NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 330

ตอนที่ 330

บทที่ 330 ตัวตนที่แท้จริงของโหจื่อ

เรื่องนี้ เป็นใครก็ต้องโมโหจนแทบบ้าขึ้นมาแน่ อย่าว่าแต่มู่เสี่ยวไป๋เลย

หลี่ฝางรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง โหจื่อ ถือปืนฉีดน้ำมาเล่นแบบนั้นบ้าง แบบนี้บ้าง…

นับถือแล้วจริงๆ!

ปืนฉีดน้ำกระบอกหนึ่ง กลับแสดงได้อย่างสมจริงราวกับมีปืนจริง

ส้าวส้วยมีรอยยิ้มตื้นๆที่มุมปาก “เจ้านี่ แม้กระทั่งฉันยังถูกเขาหลอก!”

“ครั้งนี้มู่เสี่ยวไป๋โกรธจริงๆ แล้ว นายรับไปช่วยเขาเถอะ” หลี่ฝางหัวเราะหึหึ และเอ่ยกับส้าวส้วย

ต่อให้หลี่ฝางไม่พูด ส้าวส้วยเองก็เข้าไปช่วยแน่

ท้ายที่สุดแล้ว โหจื่อก็ถือเป็นลูกศิษย์ของเขา

เมื่อรู้ว่าในมือของโหจื่อคือปืนฉีดน้ำ หมาทิเบตันก็ดูถูกโหจื่อขึ้นมาทันที

โหจื่อก็แค่มีฝีมือพอๆ กับเจ้าหัวแบนเท่านั้น ไหนเลยหมาทิเบตันจะสนใจ?

“หมาทิเบตัน แกไปจัดการ” มู่เสี่ยวไป๋หันหน้าไปเอ่ย

มู่เสี่ยวไป๋ดูถูกเสี่ยวโจวอยู่บ้าง เขาแค่นเสียงและเอ่ยต่อ “หากเป็นเสี่ยวโจว ไม่รู้จะต้องสู้ไปถึงเมื่อไหร่”

“ได้” หมาทิเบตันลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกไป

โหจื่อพูดด้วยความกลัว “โอ๊ะโอ๊ะโอ๊ะ นี่จะทำอะไรน่ะ คุณชายมู่ เมื่อครู่นี้ก็แค่ล้อเล่นกับนายเท่านั้น นายไม่ได้ชอบเรื่องล้อเล่นหรอกหรือไง?”

“เมื่อกี้นายบอกจะฆ่าฉัน นี่กำลังล้อเล่นอีกแล้วใช่ไหม?” โหจื่อหัวเราะขึ้นมา

“ใครล้อแกเล่น หมาทิเบตัน จัดการตัดหัวมันมาให้ฉันซะ” มู่เสี่ยวไป๋พูดอย่างเย็นชา

หมาทิเบตันขมวดคิ้ว “จะฆ่า?”

“หมาทิเบตัน แกไม่ได้บอกว่าแกฆ่าคนมานับไม่ถ้วนหรือไง?” มู่เสี่ยวไป๋มีน้ำเสียงไม่พอใจ เมื่อครู่นี้เขาถูกโหจื่อเล่นงานซะจนน่าสังเวชอย่างยิ่ง

ในตอนนี้ ความเกลียดชังของมู่เสี่ยวไป๋ที่มีต่อโหจื่อนั้นยังมากกว่าหลี่ฝางไปไกลแล้ว

“คุณชาย ฆ่าคนในรีสอร์ต ไม่เหมาะมั้ง?” เสี่ยวโจวเอ่ยเกลี้ยกล่อมขึ้นจากด้านหนึ่ง

เสี่ยวโจวรู้ถึงทักษะของหมาทิเบตัน เขาน่ากลัวอย่างยิ่ง และเขาก็รู้ทักษะของโหจื่อดีเช่นกัน เมื่อครู่ถึงแม้ว่าโหจื่อจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่อันที่จริง โหจื่อสามารถเอาชนะตนเองได้

แต่ต่อให้เมื่อครู่จะถึงจะสู้ออกมาจนหมด โหจื่อก็แค่แข็งแกร่งกว่าตนเองนิดหน่อยเท่านั้น

ในขณะที่ความแข็งแกร่งระหว่างตนกับหมาทิเบตัน ไม่ใช่แค่นิดเดียว แต่เป็นมากมายอย่างยิ่ง

