จูเปิ่นจุดบุหรี่ให้กับตัวเองมวลหนึ่ง แล้วดูดสองสามคำ นางพยาบาลที่ถูกซ้อมยังไม่เข็ดคนหนึ่งลุกยืนขึ้นแล้วกล่าว: “ในโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ดูดบุหรี่”
“เหอะ ๆ ” จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ สองครั้ง และเสี่ยวซานจื่อก็ได้ถีบเข้าไปที่หน้านางพยาบาลอย่างจัง: “แม่งเอ๊ยอย่ามาทำเป็นซ่าต่อหน้าฉัน อย่าว่าแต่พี่ใหญ่ฉันดูดบุหรี่อยู่ที่นี่เลย แม้แต่จะจุดไฟเผาห้องทำงานของเธอ เธอก็จะต้องนั่งมองอยู่เฉย ๆ เข้าใจไหม?”
“พวกแก……พวกแกนี่มันไม่เกรงกลัวกฎหมายกันเลยจริง ๆ ” นางพยาบาลคนนั้นล้มลงที่ข้างเตียง โมโหจนแทบพูดไม่ออก
จูเปิ่นนำบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวล ยื่นให้กับเสี่ยวซานจื่อ จากนั่นก็ย่อตัวลง นั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าของนางพยาบาล
“แกอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาอีกนะ ฉันจะร้องให้คนช่วยแล้วนะ ฮือ ๆ ……” นางพยาบาลมองใบหน้าที่โหดเหี้ยมอำมหิตของจูเปิ่น ทำให้เธอตกใจหวาดผวาจนสะอึกสะอื้นขึ้นมา
“เหอะ ๆ เธอนี่มันตลกจริง ๆ เลย เมื่อกี้เธอยังมีหน้าพูดถึงกฎหมายอีกเหรอ? กฎหายคืออะไร? เธอพูดเรื่องกฎหมายกับฉันในตอนนี้ ฉันถามเธอหน่อยสิ เธอเห็นตอนที่พวกมันฆ่าคนไหม?”
“ฉันกำลังถามเธออยู่นะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ได้ยินไหม?” จูเปิ่นขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น เขาคว้าปืนออกมาจากหน้าอก แล้วจ่อไปที่นางพยาบาล
“ปลายปืนได้ใส่กระบอกเก็บเสียง ต่อให้ตอนนี้ฉันลั่นไกระเบิดหัวเธอ คนที่อยู่ข้างนอก ก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
“หยุดร้องไห้ซะ ได้ยินไหม?”
จูเปิ่นขยับแขนเล็กน้อย จนปลายกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ปากของนางพยาบาล
ทันใดนั้นนางพยาบาลก็ไม่กล้าร้องไห้อีก หยดน้ำที่กำลังจะไหลออกจากตา ถูกห้ามไม่ให้ไหลออกมาในทันที
“ฉันถามเธออีกครั้ง ตอนที่พวกมันฆ่าคน เธอเห็นไหม?” จูเปิ่นถามอย่างเยือกเย็น
นางพยาบาลลังเลอยู่สักพัก แล้วพยักหน้า
“เหอะ ๆ ในเมื่อเธอเห็นแล้ว แล้วทำไมตอนที่ตำรวจถามเธอ เธอถึงไม่พูดล่ะ? ทำไม ไม่กล้าเหรอ หรือว่าพูดไม่เป็น?” จูเปิ่นจ้องมองนางพยาบาล และขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น แล้วถามต่อ
นางพยาบาลกล่าว: “ไม่กล้า ตอนนั้นหลังจากที่พวกมันฆ่าคนแล้ว พวกเราก็พากันหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก อีกอย่างพวกมันได้ยึดบัตรประชาชนของพวกเราไปหมด แล้วถ่ายรูปเอาไว้ พวกมันบอกว่า ถ้าหากพวกเราคนใดคนหนึ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็จะฆ่าพวกเราทั้งหมดซะ พวกเราล้วนเป็นคนที่นี่ หรือต่อให้ไม่ใช่คนที่นี่ ก็อยู่ไม่ไกล พวกมันล้วนเป็นพวกเดนตาย พวกเดนตายที่แท้จริง ถ้าหากขายพวกมัน พวกเราจะต้องถูกพวกมันฆ่าตายอย่างแน่นอน”
จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ บนใบหน้าปรากฏท่าทีเหยียดหยามออกมา: “พวกเดนตาย? พวกเดนตายห่าอะไร มาคุยโวอะไรกับฉันอยู่ตรงนี้ ก็แค่ฆ่าคนเอง ทำไมถึงได้กลายเป็นพวกเดนตายแล้วล่ะ ในเมื่อเป็นพวกเดนตาย พวกมันจะกลัวพวกเธอขายพวกมันทำไม เดิมที่ก็เป็นคนที่ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังจะกลัวถูกตามจับ? หรือว่ากลัวอะไร?”
“ดูพวกคนขี้ขลาดที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่ากลัวคนที่แข็งแรงกว่าอย่างพวกเธอสิ กลัวพวกมัน แต่ไม่กลัวฉัน หรือว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้ฆ่าคนต่อหน้าพวกเธอ? ให้พวกเธอได้เห็นความร้ายกาจหรือเปล่า?”
จู่เปิ่นทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก กล่าว: “ฉันจะบอกพวกเธอให้นะ พวกมันกล้าฆ่าคน ฉันก็กล้าเหมือนกัน จุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อนายน้อยของพวกเรา ถ้าหากนายน้อยของเราโดนปรักปรำเพราะพวกเธอ จนต้องติดคุกล่ะก็ ฉันจะต้องไม่ปล่อยพวกเธอแน่ เข้าใจไหม?”
“รอฉันจับพวกเดนตายที่เธอว่าได้ ยังต้องเชิญพวกเธอไปชี้ตัว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้นายน้อยของพวกเรา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หึ ๆ ถึงยังไงตัวตนของพวกเธอ ฉันต่างก็จำได้แม่น จะจัดการหรือล้างแค้น ฉันก็จะไม่พูดมากแล้ว”
จูเปิ่นลุกขึ้นยืน เขามองนางพยาบาลคนนี้ด้วยสายตาที่เหยียดยาม แล้วกล่าว: “ใบหน้าของพวกเธอทุกคน ฉันจำได้หมดแล้ว ถ้าหากกล้าโทรแจ้งตำรวจล่ะก็ เหอะ ๆ ขอเพียงฉันไม่ถูกตัดสินโทษตาย เมื่อไหร่ที่ถูกปล่อยตัวออกมาฉันจะกลายเป็นฝันร้ายของพวกเธออย่างแน่นอน”
“เงินหนึ่งแสนหยวนนี่ฉันจะทิ้งไว้พวกเธอตรงนี้ ถ้าพวกเธอไม่รับเงินที่ได้มาอย่างไม่สุจริต หรือแอบรับอั่งเปาอะไร ฉันว่าเงินเดือนของพวกเธอก็ไม่เยอะใช่ไหม?”
“ถูกซ้อมสักครั้ง แล้วแบ่งกันคนละหมื่นสองหมื่น ฉันว่าพวกเธอน่าจะดีใจถึงจะถูก”
จูเปิ่นกล่าวพลางหัวเราะเหอะ ๆ จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับเสี่ยวซานจื่อ เสี่ยวซานจื่อตบบ่าของชายหนุ่มคนนั้นเบาๆ กล่าว: “ทำตามที่ลูกพี่ของเราพูดเมื่อกี้ รีบไปซะเถอะ”
รอหลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นจากไปได้สักพักแล้ว จูเปิ่นถึงได้พาพวกเสี่ยวซานจื่อจากไป
พอมาถึงหน้ารถเบนซ์เชิงพาณิชย์ จูเปิ่นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก มองดูชายหนุ่มคนนั้น: “ไม่เลว เชื่อฟังดีนี่”
“ลูกพี่ ผมต้องเลี้ยงดูทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ จะกล้าไม่เชื่อฟังได้ยังไงครับ” ชายหนุ่มเม้มปาก พลางกล่าว
“อืม รู้ก็ดีแล้ว ดูแกอายุยังน้อย ทำไม มีลูกแล้วเหรอ?” จูเปิ่นเลิกคิ้ว และถามออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
“ยังไม่มีลูกครับ แต่มีน้องชายคนหนึ่ง พึ่งอายุสองขวบ” ชายหนุ่มมีสีหน้าก่ำแดงเล็กน้อยกล่าว: “บ้านผมอยู่บนเขา การควบคุมการมีบุตรของที่นั่นไม่ได้เคร่งครัดสักเท่าไหร่”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ตอนนี้ได้เปิดให้มีบุตรคนที่สองได้แล้วนี่”
จูเปิ่นหัวเราะเอิ๊กอ๊าก: “ดูท่าทางแกแล้ว เหมือนกับว่ามีความกดดันอยู่ไม่น้อย”
ชายหนุ่มพยักหน้า กล่าว: “ใช่ครับ กดดันมาก ทั้งครอบครัวต่างฝากความหวังไว้กับผมเพียงคนเดียว พ่อกับแม่ของผมไม่ค่อยมีรายได้ แค่ทำไร่ไถนา พ่อของผมทั้งชีวิตไม่เคยออกมาจากภูเขาเลย บอกให้พวกเขาเข้ามาทำงานในเมือง ให้ตายยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรกันอยู่ มีความแค้นกับเงินหรือว่ายังไง?”
หลังจากที่ชายหนุ่มบ่นอยู่สักพัก จู่ ๆ เขาก็ได้เอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน: “ลูกพี่ ผมทำงานกับลูกพี่ได้ไหม?”
“?”
จ้องมองชายหนุ่มคนนั้น จูเปิ่นพลันตะลึงงันอยู่สักพัก จากนั้นก็ค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมา: “ทำไมถึงนึกอยากจะทำงานกับฉันขึ้นมาล่ะ?”
“คิดอะไรอยู่น่ะ ดูท่าทางของแก คงพึ่งจบมหาลัยฯ มาใช่ไหม? จบมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่หางานดี ๆ ทำ แต่จะมาทำงานที่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งกับฉัน สมองแกมีปัญหาหรือไง?” จูเปิ่นมองชายหนุ่มอย่างหยามเหยียด
“ไม่นะครับ จบมหาลัยฯ จะมีประโยชน์อะไร เหอะ ๆ ดูพวกลูกพี่สิ เสื้อผ้าที่ใส่ ล้วนเป็นของมียี่ห้อทั้งนั้นใช่ไหมล่ะครับ?” ชายหนุ่มมองดูจูเปิ่นและพวกเสี่ยวซานจื่อด้วยท่าทีเลื่อมใสศรัทธา
“ไม่ใช่ของจริงหรอก สินค้าข้างถนนเท่านั้นเอง คนในสังคมอย่างพวกเรา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้แสดงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงซื้อเป็นพวกของเกรดเอ เพื่อใช้ตบตาคนเท่านั้นเอง” จูเปิ่นยิ้ม พลางกล่าวปฏิเสธ
“ลูกพี่ชอบล้อเล่นจริง ๆ เลย เสื้อผ้าเป็นของปลอม แล้วรถก็เป็นของปลอมด้วยไหมครับ? รถเบนซ์เชิงพาณิชย์สองคันนี้รวมกัน อย่างน้อยก็น่าจะล้านกว่าได้มั้งเนอะ?”
“ยังมี เมื่อกี้ลูกพี่ได้ควักเงินเป็นถุงออกมา นั่นมันเงินจำนวนเป็นแสนเชียวนะ ทิ้งให้พวกหมอพยาบาลนั่นอย่างง่าย ๆ ช่างใจกว้างจริง ๆ เลยนะครับ”
ชายหนุ่มมองจูเปิ่น เม้มปากกล่าว: “ลูกพี่ทิ้งเงินแสนกว่าออกไป ราวกับทิ้งกระดาษหนังสือพิมพ์แน่ะ ไม่กะพริบตาเลยสักนิด”
“ลูกพี่ พี่จะต้องเป็นคนที่มีเงินคนหนึ่งแน่นอน”
ชายหนุ่มเบ้ปาก: “ชั่วชีวิตนี้ของผม คงไม่มีปัญญาจะเป็นอย่างพี่ได้ นอกเสียจากจะติดตามทำงานกับพี่”
“เหอะ ๆ มันก็แค่รถยนต์มือสองเท่านั้นเอง เงินก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของพี่ใหญ่ของพวกเรา ฉันไม่ใหญ่ลูกพี่อะไรหรอก ก็แค่อายุมากกว่าพวกเขา แค่นั้นเอง”
“รู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ในสังคมแบบนี้? นั่นก็เพราะพวกเราไม่ได้เรียนมหาลัยฯ ไม่มีทางเลือกถึงได้เดินเส้นทางนี้ น้องชาย แกไม่เหมือนกันกับพวกเรา แกมีทางเลือก พวกเราเลือกไม่ได้ เข้าใจไหม?”
“พวกเราแต่งตัวดูดี รายได้ไม่ธรรมดา แต่ก็ต้องแลกกับอะไรมากมาย” จูเปิ่นหัวเราะเหอะ ๆ :” แก ขี้ขลาดซะขนาดนั้น ไม่เหมาะที่จะมาทำงานแบบพวกเรา”
“ลูกพี่ครับ อย่ามองคนในที่แคบสิ แบบนี้ทำให้ดูมองคนผิดได้ง่ายนะครับ ในหมู่บ้านของพวกเรา ผมเป็นคนเดียวที่สามารถสอบเข้ามหาลัยฯ ได้ในหนึ่งปี คุณภาพชีวิตของพวกเราที่นั่นลำบากมาก ล้วนบอกว่าขอเพียงสามารถสอบเข้ามหาลัย ถึงจะออกมาสู่โลกภายนอกได้ ผมสามารถโดดเด่นกว่าคนหนุ่มสาวหลายร้อยคนได้ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าผมจะอยู่ในสังคมแบบพวกพี่ไม่ได้”
“ลูกพี่ครับ ทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน พวกพี่ทำได้ ผมก็สามารถทำได้เหมือนกัน ถ้าเทียบกับพวกพี่แล้ว ผมขาดแค่โอกาสเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มกล่าวไปหัวเราะไป
“แกชื่ออะไร?” จูเปิ่นมองชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม
“หรุ่ยเหวินเจ๋”
“หรุ่ยเหวินเจ๋ แกดูให้ดี ๆ นะ” จูเปิ่นกล่าว แล้วถอดเสื้อของตัวเองออก นอกจากกล้ามเนื้อที่ปรากฏให้เห็นแล้ว ยังมีรอยมีดอยู่ทั่วร่าง และยังมีรอยกระสุนปืนอยู่หลาย
“เห็นหรือยัง? รู้หรือยังว่าพวกเราหาเงินยังไง? พวกเราใช้ชีวิตหาเงิน รู้ไหมว่าฉันอิจฉาคนแบบไหนมากที่สุด ก็คืออิจฉาคนที่มีการศึกษาอย่างพวกแกไงล่ะ” บนใบหน้าของจูเปิ่น ปรากฏแววซับซ้อนออกมาพลางกล่าว: “น้องชาย อย่าคาดเดามั่วซั่วอีกเลย ทำหน้าที่หมอของแกไปน่ะดีแล้ว ถึงจะมีอนาคต”
สีหน้าของชายหนุ่มหม่นหมองเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมา