บทที่ 430 การแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉิน
เธอยังมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวางหงเหมยก็โมโหจนใจสั่น นายท่านฉินได้มอบให้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฉินให้ฉินวี่เฟย เธอบอกว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ เป็นไปได้หรือ?
“เธอยังมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง!”
ฉินวี่เฟยมองหวางหงเหมยด้วยความโกรธ “ฉันยังไม่จบการศึกษาจากวิทยาลัยด้วยซ้ำ จะเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินได้ยังไง อาสะใภ้สาม เรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกคุณอย่าล้อเล่นกันได้ไหม?”
“เจ้าบ้านตระกูลฉิน ผู้สืบทอดควรจะเป็นพ่อของฉัน”
ฉินชิงจือก้าวไปข้างหน้า และมองฉินวี่เฟย เขามองออกว่า ฉินวี่เฟยดูเหมือนจะไม่ได้เสแสร้ง เธออาจไม่รู้จริงๆ
“วี่เฟย ก่อนที่นายท่านฉินกำลังจะตาย ได้มอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉินให้เธอ เรื่องนี้พวกเราทุกคนคิดว่ามันแปลกๆดังนั้นจึงมาหาเธอเพื่อถามให้ชัดเจน ทำไมนายท่านฉินถึงต้องมอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉินให้เธอ?” ฉินชิงจือมองฉินวี่เฟยอย่างสงสัย
ฉินวี่เฟยไม่ใช่คนโง่ เธอค่อยๆจับใจความได้ นายท่านฉินได้มอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฉินให้ตัวเองดูแล
และกลุ่มคนรอบข้างเหล่านี้ กำลังตั้งคำถามกับเธอ โดยคิดว่าเธอไม่มีความสามารถในการดูแลตระกูลฉินทั้งหมด
“ในเมื่คุณปู่ได้มอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉินให้ฉัน คุณปู่ก็ต้องมีเหตุผลของท่าน”
ขณะที่ฉินวี่เฟยพูด ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เย็นชา “ตอนนี้ ฉันคงจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินแล้วใช่ไหม?”
ฉินชิงจือและคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ศพของคุณปู่ยังอุ่นอยู่ พวกคุณพากันมาที่โรงพยาบาลทำไม? เพื่อดูอาการบาดเจ็บของพี่ชายฉัน หรือมาซักถามฉัน?”
ฉินวี่เฟยพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ตอนนี้ฉันขอสั่งให้ทุกคน กลับไปที่บ้านตระกูลฉิน เพื่อไปเฝ้าห้องโถงเซ่นไหว้!”
“เธอนี่นางเด็กอมมือ ถือว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินแล้วเหรอ ฉันขอบอกเธอ พวกเราทุกคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเธอ เธอพูดกับพวกเรา ต้องสุภาพหน่อย” ภรรยาของฉินชิงจือเป็นอาสะใภ้สามของฉินวี่เฟยชื่อหวางหยินเฟิ่งก็พูดขึ้นมา
แม้ว่าฉินชิงจือจะอ่อนแอและไร้ความสามารถ แต่หวางหยินเฟิ่งไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ
หวางหงเหมยก็พูดเสริม “ให้พวกเราไปเฝ้าห้องโถงเซ่นไหว้ แล้วเธอล่ะ? นางเด็กอมมือ อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ นายท่านฉินถูกแฟนของเธอบีบบังคับให้ตาย”
ฉินวี่เฟยจ้องไปที่หวางหงเหมย “คุณอย่าพูดไร้สาระ”
“พูดไร้สาระเหรอ? ฮ่าฮ่า ก่อนตาย นายท่านฉินถูกแทงที่ท้อง4 ครั้ง นายท่านฉินไม่ได้จมน้ำตาย แต่ถูกใครบางคนฆ่าตาย ……ก่อนที่เขาจะตาย เขาจะต้องถูกคุกคามจากคนบางคน”
“ก่อนที่นายท่านฉินจะเสียชีวิต เขาเคยติดต่อกับคนไม่กี่คน คนหนึ่งคือเธอ อีกคน เป็นแฟนของเธอ และพ่อของเขา”
“เธอกล้าพูดหรือไม่ว่าเธอไม่ได้ร่วมมือกับแฟนของเธอ บีบบังคับให้นายท่านฉินต้องตาย เพื่อต้องการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉิน?”
ฉินวี่เฟยถามกลับด้วยใบหน้าเย็นชา “ใครเป็นคนบอกพวกคุณ?”
“เรื่องนี้เธอไม่ต้องสนใจ ยังไง พวกเรามีแหล่งข่าวที่มาของพวกเรา”
จากกระเป๋าหวางหงเหมย หยิบรูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมา “นี่คือหลักฐาน”
“ตอนที่นายท่านฉินออกมาจากร้านกาแฟ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
ฉินวี่เฟยพลิกดูรูปถ่ายสองสามรูป ใบหน้าของเธอประหลาดใจเล็กน้อย มีคนแอบถ่าย?
นี่ไม่ใช่การแอบถ่ายโดยผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างแน่นอน!
ตั้งแต่ตอนที่หลี่ต๋าคางและลุงเฉียนเข้าไปในร้านกาแฟ จนถึงตอนที่นายท่านฉินได้รับบาดเจ็บและจากไป ถูกถ่ายภาพอย่างชัดเจน
“ฉินวี่เฟย ให้คำอธิบายกับพวกเราด้วย”
ทันทีที่หวางหงเหมยพูดจบ ฉินเสี่ยวหู่ก็มาถึง และเขาก็พาทนายความส่วนตัวของนายท่านฉินมาด้วย
หูของฉินเสี่ยวหู่ ถูกพันด้วยผ้ากอซ เมื่อเห็นฉากนี้ หวางหงเหมยก็ถามอย่างกังวลใจทันที “เสี่ยวหู่ หูของเธอเป็นอะไร?”
“หูของฉันไม่เป็นไร ฉันถูกกัด” ฉินเสี่ยวหู่ไม่กล้าที่จะบอกความจริง เขาจึงโกหก
ฉินเสี่ยวหู่เดินเข้ามา และมองไปที่ฉินวี่เฟยอย่างเหยียดหยาม “พี่ เยี่ยมมาก ได้ยินมาว่ากลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินแล้ว”
ฉินวี่เฟยขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบหน้าฉินเสี่ยวหู่
ฉินเสี่ยหู่คนนี้นอกจากเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ยังเป็นคนที่โรคจิต
“หึหึ ทำไมคุณปู่ถึงมอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉินให้เธอ? ตรงจุดนี้ ต้องมีลับลมคมในแน่นอน”
“ฉันได้ยินมาว่า คุณปู่ถูกแฟนของเธอบีบบังคับจนตาย”
“ฉินวี่เฟย ไม่ใช่ว่าเธอยุยงให้แฟน ฆ่าคุณปู่ แล้วบังคับให้คุณปู่ มอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉินให้เธอเหรอ?”
ขณะที่พูด ใบหน้าของฉินเสี่ยวหู่เย็นชา
“ฉินเสี่ยหู่ นายอย่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น” ฉินวี่เฟยพูดอย่างเย็นชา “นายต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่พูดออกไป”
“หึหึ รับผิดชอบเหรอ? พี่ เธอต้องการให้ฉันรับผิดชอบเธอเหรอ? ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอ ทำไมฉันต้องรับผิดชอบเธอด้วย”
ฉินเสี่ยวหู่ยิ้มอย่างน่าเกลียด
ขณะนี้ ฉินเพ่ยเดินออกจากห้องคนป่วย เห็นลูกสาวของตัวเองถูกรังแก เขาเดินไปดู มองฉินเสี่ยวหู่ “เสี่ยวหู่ ให้เกียรติกันหน่อย แม้ว่าวี่เฟยจะไม่ใช่เจ้าบ้านตระกูลฉิน แต่เธอก็เป็นพี่สาว(ลูกพี่ลูกน้อง)ของเธอ”
“ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลฉิน เธอคู่ควรเหรอ!”
ฉินเสี่ยวหู่พูดอย่างเย็นชา “ฉันนี่แหละเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินที่แท้จริง”
“วี่เฟยเป็นเจ้าบ้านตระกูล นายท่านฉินเป็นคนพูดเอง เธอต้องการฝ่าฝืนเหรอ?” ฉินเพ่ยมองฉินเสี่ยวหู่อย่างดูถูกเหยียดหยาม “แม้ว่าวี่เฟยจะไม่คู่ควร คนนักเลงอย่างเธอก็ไม่มีสิทธิ์”
“คุณลุง คุณพูดถูก คุณปู่ได้มอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลให้พี่สาว(ลูกพี่ลูกน้อง) แต่ว่า ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลสามารถยกเลิกได้”
ฉินเสี่ยวหู่เลิกคิ้ว “คุณปู่เสียชีวิตไปแล้ว ตำแหน่งประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ควรจะมีใครมารับตำแหน่ง”
“ก่อนที่นายท่านฉินจะเสียชีวิต ฉันดำรงตำแหน่งประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปชั่วคราว หลังจากวี่เฟยจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ฉันจะมอบตำแหน่งประธานให้กับเธอ” ฉินเพ่ยพูด
“โอเค จะไม่ให้พวกเธอพูดเรื่องไร้สาระแล้ว ทนายหลิว ฉันถามคุณ คำสั่งเสียของนายท่านฉิน ได้พูดไหมว่าจะยกมรดกให้กับใคร?” ฉินเสี่ยวหู่ถาม
“ไม่ได้พูด เป็นเพียงแค่มอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลให้คุณหนูรอง แต่ไม่ได้ระบุว่ามรดกจะยกให้ใคร” ทนายความหลิวพูด
“หึหึ นี่ก็เพียงพอแล้วนี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มรดกของคุณปู่ ทุกคนก็มีส่วนแบ่ง คุณปู่มีหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป 40% แบ่งเป็น 3 หุ้นๆ หุ้นละ13%”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ครอบครัวของฉันและครอบครัวของคุณอาสาม จะได้รับทั้งหมด26% บวกกับอีก16%ที่ถือโดยครอบครัวของพวกเราสองคน ซึ่งก็คือ42% แน่นอน42%นี้ไม่สามารถบรรลุสิทธิ์ในการควบคุมอำนาจหุ้น”
“แต่ว่า เมื่อกี้คุณชายมู่หรงเพิ่งพูด เขายินดีที่จะสนับสนุนฉัน และสนับสนุนให้ฉันเป็นประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป”
ในขณะที่พูด ฉินเสี่ยหู่ก็หันหัวกลับมา และจ้องไปที่ฉินชิงจือ “อาสาม คุณก็สนับสนุนฉันด้วย ใช่ไหม?”
“ในเมื่อมู่หรงฉางเฟิงก็สนับสนุนเธอ ฉันก็จะสนับสนุนเธอเช่นกัน”
ฉินเสี่ยวหู่เหล่ตาและยิ้ม “ดูเหมือนว่า ประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ควรจะเป็นของฉัน”
“นอกจากนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ทุกอย่างในตระกูลฉิน อยู่ในความดูแลของฉัน” ฉินเสี่ยวหู่พูดอย่างเย็นชา
ฉินเสี่ยวหู่ควบคุมอำนาจทางการเงินทั้งหมด ตระกูลฉินเล็กๆนี้ ใครจะกล้าฝ่าฝืนฉินเสี่ยวหู่
เพียงแต่ว่า ฉินเพ่ยไม่อยากจะเชื่อ “เธอบอกว่าตระกูลมู่หรงสนับสนุนเธอ เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า? เขาเป็นลูกเขยของฉันแล้วจะสนับสนุนเธอได้อย่างไร”
“หึหึ รู้แล้วว่าคุณต้องไม่เชื่อ”
ฉินเสี่ยวหู่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และโทรออกไปยังหมายเลขของมู่หรงฉางเฟิง “คุณชายมู่หรง ลุงของฉันต้องการยืนยันกับนาย”
มู่หรงฉางเฟิงยืนอยู่ไม่ไกล มองดูทั้งหมดอย่างใจเย็น “เอาล่ะ เอาโทรศัพท์ให้เขา”
“ฉางเฟิง เสี่ยวหู่โกหกฉันหรือเปล่า เขาบอกว่าเธอสนับสนุนเขาให้เขาเป็นประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป……”
ก่อนที่ฉินเพ่ยจะพูดจบ มู่หรงฉางเฟิงก็ขัดจังหวะเขา และพูดว่า “พ่อตา ฉันขอโทษจริงๆ ฉันคิดว่าเสี่ยวหู่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินมากกว่า”
“นอกจากนี้ เสี่ยวหู่ยังเป็นคนที่มีความสามารถมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาทำเงินให้กับตระกูลฉินได้มากมาย และยังมีธุรกิจเป็นของตัวเอง……”
“เสี่ยวหู่มีธุรกิจอะไร? เขาเป็นแค่……”
“หึหึ พ่อตา ไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร ขอให้มีความสามารถก็พอ ฉันสนับสนุนเสี่ยวหู่ให้เป็นประธานบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ฉันเชื่อว่าภายใต้การบริหารของเขา บริษัทตระกูลฉินซื่อกรุ๊ป จะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน”
หลังจากที่มู่หรงฉางเฟิงพูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์
ในความเป็นจริง มู่หรงฉางเฟิงกำลังมองหาหุ่นเชิด และฉินเสี่ยวหู่ เหมาะสมที่สุดแล้ว
สำหรับฉินจื่อยี่กับฉินเพ่ยสองคนนี้ เป็นคนเที่ยงธรรมเกินไป ให้พวกเขาทำงานให้ตระกูลมู่หรง มันยากเกินไป
หลังจากวางสายแล้วฉินเพ่ย ก็ตะลึง
เขาไม่คาดคิดว่า ลูกเขยของเขา ในช่วงวิกฤต จะเอนเอียงไปช่วยคนนอก
ฉินเสี่ยวหู่หัวเราะเบาๆ และหยิบโทรศัพท์มือถือของเขากลับมา “คุณลุง ได้ยินแล้วใช่ไหม? ตอนนี้คุณชายมู่หรงได้สนับสนุนฉัน รวมทั้งพ่อของฉันและอาสามของฉัน รอถึงพรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมคณะกรรมการใหญ่ เพื่อเข้ารับตำแหน่ง”
“ถึงเวลานั้น ฉันจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉิน”
“สำหรับคุณ คุณลุง คุณก็อายุมากแล้ว ควรพักผ่อนได้แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณทำงานเพื่อตระกูลฉินมามาก ตระกูลฉินจะไม่ทำให้คุณเสียเปรียบ ฉันคิดว่าเรื่องหัวหน้าหน่วยรปภ. ก็ไม่เลว ไม่มีธุระก็ดื่มชา และไม่ต้องกังวลอะไร ดูผมที่ด้านบนศีรษะของคุณ มันเกือบจะร่วงหมดแล้ว”
ฉินเสี่ยวหู่มองไปที่ฉินเพ่ยและยิ้มอย่างมีเลศนัย “โอเค ตามนั้นนะ หัวหน้าหน่วยรปภ.ก็คือคุณ คุณลุง”
“หัวหน้าหน่วยรปภ.?” ฉินเพ่ย สั่นไปทั้งตัว
เขาเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป โดยปกติแล้ว กิจการเกือบทั้งหมดของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เขาจะเป็นคนดูแล
นายท่านฉิน เป็นเพียงประธานการบริหารในนามเท่านั้น คนที่ทำงานอย่างแท้จริง คือฉินเพ่ย
ไม่คาดคิด พอนายท่านฉินเสียชีวิตฉินเพ่ย จะถูกลดตำแหน่งไปเป็นหัวหน้าหน่วยรปภ.
ฉินเพ่ยโมโหจนสั่นไปทั้งตัว
ฉินซ่างเสียนยิ้มอย่างมีชัยชนะ และมองไปที่ลูกชายของเขาฉินเสี่ยวหู่ ดีใจมาก “ฮ่าฮ่า ฉินเพ่ย ฉินเพ่ยคุณกดขี่ฉันมาทั้งชีวิต ในที่สุดตอนนี้……”
ขณะที่ฉินซ่างเสียนกำลังจะพูดเหยียดหยามฉินเพ่ย มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา และก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว
“สวัสดี คุณเป็นทนายความหลิวหรือไม่?” ชายวัยกลางคนเดินไปหาทนายความส่วนตัวของนายท่านฉิน
“ใช่”
“ฉันนามสกุลถัน และชื่อถันอีหมิง นี่คือนามบัตรของฉัน พวกเรามีอาชีพเดียวกัน”
“ถันอีหมิง? ทนายถันอีหมิงมีนามที่ว่าไม่เคยแพ้คดีใดๆมาก่อน?” ทนายหลิวกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะปรากฏตัวในเมืองเอก
นี่คือทนายความชั้นนำของประเทศ
มีตำนานที่ว่าเคยทำคดี 72ครั้งแต่ไม่เคยพ่ายแพ้
ถันอีหมิงยิ้ม และพยักหน้า “เป็นผมแหละ นี่คือสัญญาการโอนทรัพย์สิน เชิญตรวจดูให้ชัดเจน ก่อนที่นายท่านฉินจะจากไป เขาได้โอนทรัพย์สินทั้งหมดของเขา ไปให้คุณชายของเราแล้ว”
“คุณชายของคุณ?” ทนายความหลิวถาม
“ใช่ ก็คือหนีเตีย” ถันอีหมิงพูดด้วยรอยยิ้ม