เสี่ยวโจวเป็นห่วงโหจื่ออยู่บ้าง ในเมื่อหากท้ายที่สุดหมาทิเบตันลงมือขึ้นมา โหจื่อก็ไม่มีโอกาสรอดแน่

“เสี่ยวโจว แกกำลังทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้หมาทิเบตันฆ่าไอ้นั่นใช่ไหม? ทำไม เมื่อกี้เห็นมันปกป้องแก แกก็เลยมีเยื่อใยกับมันขึ้นมาแล้ว?” มู่เสี่ยวไป๋พูดไป สีหน้าก็ค่อยมืดครึ้มลง

“ไม่กล้า คุณชาย” เสี่ยวโจวก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอีก

เขาอยากจะขอให้มู่เสี่ยวไป๋ปล่อยโหจื่อไปสักครั้ง แต่ว่า จะเป็นไปได้ยังไงกัน?

อยู่กับมู่เสี่ยวไป๋ เขาไม่มีอะไรเหลือเลยสักนิด

เสี่ยวโจวเองก็หมดหนทางเช่นกัน

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หมาทิเบตันก็หันมาหามู่เสี่ยวไป๋และพูดว่า “คุณชาย ชีวิตหนึ่ง อย่างๆ น้อยๆ ก็ 5 นะ”

ความหมายของห้าก็คือห้าล้าน

มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายอยู่หน่อย แต่เมื่อนึกถึงฉากที่ตนถูกทำให้อับอาย เขาก็พยักหน้า “ตกลง ฉันจะให้ 5”

“คุณชายมู่ ดูเหมือนว่าครั้งนี้นายจะไม่ได้ล้อเล่นกับฉันนะ” โหจื่อถอนหายใจและพูดขึ้น

“ใครไปล้อเล่นกับแกวะ แกเตรียมตัวตายซะเถอะ!” มู่เสี่ยวไป๋ก่นด่า

หมาทิเบตันมองไปที่โหจื่อและยิ้มเย้ยหยัน “พูดตามตรง พี่ชาย การแสดงของนายไม่เลว เอาปืนฉีดน้ำมาหลอกพวกเราทุกคนได้”

“หึหึ เป็นคนมีพรสวรรค์ ถ้านายไปแสดงละคร คงจะคว้ารางวัลออสการ์ได้แน่”

“แถมทักษะของนายก็ไม่เลว เมื่อครู่ตอนที่นายสู้กับเสี่ยวโจว นายอ่อนข้อไปสินะ? อันที่จริงนายชนะได้ แต่กลับไม่ยอมชนะก็เท่านั้น”

“นายถือว่ามีคุณสมบัติพอที่จะให้ฉัน หมาทิเบตันฆ่า”

“ฉันหมาทิเบตันไม่ฆ่าคนไร้ที่มาที่ไป นายบอกชื่อนายมา” หมาทิเบตันถามขณะเดินเข้าไป

“พี่ชาย บังเอิญจริงๆ ฉันเป็นพวกไร้ที่มาที่ไปพอดี เห็นทีนายคงฆ่าฉันไม่ได้แล้ว ฮ่าฮ่า” โหจื่อกล่าวอย่างยิ้มแย้ม สีหน้าแววตาไม่เห็นมีความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

“โอ๊ะ โหจื่อ”

เมื่อเสี่ยวโจวได้ยินคำพูดนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง

หนึ่งคือชื่นชมที่โหจื่อได้รับการยอมรับเมื่อครู่ สองคือรู้สึกโศกเศร้าที่โหจื่อกำลังจะถูกฆ่า

“ลดฝีปากลงหน่อย หรือว่านายไม่มีแม้กระทั่งชื่อหรือไง?” หมาทิเบตันขมวดคิ้วและมองไปที่โหจื่อด้วยความรังเกียจ

โหจื่อผงกหัวอย่างโง่งมและเอ่ย “ชื่อน่ะหรือ มีสิ มี พ่อของฉันชอบเรียกฉันว่าไอ้ไข่หมา ส่วนปู่ฉันชอบเรียกว่าไข่น้อย ต่อมาพอโตขึ้นมาหน่อย พวกเขาก็ตั้งชื่อให้ฉัน เรียกว่าสวู่ซอง เพียงแต่ชื่อนี้ฉันไม่ใช้แล้ว แถมฉันยังมีชื่อเรียกว่าไอ้ลิงผอมอีกชื่อ นั่นเพราะฉันค่อนข้างจะผอมอยู่หน่อย”

“นี่นายกำลังพูดบ้าอะไรกับฉัน!” หมาทิเบตันโกรธมากขึ้น

“ถ้ายังไม่พูดมา นายจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก” หมาทิเบตันเอ่ยเตือนอย่างเย็นชา

“ก็ได้ ฉันยังมีอีกชื่อ เรียกว่า ถานเหิน”

ใบหน้าของโหจื่อเยือกเย็นลงทันที มุมปากของเขายิ้มอย่างซึมๆ “หมาทิเบตัน ฉันคงไม่ถือว่าเป็นพวกไร้ที่มาที่ไปใช่ไหม?”

“นายก็คือถานเหิน?”

ฝีเท้าของหมาทิเบตัน จู่ๆ ก็หยุดลงกะทันหัน

สีหน้าของเขา เผยให้เห็นถึงความเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อยรวมถึงมีท่าทีไม่เชื่ออยู่บ้าง

“ใช่ ถ้านายไม่เชื่อ ก็ลองก้าวเข้ามาอีกไม่กี่ก้าวได้” โหจื่อพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายมาก

หมาทิเบตันยืนอยู่ที่เดิมอยู่นาน ไม่ได้เดินหน้าต่อ

นั่นเพราะในขณะนี้เอง ส้าวส้วยก็เดินมาอยู่ข้างหลังโหจื่อแล้วเรียบร้อย

“ฮ่าฮ่า ที่แท้ถานเหินก็เป็นคนของพวกนาย” มองดูส้าวส้วย หมาทิเบตันก็ยิ้มอย่างขี้เล่น

“ดูเหมือนว่าคราวนี้ ฉันไม่ควรกลับประเทศจริงๆ”

“ตอนนี้ไปซะ ก็ยังมีเวลา” ส้าวส้วยกล่าวเรียบๆ

“ถานเหินไม่ถานเหินอะไรกัน พูดพร่ำอะไรอยู่ได้ หมาทิเบตัน พวกเราไม่ได้คุยกับไว้แล้วหรือไง? ฉันให้แกห้าล้าน แกช่วยฉันฆ่าเขา ทำไม ห้าล้านแกไม่อยากได้แล้ว?” เมื่อมู่เสี่ยวไป๋เห็นหมาทิเบตันหยุดลง เขาก็ตะโกนอย่างร้อนรนขึ้นมาทันที

“ห้าล้านคิดจะซื้อชีวิตของถานเหิน ดูออกจะน้อยเกินไปหน่อย”

หมาทิเบตันส่ายหัวและพูดกับตัวเอง “ไม่คุ้ม ไม่คุ้ม”

“ห้าล้านยังน้อยไป? แกบ้าไปแล้วหรือไง มันก็เป็นแค่บาร์เทนเดอร์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แกอยากได้เท่าไหร่ สอบล้าน?”

มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วแน่น ความโกรธภายในใจโหมกระหน่ำขึ้นมา

“กระสุนหนึ่งนัดของเขา มีมูลค่ามากกว่าห้าล้าน” หมาทิเบตันส่ายหัว

ในฐานะทหารรับจ้าง หมาทิเบตันคุ้นเคยกับถานเหินเป็นอย่างดี

เขาไม่เพียงแต่เป็นนักแม่นปืนเท่านั้น แต่ยังปกปิดตัวเก่งอีกด้วย

ครั้งหนึ่ง ถานเหินเคยนอนอยู่ในทะเลทรายมานานกว่าหนึ่งเดือน โดยมีจุดประสงค์เพื่อซุ่มยิงคนผู้หนึ่งที่สัญจรผ่านทางคนหนึ่ง

แน่นอนว่า สถานะของผู้สัญจรผ่านทางคนนั้น ไม่ได้ง่ายดายอย่างแน่นอน

นี่คือความอดทนของเขา

นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้ปืน ว่ากันว่าบนตัวของเขา ออกจากบ้านจะต้องพกปืนอย่างน้อยสามกระบอก ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการยิงปืนของเขายังเร็วกว่าของทุกคนในโลก

หากพูดถึงระดับความอันตราย หมาทิเบตัน ยังคงทิ้งห่างจากถานเหิน หรือโหจื่อมากนัก

หมาทิเบตันเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้ว เขากลับมาคราวนี้ก็เพื่อจัดการกับส้าวส้วย แต่ใครจะรู้ว่า ข้างตัวส้าวส้วย จะยังมีบุคคลอันตรายขนาดนี้อยู่ด้วย

“แกกลับมาทำไม? ทำไม? คิดจะขอเงินเพิ่มจากฉันอีก?” มู่เสี่ยวไป๋มองไปที่หมาทิเบตันที่กำลังเดินกลับมาและพูดอย่างเกรี้ยวกราด

“ช่างเถอะ สิบล้านก็ได้ ตราบใดที่แกฆ่ามัน ฉันจะให้แกสิบล้าน”

มู่เสี่ยวไป๋กัดฟันของเขาอีกครั้ง หากโหจื่อยังมีชีวิตก็ถือเป็นความอัปยศอดสูในชีวิตของเขา

ตนเองที่เป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลมู่ จะไปคุกเข่า โขกหัวคำนับให้กับคนรับใช้ของตระกูลหลี่ได้อย่างไร?

ดังนั้น มีแค่มู่เสี่ยวไป๋เห็นโหจื่อตายเท่านั้น ถึงค่อยกลืนความโกรธนี้ลงไปได้

“สิบล้าน คุณยังดูถูกเขาเดินไป ไปเถอะ ปืนฉีดน้ำเมื่อกี้ อาจจะไม่ใช่ปืนฉีดน้ำก็ได้” หมาทิเบตันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าหมาทิเบตันจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าสิ่งที่ถูกยิงออกมานั้นเป็นน้ำ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่า เทพแห่งปืนที่มีชื่อเสียงในโลกของทหารรับจ้าง จะพกปืนฉีดน้ำไว้ที่ตัวของตน

“คุณชายมู่ ดูท่า นายจะต้องให้ฉันตายให้ได้ ใช่ไหม?”

โหจื่อหัวเราะและเดินไปข้างหน้าสองก้าว “หรือไม่ พวกเรามาเล่นเกมกันไหม?”

“ใครจะไปเล่นเกมกับแก แกมันไอ้คนวิปริต พวกอันธพาล!” มู่เสี่ยวไป๋ด่าด้วยความโกรธ

“ฮ่าฮ่า ไม่เล่นก็แล้วไป”

โหจื่อยกมือขึ้น ในมือมีปืนกระบอกหนึ่งปรากฏขึ้น ปืนกระบอกนั้นประณีตอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของกำปั้น

เพียงแต่ปืนกระบอกนี้ มีสีเหลืองตลอดทั้งลำ

“ปืนกระบอกนี้ทำมาจากทอง?” มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว

“คุณชายมู่ตาแหลมจริงๆ ปืนกระบอกนี้ เป็นของราชวงศ์ยุโรปที่ทำขึ้นเพื่อขอบคุณฉัน มันถูกสั่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หากนายได้ตายเพราะมัน ก็ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตของนายแล้ว”

“รอจนนายตกนรกไป นายก็สามารถเอาไปโม้กับพวกผีในนั้นได้” โหจื่อพูดติดตลก

มู่เสี่ยวไป๋แค่นเสียง สีหน้าไม่เชื่อแม้แต่น้อย “แม่งเอ๊ยยังโม้ได้มากกว่านี้อีกไหม? ราชวงศ์ยุโรป ทำไมแกไม่บอกไปเลยล่ะว่าปืนนี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

“หึ คงไม่ใช่ปืนฉีดน้ำหรอกนะ คิดจะเอามาข่มขวัญคนอื่นอีกหรือไง? ครั้งนี้ ฉันไม่มีทางถูกนายทำให้ตกใจได้แน่” มู่เสี่ยวไป๋เชิดหน้าขึ้นด้วยความรังเกียจ

ส่วนหมาทิเบตันที่อยู่ด้านข้าง กลับยิ่งอยู่ยิ่งตัวหดลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

ปืนกระบอกนี้ ทั้งโลกมีเพียงสองกระบอกเท่านั้น

กระบอกหนึ่ง อยู่ในมือของเพื่อนตน

ส่วนอีกกระบอก อยู่ในมือของถานเหิน

เหตุผลที่โหจื่อหยิบปืนพกสีทองออกมา เป้าหมายไม่ได้มีไว้ให้มู่เสี่ยวไป๋ดู แต่กลับต้องการให้หมาทิเบตันได้เห็น

มันคือสัญลักษณ์แสดงตัวตนของถานเหิน

ขณะนี้ หมาทิเบตันเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าโหจื่อก็คือถานเหิน

โหจื่อยังคงเดินหน้าต่อไปอีกสองสามก้าว จากนั้นก็ถึงด้านหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ เขาเอ่ย “ฉันโหจื่อ คนอื่นทำกับฉันยังไง ฉันก็ทำกลับอย่างนั้น”

“ในเมื่อนายจะฆ่าฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะฆ่านายเหมือนกัน”

พูดไป โหจื่อก็วางปืนลงบนหัวของมู่เสี่ยวไป๋

หมาทิเบตันขมวดคิ้ว ตอนนี้ เขาก้มหัวให้กับตระกูลมู่ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองดูมู่เสี่ยวไป๋ตายด้วยน้ำมือของโหจื่อได้

แบบนี้ ไม่เพียงแต่ตนจะอยู่ที่ตระกูลมู่ต่อไปไม่ได้ แต่ยังจะทำให้ชื่อเสียงของตนเสียหายด้วย

ทันทีที่หมาทิเบตันเคลื่อนไหว โหจื่อก็เหล่มองมาที่เขา “ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะไม่ขยับมั่วซั่วแน่”

“ฉันรู้ว่านายเป็นใคร และนายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร ทำไม นายคิดว่าฉันจะวิ่งไปหานายแล้วมอบความตายให้หรือไง? หมาทิเบตัน?”

หมาทิเบตันเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า บนเอวของโหจื่อ ยังมีปืนอยู่อีกกระบอก และปากกระบอกปืนนั่นก็กำลังเล็งมาที่ระหว่างคิ้วของหมาทิเบตันพอดี

“นี่คือปืนที่มีกลไก ขอแค่ร่างกายของฉันเคลื่อนไหว กระสุนก็จะยิงออกไป หมาทิเบตัน นายจะลองแข่งดูสักหน่อยไหมล่ะ ว่าฝีมือของนายหรือกระสุนของฉันเร็วกว่ากัน?”

“แน่นอนว่า ถ้านายคิดว่าฉันกำลังขู่นาย นายก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน”

โหจื่อยิ้มอย่างชั่วร้าย “มา มาพนันกันหน่อย”

ไม่ว่าคนๆ นี้จะเร็วมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ากระสุนได้

หมาทิเบตันจ้องมองโหจื่ออยู่เป็นเวลานาน เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่โหจื่อพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ชื่อถานเหินนี้ทำให้หมาทิเบตันเกรงกลัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีส้าวส้วยอีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ

แม้ว่าปืนที่เอวของโหจื่อจะเป็นของปลอม แต่ส้าวส้วยก็คือของจริงไม่ใช่หรือ?

ปืนในมือของโหจื่อก็น่าจะเป็นของจริงเช่นกัน?

โหจื่อมีปืน บอกกับทักษะของส้าวส้วย โอกาสที่หมาทิเบตันจะชนะแม้แต่ 0.01ยังไม่มี

หมาทิเบตันมองไปที่โหจื่อ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันไม่พนันกับนาย”

หมาทิเบตันพนันไม่ไหว

เขาไม่มีโอกาสชนะ อีกทั้งถ้าแพ้ ตนก็จะสูญเสียชีวิตของตัวเองไป

“หมาทิเบตัน ปืนนี้ เป็นของจริงหรือ?”

เมื่อมองไปที่หมาทิเบตันขี้ขลาดขึ้นมา ในใจของมู่เสี่ยวไป๋ก็เริ่มสั่นเทาเช่นกัน

“แม่งเอ๊ย เล่นกลอะไรกันวะ บนตัวของแก มีปืนอยู่ถึงสามกระบอกเลยหรือวะเนี่ย” มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วแน่น

มู่เสี่ยวไป๋เองก็มีปืนอยู่สามกระบอก เขาได้มันมาจากตลาดมืด แต่ว่า เขากลับล้มเหลวไปหลายครั้งและต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มันมา

ใครจะรู้ว่า บนตัวของโหจื่อ กลับมีปืนสามกระบอกไปแล้ว

“ใครบอกว่ามีแค่สาม ฉันยังมีอีกนะ”

โหจื่อยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา เป็นปืนลูกโม่ลำหนึ่ง และจ่อลงบนหัวของมู่เสี่ยวไป๋

“คุณชายมู่ กระบอกนี้ คงไม่ใช่ปืนฉีดน้ำหรอกมั้ง?”

เมื่อมองไปที่มู่เสี่ยวไป๋ โหจื่อก็หัวเราะอย่างเย็นชา

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท