหจื่อ เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจ “นายไม่ได้ไปขโมยของจนถูกจับได้และถูกตีตายไปแล้วหรือ?”
โหจื่อส่ายหัว “พี่โจว ต่อหน้าคนตั้งมากมาย ไว้หน้าผมหน่อยเถอะ”
“สำหรับเรื่องในอดีต ลืมมันไปเสียเถอะ”
“วันนี้ ผมจะให้พี่รู้จักผมใหม่อีกครั้ง”
โหจื่อยืดตัวขึ้นและเอ่ย “พี่โจว ผมรู้ว่าในตงไห่นี้พี่เป็นที่หนึ่งในพวกเรา ในแง่ของทักษะ ต่อให้พลิกตงไห่ จะหาใครสักคนมาเอาชนะพี่ก็คงหาได้ยาก”
“แต่ผมคิดว่า ผมถือเป็นหนึ่งในนั้น” โหจื่อแสยะยิ้ม
“แม่โว้ย ไอ้นี่ขี้โม้ไม่เลวเลยว่ะ”
“นั่นสิ ประโยคแรก ปากบอกเป็นที่หนึ่งในตงไห่ ไม่มีใครสู้ได้ ที่แท้ก็พูดเพื่อยกยอตัวให้เด่นขึ้นมานี่หว่า”
“หึหึ ฉันว่าไอ้หนุ่มนี้คงอยากรนหาที่ตาย” มีคนยืนขึ้นและเอ่ยกับเจ้าหัวแบน “คนที่มู่เสี่ยวไป๋พามา เป็นถึงยอดฝีมือ”
“ตอนที่นายท่านมู่ไปคุยธุรกิจที่ตงเป่ย ก็พาเขาไปแค่คนเดียวเท่านั้น”
มีคนสูดลมหายใจเข้าลึกและอุทาน “นั่นเป็นการคุยธุรกิจกับกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชียวนะ ตระกูลมู่ลุกขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยการไปทางเหนือในครั้งนั้น”
“ฉันได้ยินมาว่า ที่นายท่านมู่เจรจาธุรกิจกับกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือสำเร็จ ก็เพราะผู้ชายคนนี้”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สายตาของทุกคนที่มองไปยังเจ้าหัวแบน ก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
ไม่มีใครกล้ามองว่าเจ้าหัวแบนเป็นคนเบื้องล่างอีกต่อไป
“เจ้าหัวแบนเก่งขนาดนั้นจริงๆ หรือ?” ใครบางคนร้องอุทานออกมา
“ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้นฉันถึงได้บอกว่าไอ้หนุ่มนี่รนหาที่ตายชัดๆ คนที่ออกมาจากเขตของกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ จะต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน”
โหจื่อเองก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาหัวเราะ “พี่โจว คุณเคยไปตะวันออกเฉียงเหนือด้วยหรือนี่”
“ประมือกับกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปแล้ว?” เจ้าหัวแบนไม่เอ่ยต่อ โหจื่อจึงถามขึ้นอีกครั้ง
“พวกเราเสมอกัน” เจ้าหัวแบนเอ่ยถ่อมตัว อันที่จริง การต่อสู้ระหว่างเขากับกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนั้น เป็นเขาที่ชนะ แต่เพื่อไว้หน้ากษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาจึงตั้งใจทำให้ผลออกมาเสมอกันแทน
โหจื่อพยักหน้าและเอ่ย “พี่โจว อย่างนั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ”
“เฟยโห อย่ามาทำเก่งเลย เรื่องขโมยของนายไม่เลว แต่เรื่องชกต่อย นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน” เขาส่ายหัวและเอ่ย
“พี่โจว คุณเคยได้ยินคำพูดโบราณประโยคหนึ่งไหม?” โหจื่อเลิกคิ้วถาม
“คำพูดโบราณ ?” เจ้าหัวแบนเอ่ยถาม
“ไม่พบสามวัน กลายเป็นอื่น แต่พวกเราสองคน ไม่เจอกันมานานกว่าสามปีแล้วสินะ?” โหจื่อยิ้มเย็น “เวลาสามปีพี่โจว คุณไม่อยากเห็นหรือว่าผมมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?”
“ได้” เจ้าหัวแบนตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก
โหจื่อแสยะยิ้มและมองไปที่หลี่ฝาง “มู่เสี่ยวไป๋ส่งต่อให้กับคุณแล้ว”
หลี่ฝางพยักหน้าและเอ่ย “”ขอบคุณมาก โหจื่อ”
หลี่ฝางไม่รู้ว่าโหจื่อจะเอาชนะเจ้าหัวแบนได้หรือไม่ แต่ในใจของเขาคิด ถ่วงเวลาเอาไว้ได้ก่อนก็ไม่เลว
พูดตามตรง หลี่ฝางเองก็ไม่มีความมั่นใจในตัวโหจื่อมากนัก ประการแรกโหจื่อคนนี้ ท่าทางดูเหมือนพวกนักเลงหัวไม้อย่างยิ่ง มองแล้วคล้ายคนที่เอาแต่โอ้อวดไปวันๆ ประการที่สองของเจ้าหัวแบน หลี่ฝางเคยเห็นมาก่อน อีกทั้งยังมากกว่าหนึ่งครั้ง
ในตอนนี้ โหจื่อลงมือแล้ว ร่างของเขาราวกับภูตผี พริบตาเดียวก็หยุดลงหน้าของเจ้าหัวแบน
เจ้าหัวแบนเบิกตากว้าง เขาเองก็ไม่คาดคิดว่า โหจื่อจะมีความเร็วมากขนาดนี้
เจ้าหัวแบนรีบกำหมัดแน่น และตอบโต้กลับไป แต่โหจื่อกลับยิ้มจางๆ และยื่นหมัดออกไปเข้าใส่เขา
หมัดสองหมัดกระแทกใส่กัน เกิดเป็นเสียงปะทะ
โหจื่ออาศัยความได้เปรียบเริ่มลงมือก่อน หมัดนี้ ทำให้โหจื่อได้เปรียบอยู่
เจ้าหัวแบนก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เหนือความคาดหมายของทุกคน
เจ้าหัวแบนตะลึงหน้าถอดสี เขาไม่คาดคิดว่า อดีตหัวขโมยอย่างเฟยโห จะมีความก้าวหน้าในวงการหมัดมวยได้ขนาดนี้
“เจ้าหนุ่มนั่นมองดูผอมแห้งแรงน้อย คิดไม่ถึงว่าพอลงมือกลับเก่งขนาดนี้ ถึงกับทำให้นายพลที่มู่เสี่ยวไป๋พามาถอยหลังไปได้”
“เมื่อกี้นายไม่ได้บอกหรือไงว่าเจ้าหนุ่มนี่รนหาที่ตาย ดูท่าแล้ว เจ้าหนุ่มผอมแห้งนี่ยังซ่อนเล็บเอาไว้”
“ฉันมองพลาดไป นี่แหละนะ คนเราไม่สามารถมองดูที่ภายนอกได้”
เพียงแค่เริ่มประมือ คนในห้องก็เริ่มพูดคุยกัน
“เฟยโห ที่นายจากไปสามปี คงไม่ได้ไปเรียนศิลปะการต่อสู้มาหรอกนะ?” เจ้าหัวแบนถามด้วยความตกใจ
“พี่โจว นี่เป็นแต่เพียงส่วนเล็กๆ ในภูเขาน้ำแข็งของผมเท่านั้น” โหจื่อยังคงหัวเราะอย่างเฉยเมย
“เฟยโห นายไม่ได้เป็นนายเมื่อสามปีก่อนแล้วจริงๆ” เจ้าหัวแบนนึกขึ้นได้แล้ว สามปีก่อน โหจื่อเป็นแค่หัวขโมยคนหนึ่งเท่านั้น ฝีมือการชกต่อยก็แค่ระดับนักเลงเล็กๆ ทั่วไปเท่านั้น ดังนั้นเจ้าหัวแบนจึงไม่เคยใส่ใจกับมัน
แต่หลังจากการประมือเมื่อกี้นี้ เจ้าหัวแบนก็รู้ได้ว่า ตอนนี้โหจื่อถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง หากตนเองยังไม่รับมืออย่างจริงจัง เขาก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ได้
“หมัดของนาย เทียบได้กับกษัตริย์แห่งจีนตะวันออกเฉียงเหนือ” เจ้าหัวแบนประเมินอย่างเรียบๆ
“งั้นหรือ? อย่างนั้นพี่ลองทดสอบฝีเท้าของผมอีกสักหน่อย!” โหจื่อยิ้มอย่างไม่ยี่หระ หมัดเมื่อกี้นี้ เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ
เมื่อหลี่ฝางเห็นฉากตรงหน้า เขาก็ยิ้มอย่างชื่นชม
ดูเหมือนว่าโหจื่อ จะไม่ได้อ่อนแออย่างที่ตนคิด
อย่างนี้ เขาก็สามารถจัดการกับมู่เสี่ยวไป๋ได้อย่างสบายใจแล้ว
หลี่ฝางเดินผ่านเจ้าหัวแบนและตรงมาที่มู่เสี่ยวไป๋ มู่เสี่ยวไป๋ปล่อยลู่หลุ่ยแล้ว เขาเอ่ย “หลี่ฝาง แกคิดทำอะไร?”
“ฉันคิดจะจัดการนายให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นเอาไปให้หมากิน” หลี่ฝางพูดจบ ก็เหวี่ยงกำปั้นออกไป
มู่เสี่ยวไป๋นี่ ก็แค่เก่งกว่าตู้เฟยเล็กน้อยเท่านั้น
บางทีอาจเป็นเพราะลูกเศรษฐีส่วนใหญ่มักถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม ผิวพรรณละเอียดลออขนาดนั้น ไหนเลยจะเคยไปชกต่อยมาก่อน
หลี่ฝางพุ่งหมัดใส่โดยตรง ซ้ำมู่เสี่ยวไป๋เองก็ไม่ได้หลบหลีก
มู่เสี่ยวไป๋ถูกหลี่ฝางต่อยจนล้มลงไปด้วยหมัดเดียว จากนั้น หลี่ฝางจึงขึ้นคร่อมใส่มู่เสี่ยวไป๋ และต่อยเขาเข้าไปอีกยก
“เวรเอ้ย คิดไม่ถึงเลยว่าแกไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าตู้เฟยอีก”
ในเวลานี้ หลี่ฝางรู้สึกผิดหวังกับมู่เสี่ยวไป๋อยู่บ้าง
“เสี่ยวโจว! ” มู่เสี่ยวไป๋ตะโกนใส่เจ้าหัวแบน
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เจ้าหัวแบนและโหจื่อกำลังประลองความแข็งแกร่งกันไปครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ เจ้าหัวแบนได้เตรียมตัวเอาไว้ดีแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ประมาทกับศัตรูอีก แต่หลังจากผ่านไปหลายรอบ เขาก็ยังคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และสุดท้ายก็ถูกโหจื่อเตะเข้าที่ท้อง
แน่นอนว่า เจ้าหัวแบนก็ถือโอกาสนี้ชกเข้าไปที่หน้าอกของโหจื่อ จนต้องถอยไปหลายก้าวด้วยเช่นกัน ที่
ได้ยินเสียงร้องของมู่เสี่ยวไป๋ เจ้าหัวแบนก็หันหน้ามา ในขณะที่กำลังจะเข้าไปช่วยมู่เสี่ยวไป๋ จู่ๆ ทันใดนั้นโหจื่อก็โผล่มาจากข้างหลัง และจับเขาเอาไว้
โหจื่อจับไหล่ของเจ้าหัวแบน “พี่โจว คู่ต่อสู้ของคุณคือผม”
“ได้โปรดช่วยให้เกียรติกันหน่อย จะได้ไหม?” โหจื่อพูดติดตลก
พริบตา เจ้าหัวแบนก็พลิกมือกลับไปและจับลงบนแขนของโหจื่อ ราวกับกำลังจะหักแขนของเขาลง
โหจื่อยิ้มอย่างสงบนิ่ง และเอ่ย “พี่โจว คุณช่างโหดเหี้ยมเสียจริง”
พูดจบ มือของโหจื่อก็ดูราวกับงูน้ำไม่ปาน เขาพลิกมือออก ไม่เพียงแต่หลุดพ้นจากพันธนาการของเจ้าหัวแบน แต่ยังกลับเป็นฝ่ายคว้าคอของอีกฝ่ายแทน
“ขอโทษด้วย พี่โจว คุณแพ้แล้ว!”
เสียงโครมดังขึ้น โหจื่อคว้าคอของเจ้าหัวแบนเอาไว้ และกดลงบนพื้น