บทที่174 คนคุ้นเคยในเมืองเอก
หลังจากที่เดินออกจากโรงพยาบาล สีหน้าของสวีเถิงเฟยไม่สู้ดีเท่าไหร่
วันนี้ สวีเถิงเฟยเชิญหยูเถิงกับตู้เฟยทานข้าว เดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกลับ……….
กลับถูกคนตีศีรษะจนแตก จนต้องเข้าโรงพยาบาล……..
แล้วตู้เฟยก็ถูกคนอื่นไล่ออกจากห้อง ยังถูกคนทำร้ายอีก…….
ขณะนี้ อารมณ์ของสวีเถิงเฟย รู้สึกเศร้าและหดหู่มาก
ขับรถกลับไปที่โรงแรมว่างโก๋ ผู้จัดการล็อบบี้เห็นสวีเถิงเฟยกลับมาอีก ก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที “คุณชายสวี คุณชายหยูไม่เป็นไรมากใช่ไหมครับ?”
ถ้าหากหยูเถิงเป็นอะไรไป โรงแรมว่างโก๋ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เพราะยังไงหยูเถิงก็ได้รับบาดเจ็บในโรงแรมว่างโก๋
ฉะนั้น ผู้จัดการล็อบบี้จึงกลัวมาก กลัวว่าหยูเถิงจะเป็นอะไรไป
“แม่งฉิบหาย!
สวีเถิงเฟยมองหน้าผู้จัดการล็อบบี้ ยกแขนฟาดไปหนึ่งที “แกมันสุนัขรับใช้ แขกของฉันแกยังกล้าไล่!”
ผู้จัดการล็อบบี้คิดในใจ แย่แล้ว สวีเถิงเฟยกลับมาคิดบัญชีแค้นแล้ว
ตอนที่ไปไล่พวกตู้เฟย ผู้จัดการล็อบบี้ก็คิดถึงความเป็นไปได้ว่าเรื่องมันจะต้องลงเอยแบบนี้
“คุณชายสวี ฟังผมอธิบายก่อน เดิมห้องนั้น พวกเขาจองไว้ก่อนแล้ว” ผู้จัดการล็อบบี้อธิบายอย่างนิ่มนวล
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับผม ผมจะบอกให้ พ่อผมสวีเจิ้งหรุง เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้านายแก” สวีเถิงเฟยขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “แย่งห้องแล้วมีปัญหาอะไรเหรอ?”
ตอนนี้ตู้เฟยได้วิ่งเข้ามาบ่นกับสวีเถิงเฟยว่า “พี่เฟย พี่ต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเรา”
“แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่แขกของฉัน?”
สวีเถิงเฟยยิ่งอยู่ยิ่งน่ากลัว การที่ผู้จัดการล็อบบี้ทำเช่นนี้ เหมือนเป็นการตบหน้าสวีเถิงเฟย
ถ้าหากเป็นเจ้าของโรงแรมว่างโก๋ สวีเถิงเฟยอาจจะอดกลั้นได้
แต่นี่เป็นแค่ผู้จัดการล็อบบี้เล็ก ๆ ก็แค่คนรับจ้าง มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
เพียะ เสียงตบดังลั่น
สวีเถิงเฟยฟาดไปที่หน้าของผู้จัดการล็อบบี้อีก
“แกเป็นใบ้เหรอ?” สวีเถิงเฟยกล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น
สีหน้าของผู้จัดการล็อบบี้ขาวซีดเผือด
อายุของผู้จัดการล็อบบี้ก็สามสิบห้าแล้ว ก็ถือว่าเป็นวัยกลางคน
วัยกลางคนผู้นี้ กลับถูกเด็กหนุ่มตบหน้า ต่อหน้าสาธารณชนโดยไม่กล้าพูดส่งเสียงใด ๆ
ความอับอายที่ผู้จัดการล็อบบี้ได้รับในตอนนี้ รู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ
ชิวหย่าและคนอื่น ๆ ต่างหลบไปยืนตามมุม ไม่กล้าเข้ามา
ปกติผู้จัดการเป็นคนที่มีสง่าราศี แต่ตอนนี้ถูกเด็กหนุ่มสั่งสอนจนเป็นเหมือนลูกชาย……..
ตอนนี้ภายในใจเขา รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง……
“แกคิดว่าไม่พูดอะไรแล้ว ฉันจะปล่อยแกไปเหรอ?” สวีเถิงเฟยขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น และขยิบตาให้ตู้เฟย แล้วสองคนนี้ก็ร่วมมือกันทำร้ายเขา
สวีเถิงเฟยกับตู้เฟย ทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้อย่างเหี้ยมโหด
ผู้จัดการล็อบบี้ยอมรับว่าเขาเสียเปรียบในเรื่องนี้ แล้วก็ไม่กล้าตอบโต้ใด ๆทั้งสิ้น
ซึ่งแน่นอน ก็ถือว่าเขาเสียเปรียบ ยังไงเขาก็ยังคงไม่กล้าโต้ตอบ เพราะว่าใคร ๆ ก็รู้ฐานะของสวีเถิงเฟยและตู้เฟย
ขณะนี้ พวกหลี่ฝาง ก็ได้ทานข้าวเสร็จแล้ว กำลังเดินลงมาจากชั้นสอง
หลี่ฝางเดินลงมา เห็นสวีเถิงเฟยกับตู้เฟยกำลังทำร้ายผู้จัดการ เขาเดาเรื่องได้ทันที
แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเขาที่แส่หาเรื่องใส่ตัวเองไม่ใช่เหรอ?
หากเริ่มแรก ผู้จัดการล็อบบี้ปฏิบัติตามกฎ ก็ไม่ล่วงเกินหลี่ฝางกับสวีเถิงเฟยทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกันหรอก?
“เช็ดบิล”
หลี่ฝางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์
“คุณผู้ชายค่ะ คืนนี้คุณมียอดค่าอาหารและเครื่องทั้งหมด หกแสนสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยหยวนค่ะ” เมื่อพูดถึงยอดตัวเลขนี้แล้ว พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ สั่นที่มุมปากครั้งหนึ่ง
ตามปกติ โรงแรมว่างโก๋ ในหนึ่งวัน ไม่ใช่สิ ในหนึ่งอาทิตย์ มียอดขายเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่หลี่ฝางเพียงแค่ทานอาหารมื้อเดียว ก็เท่ายอดขายของพวกเขาทั้งอาทิตย์เลย
“อึม ขอส่วนลดครึ่งหนึ่ง” หลี่ฝางกล่าวเสียงเบา ๆ
“คุณผู้ชาย ต้องขอโทษด้วยค่ะ ทางฉันสามารถลดได้ห้าเปอร์เซ็นต์ เอาอย่างนี้ ฉันไปถามผู้จัดการก่อนค่ะ?”
พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มอย่างอึดอัด
ลดครึ่งหนึ่ง ล้อเล่นอะไรนี่?
ตั้งแต่เปิดโรงแรมมา ยังไม่เคยได้ยินเรื่องขอลดครึ่งหนึ่ง
สามารถลดได้ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าให้เกียรติที่สุดแล้ว?
“ผู้จัดการ ผู้จัดการ” พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์วิ่งมา แล้วก็พยุงตัวผู้จัดการที่ล้มอยู่บนพื้น
“คุณผู้ชายคนนั้น จะขอส่วนลดครึ่งหนึ่งจากโรงแรมเรา ตามอำนาจของฉันสามารถลดได้แค่ห้าเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ คุณโทรหาเจ้านาย…….”
พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์มองไปที่เหยนเสี่ยวน่าแวบหนึ่ง “รู้สึกว่าฉันจะเห็นคุณหนูเหยนค่ะ”
“เพื่อเห็นแก่หน้าคุณหนูเหยน เจ้านายคงจะสามารถลดได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์น่ะ”
ยอดหกแสนกว่า หากลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็คือสามารถเซฟได้แสนหกเลย
“คุณยังสามารถลุกขึ้นยืนได้ไหม….”
พอตู้เฟยเห็นผู้จัดการลุกขึ้นยืน ความโกรธในใจก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ถีบไปที่ท้องของผู้จัดการอีกครั้ง
และในขณะนี้เอง ชายใส่แว่นหน้าตาอบอุ่นอ่อนโยนก็ได้เดินเข้ามา
“เจ้านาย”
พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ ชิวหย่า รีบต้อนรับ แล้วโค้งคำนับ
“เจ้านายหวง” ผู้จัดการที่ล้มอยู่บนพื้น ก็ส่งเสียงเรียกอย่างแผ่วเบา
เจ้านายของโรงแรมว่างโก๋ ชื่อ หวงว่างโก๋ และก็คือชายใส่แว่นคนนี้
“มันเกิดอะไรขึ้น?” มองไปที่ผู้จัดการที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าอับอาย หวงว่างโก๋ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ผู้จัดการล็อบบี้ ไม่ว่าจะมองจากจุดไหน ก็ถือเป็นตัวแทนเป็นหน้าตาของโรงแรมว่างโก๋
หากตอนที่หวงว่างโก๋ไม่อยู่ เรื่องใหญ่เรื่องเล็กของโรงแรมทั้งหมด ผู้จัดการล็อบบี้จะเป็นคนรับผิดชอบเอง
ผู้จัดการล็อบบี้เงียบไม่ตอบอะไร หวงว่างโก๋หันไปมองหน้าตู้เฟยแวบหนึ่ง “นายชื่ออะไร?”
“ผมชื่อตู้เฟย……..
“น้าชายผมคือหยูฉู่เซิง………..” ตู้เฟยรีบยกชื่อคนหนุนหลังมาอ้างทันที
หวงว่างโก๋ขมวดคิ้ว ยกแขนฟาดไปที่หน้าตู้เฟย “เป็นแค่หลานชายของหยูฉู่เซิงเท่านั้น ใครให้ความกล้าแก่นาย ที่มาหาเรื่องในโรงแรมว่างโก๋ของฉัน”
“แล้วยังมาทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้ของฉันอีก” หวงว่างโก๋กล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น
หากจะตีสุนัขก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าของเป็นใคร ผู้จัดการโดนทำร้ายหนักถึงเพียงนี้ หากหวงว่างโก๋ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป หวงว่างโก๋จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หลานชายของหยูฉู่เซิง ก็สามารถทำร้ายผู้จัดการล็อบบี้ของโรงแรมว่างโก๋ได้โดยง่าย ๆ
หากหวงว่างโก๋ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว คราวหลัง ก็คือทุกคนสามารถมาหาเรื่องทำร้ายคนในโรงแรมว่างโก๋ได้เหรอ?
ตู้เฟยมองไปที่สวีเถิงเฟย เพราะเมื่อสักครู่สวีเถิงเฟยเป็นคนส่งสัญญาณลับให้เขา เขาจึงได้ลงมือทำร้ายผู้จัดการ
สวีเถิงเฟยยิ้มบาง ๆ รีบเดินไปข้างหน้า “คุณอาหวง ตู้เฟยเป็นเพื่อนของผมเองครับ”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ วันนี้ผมเชิญเพื่อนมาทานข้าวที่โรงแรมของคุณ แต่ยังทานข้าวไม่เสร็จ ผู้จัดการก็ไล่เพื่อนผมออกจากห้องครับ….”
“คุณอาหวง คิดว่าเรื่องนี้ โรงแรมของพวกคุณทำถูกไหมครับ?” สวีเถิงเฟยกล่าว
หวงว่างโก๋ขมวดคิ้ว ก้มศีรษะมองผู้จัดการล็อบบี้ “เสี่ยวจาง มีเรื่องเช่นนี้เหรอ? ”
หวงว่างโก๋ไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากว่าเสี่ยวจางได้ผ่านการเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการ และมีประสบการณ์บริหารจัดการโรงแรมมาหลายปี
ทำไมเขาทำผิดพลาดขั้นต้นเช่นนี้ได้อย่างไร?
หวงว่างโก๋สรุป จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ผู้จัดการล็อบบี้ได้ลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าหวงว่างโก๋ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หวงว่างโก๋ฟังอย่างละเอียด
หลังจากหวงว่างโก๋ฟังเรื่องราวแล้ว จ้องตาเขม็งไปที่หน้าผู้จัดการล็อบบี้ “สมน้ำหน้าสมควรโดนทำร้าย!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีเถิงเฟยยิ้มที่มุมปาก
แต่ในไม่ช้า รอยยิ้มบนใบหน้าของสวีเถิงเฟยก็หุบลง
เพราะหวงว่างโก๋ก็ได้พูดต่อทันทีว่า “เนื่องจากห้องนั้นได้ถูกจองแล้ว แล้วคุณจะสร้างเรื่องวุ่นวายทำไม?
“อย่าว่าแต่เป็นคนตระกูลสวี ถึงแม้จะเป็นคนตระกูลมู่ คนตระกูลฉิน ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นกฎ” หวงว่างโก๋กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น
“ไล่พวกเขาออกจากห้องคือทำถูกต้องแล้ว” หวงว่างโก๋กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หวงว่างโก๋หันไปมองสวีเถิงเฟยแล้วพูดว่า “เสี่ยวเฟย นายถือว่าตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่และมีธุรกิจใหญ่โต เลยข่มขู่เสี่ยวจางให้เขายอมเอาห้องนั้นให้นาย อาหวงก็ไม่ได้ถือสาอะไร”
จากนั้น สีหน้าของหวงว่างโก๋เคร่งขรึม แล้วพูดว่า “แต่นายพาคนมาทำร้ายเสี่ยวจาง ไม่เห็นอาหวงอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่? ”
สวีเถิงเฟยเริ่มตัวสั่นขึ้นมา
ภูมิหลังของหวงว่างโก๋ไม่ได้ใสสะอาด เริ่มแรกชีวิตเริ่มต้นด้วยธุรกิจมืด หลายปีมานี้ หวงว่างโก๋ล้างมือจากธุรกิจมืดอย่างช้า ๆ จึงได้เปิดโรงแรมว่างโก๋ขึ้นมา
ถ้าหากทำให้เขาโมโหขึ้นมา ไม่กล้าคิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด
“นายเป็นผู้น้อย อาหวงจะไม่ทำให้นายลำบากใจ พรุ่งนี้เรียกพ่อนายสวีเจิ้งหรุงมาคุยกับอา”
“ให้เขามาขอโทษอาด้วยตัวเอง” หวงว่างโก๋ตบบ่าของสวีเถิงเฟย แล้วกล่าวด้วยเสียงอันเยือกเย็น
เมื่อพูดจบ หวงว่างโก๋ก็หันไปมองหลี่ฝาง
หวงว่างโก๋รู้สึกว่า ไอ้หนุ่มนี้หน้าตาคุ้นมาก ๆ