NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 571 ใช้ชีวิตแลกเงิน

บทที่ 571 ใช้ชีวิตแลกเงิน

จูเปิ่นจุดบุหรี่ให้กับตัวเองมวลหนึ่ง แล้วดูดสองสามคำ นางพยาบาลที่ถูกซ้อมยังไม่เข็ดคนหนึ่งลุกยืนขึ้นแล้วกล่าว: “ในโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ดูดบุหรี่”

“เหอะ ๆ ” จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ สองครั้ง และเสี่ยวซานจื่อก็ได้ถีบเข้าไปที่หน้านางพยาบาลอย่างจัง: “แม่งเอ๊ยอย่ามาทำเป็นซ่าต่อหน้าฉัน อย่าว่าแต่พี่ใหญ่ฉันดูดบุหรี่อยู่ที่นี่เลย แม้แต่จะจุดไฟเผาห้องทำงานของเธอ เธอก็จะต้องนั่งมองอยู่เฉย ๆ เข้าใจไหม?”

“พวกแก……พวกแกนี่มันไม่เกรงกลัวกฎหมายกันเลยจริง ๆ ” นางพยาบาลคนนั้นล้มลงที่ข้างเตียง โมโหจนแทบพูดไม่ออก

จูเปิ่นนำบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวล ยื่นให้กับเสี่ยวซานจื่อ จากนั่นก็ย่อตัวลง นั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าของนางพยาบาล

“แกอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาอีกนะ ฉันจะร้องให้คนช่วยแล้วนะ ฮือ ๆ ……” นางพยาบาลมองใบหน้าที่โหดเหี้ยมอำมหิตของจูเปิ่น ทำให้เธอตกใจหวาดผวาจนสะอึกสะอื้นขึ้นมา

“เหอะ ๆ เธอนี่มันตลกจริง ๆ เลย เมื่อกี้เธอยังมีหน้าพูดถึงกฎหมายอีกเหรอ? กฎหายคืออะไร? เธอพูดเรื่องกฎหมายกับฉันในตอนนี้ ฉันถามเธอหน่อยสิ เธอเห็นตอนที่พวกมันฆ่าคนไหม?”

“ฉันกำลังถามเธออยู่นะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ได้ยินไหม?” จูเปิ่นขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น เขาคว้าปืนออกมาจากหน้าอก แล้วจ่อไปที่นางพยาบาล

“ปลายปืนได้ใส่กระบอกเก็บเสียง ต่อให้ตอนนี้ฉันลั่นไกระเบิดหัวเธอ คนที่อยู่ข้างนอก ก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”

“หยุดร้องไห้ซะ ได้ยินไหม?”

จูเปิ่นขยับแขนเล็กน้อย จนปลายกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ปากของนางพยาบาล

ทันใดนั้นนางพยาบาลก็ไม่กล้าร้องไห้อีก หยดน้ำที่กำลังจะไหลออกจากตา ถูกห้ามไม่ให้ไหลออกมาในทันที

“ฉันถามเธออีกครั้ง ตอนที่พวกมันฆ่าคน เธอเห็นไหม?” จูเปิ่นถามอย่างเยือกเย็น

นางพยาบาลลังเลอยู่สักพัก แล้วพยักหน้า

“เหอะ ๆ ในเมื่อเธอเห็นแล้ว แล้วทำไมตอนที่ตำรวจถามเธอ เธอถึงไม่พูดล่ะ? ทำไม ไม่กล้าเหรอ หรือว่าพูดไม่เป็น?” จูเปิ่นจ้องมองนางพยาบาล และขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น แล้วถามต่อ

นางพยาบาลกล่าว: “ไม่กล้า ตอนนั้นหลังจากที่พวกมันฆ่าคนแล้ว พวกเราก็พากันหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก อีกอย่างพวกมันได้ยึดบัตรประชาชนของพวกเราไปหมด แล้วถ่ายรูปเอาไว้ พวกมันบอกว่า ถ้าหากพวกเราคนใดคนหนึ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็จะฆ่าพวกเราทั้งหมดซะ พวกเราล้วนเป็นคนที่นี่ หรือต่อให้ไม่ใช่คนที่นี่ ก็อยู่ไม่ไกล พวกมันล้วนเป็นพวกเดนตาย พวกเดนตายที่แท้จริง ถ้าหากขายพวกมัน พวกเราจะต้องถูกพวกมันฆ่าตายอย่างแน่นอน”

จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ บนใบหน้าปรากฏท่าทีเหยียดหยามออกมา: “พวกเดนตาย? พวกเดนตายห่าอะไร มาคุยโวอะไรกับฉันอยู่ตรงนี้ ก็แค่ฆ่าคนเอง ทำไมถึงได้กลายเป็นพวกเดนตายแล้วล่ะ ในเมื่อเป็นพวกเดนตาย พวกมันจะกลัวพวกเธอขายพวกมันทำไม เดิมที่ก็เป็นคนที่ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังจะกลัวถูกตามจับ? หรือว่ากลัวอะไร?”

“ดูพวกคนขี้ขลาดที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่ากลัวคนที่แข็งแรงกว่าอย่างพวกเธอสิ กลัวพวกมัน แต่ไม่กลัวฉัน หรือว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้ฆ่าคนต่อหน้าพวกเธอ? ให้พวกเธอได้เห็นความร้ายกาจหรือเปล่า?”

จู่เปิ่นทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก กล่าว: “ฉันจะบอกพวกเธอให้นะ พวกมันกล้าฆ่าคน ฉันก็กล้าเหมือนกัน จุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อนายน้อยของพวกเรา ถ้าหากนายน้อยของเราโดนปรักปรำเพราะพวกเธอ จนต้องติดคุกล่ะก็ ฉันจะต้องไม่ปล่อยพวกเธอแน่ เข้าใจไหม?”

“รอฉันจับพวกเดนตายที่เธอว่าได้ ยังต้องเชิญพวกเธอไปชี้ตัว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้นายน้อยของพวกเรา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หึ ๆ ถึงยังไงตัวตนของพวกเธอ ฉันต่างก็จำได้แม่น จะจัดการหรือล้างแค้น ฉันก็จะไม่พูดมากแล้ว”

จูเปิ่นลุกขึ้นยืน เขามองนางพยาบาลคนนี้ด้วยสายตาที่เหยียดยาม แล้วกล่าว: “ใบหน้าของพวกเธอทุกคน ฉันจำได้หมดแล้ว ถ้าหากกล้าโทรแจ้งตำรวจล่ะก็ เหอะ ๆ ขอเพียงฉันไม่ถูกตัดสินโทษตาย เมื่อไหร่ที่ถูกปล่อยตัวออกมาฉันจะกลายเป็นฝันร้ายของพวกเธออย่างแน่นอน”

“เงินหนึ่งแสนหยวนนี่ฉันจะทิ้งไว้พวกเธอตรงนี้ ถ้าพวกเธอไม่รับเงินที่ได้มาอย่างไม่สุจริต หรือแอบรับอั่งเปาอะไร ฉันว่าเงินเดือนของพวกเธอก็ไม่เยอะใช่ไหม?”

“ถูกซ้อมสักครั้ง แล้วแบ่งกันคนละหมื่นสองหมื่น ฉันว่าพวกเธอน่าจะดีใจถึงจะถูก”

จูเปิ่นกล่าวพลางหัวเราะเหอะ ๆ จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับเสี่ยวซานจื่อ เสี่ยวซานจื่อตบบ่าของชายหนุ่มคนนั้นเบาๆ กล่าว: “ทำตามที่ลูกพี่ของเราพูดเมื่อกี้ รีบไปซะเถอะ”

รอหลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นจากไปได้สักพักแล้ว จูเปิ่นถึงได้พาพวกเสี่ยวซานจื่อจากไป

พอมาถึงหน้ารถเบนซ์เชิงพาณิชย์ จูเปิ่นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก มองดูชายหนุ่มคนนั้น: “ไม่เลว เชื่อฟังดีนี่”

“ลูกพี่ ผมต้องเลี้ยงดูทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ จะกล้าไม่เชื่อฟังได้ยังไงครับ” ชายหนุ่มเม้มปาก พลางกล่าว

“อืม รู้ก็ดีแล้ว ดูแกอายุยังน้อย ทำไม มีลูกแล้วเหรอ?” จูเปิ่นเลิกคิ้ว และถามออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

“ยังไม่มีลูกครับ แต่มีน้องชายคนหนึ่ง พึ่งอายุสองขวบ” ชายหนุ่มมีสีหน้าก่ำแดงเล็กน้อยกล่าว: “บ้านผมอยู่บนเขา การควบคุมการมีบุตรของที่นั่นไม่ได้เคร่งครัดสักเท่าไหร่”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ตอนนี้ได้เปิดให้มีบุตรคนที่สองได้แล้วนี่”

จูเปิ่นหัวเราะเอิ๊กอ๊าก: “ดูท่าทางแกแล้ว เหมือนกับว่ามีความกดดันอยู่ไม่น้อย”

ชายหนุ่มพยักหน้า กล่าว: “ใช่ครับ กดดันมาก ทั้งครอบครัวต่างฝากความหวังไว้กับผมเพียงคนเดียว พ่อกับแม่ของผมไม่ค่อยมีรายได้ แค่ทำไร่ไถนา พ่อของผมทั้งชีวิตไม่เคยออกมาจากภูเขาเลย บอกให้พวกเขาเข้ามาทำงานในเมือง ให้ตายยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรกันอยู่ มีความแค้นกับเงินหรือว่ายังไง?”

หลังจากที่ชายหนุ่มบ่นอยู่สักพัก จู่ ๆ เขาก็ได้เอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน: “ลูกพี่ ผมทำงานกับลูกพี่ได้ไหม?”

“?”

จ้องมองชายหนุ่มคนนั้น จูเปิ่นพลันตะลึงงันอยู่สักพัก จากนั้นก็ค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมา: “ทำไมถึงนึกอยากจะทำงานกับฉันขึ้นมาล่ะ?”

“คิดอะไรอยู่น่ะ ดูท่าทางของแก คงพึ่งจบมหาลัยฯ มาใช่ไหม? จบมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่หางานดี ๆ ทำ แต่จะมาทำงานที่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งกับฉัน สมองแกมีปัญหาหรือไง?” จูเปิ่นมองชายหนุ่มอย่างหยามเหยียด

“ไม่นะครับ จบมหาลัยฯ จะมีประโยชน์อะไร เหอะ ๆ ดูพวกลูกพี่สิ เสื้อผ้าที่ใส่ ล้วนเป็นของมียี่ห้อทั้งนั้นใช่ไหมล่ะครับ?” ชายหนุ่มมองดูจูเปิ่นและพวกเสี่ยวซานจื่อด้วยท่าทีเลื่อมใสศรัทธา

“ไม่ใช่ของจริงหรอก สินค้าข้างถนนเท่านั้นเอง คนในสังคมอย่างพวกเรา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้แสดงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงซื้อเป็นพวกของเกรดเอ เพื่อใช้ตบตาคนเท่านั้นเอง” จูเปิ่นยิ้ม พลางกล่าวปฏิเสธ

“ลูกพี่ชอบล้อเล่นจริง ๆ เลย เสื้อผ้าเป็นของปลอม แล้วรถก็เป็นของปลอมด้วยไหมครับ? รถเบนซ์เชิงพาณิชย์สองคันนี้รวมกัน อย่างน้อยก็น่าจะล้านกว่าได้มั้งเนอะ?”

“ยังมี เมื่อกี้ลูกพี่ได้ควักเงินเป็นถุงออกมา นั่นมันเงินจำนวนเป็นแสนเชียวนะ ทิ้งให้พวกหมอพยาบาลนั่นอย่างง่าย ๆ ช่างใจกว้างจริง ๆ เลยนะครับ”

ชายหนุ่มมองจูเปิ่น เม้มปากกล่าว: “ลูกพี่ทิ้งเงินแสนกว่าออกไป ราวกับทิ้งกระดาษหนังสือพิมพ์แน่ะ ไม่กะพริบตาเลยสักนิด”

“ลูกพี่ พี่จะต้องเป็นคนที่มีเงินคนหนึ่งแน่นอน”

ชายหนุ่มเบ้ปาก: “ชั่วชีวิตนี้ของผม คงไม่มีปัญญาจะเป็นอย่างพี่ได้ นอกเสียจากจะติดตามทำงานกับพี่”

“เหอะ ๆ มันก็แค่รถยนต์มือสองเท่านั้นเอง เงินก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของพี่ใหญ่ของพวกเรา ฉันไม่ใหญ่ลูกพี่อะไรหรอก ก็แค่อายุมากกว่าพวกเขา แค่นั้นเอง”

“รู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ในสังคมแบบนี้? นั่นก็เพราะพวกเราไม่ได้เรียนมหาลัยฯ ไม่มีทางเลือกถึงได้เดินเส้นทางนี้ น้องชาย แกไม่เหมือนกันกับพวกเรา แกมีทางเลือก พวกเราเลือกไม่ได้ เข้าใจไหม?”

“พวกเราแต่งตัวดูดี รายได้ไม่ธรรมดา แต่ก็ต้องแลกกับอะไรมากมาย” จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ :” แก ขี้ขลาดซะขนาดนั้น ไม่เหมาะที่จะมาทำงานแบบพวกเรา”

“ลูกพี่ครับ อย่ามองคนในที่แคบสิ แบบนี้ทำให้ดูมองคนผิดได้ง่ายนะครับ ในหมู่บ้านของพวกเรา ผมเป็นคนเดียวที่สามารถสอบเข้ามหาลัยฯ ได้ในหนึ่งปี คุณภาพชีวิตของพวกเราที่นั่นลำบากมาก ล้วนบอกว่าขอเพียงสามารถสอบเข้ามหาลัย ถึงจะออกมาสู่โลกภายนอกได้ ผมสามารถโดดเด่นกว่าคนหนุ่มสาวหลายร้อยคนได้ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าผมจะอยู่ในสังคมแบบพวกพี่ไม่ได้”

“ลูกพี่ครับ ทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน พวกพี่ทำได้ ผมก็สามารถทำได้เหมือนกัน ถ้าเทียบกับพวกพี่แล้ว ผมขาดแค่โอกาสเท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มกล่าวไปหัวเราะไป

“แกชื่ออะไร?” จูเปิ่นมองชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม

“หรุ่ยเหวินเจ๋”

“หรุ่ยเหวินเจ๋ แกดูให้ดี ๆ นะ” จูเปิ่นกล่าว แล้วถอดเสื้อของตัวเองออก นอกจากกล้ามเนื้อที่ปรากฏให้เห็นแล้ว ยังมีรอยมีดอยู่ทั่วร่าง และยังมีรอยกระสุนปืนอยู่หลาย

“เห็นหรือยัง? รู้หรือยังว่าพวกเราหาเงินยังไง? พวกเราใช้ชีวิตหาเงิน รู้ไหมว่าฉันอิจฉาคนแบบไหนมากที่สุด ก็คืออิจฉาคนที่มีการศึกษาอย่างพวกแกไงล่ะ” บนใบหน้าของจูเปิ่น ปรากฏแววซับซ้อนออกมาพลางกล่าว: “น้องชาย อย่าคาดเดามั่วซั่วอีกเลย ทำหน้าที่หมอของแกไปน่ะดีแล้ว ถึงจะมีอนาคต”

สีหน้าของชายหนุ่มหม่นหมองเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมา

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท