ขณะกำลังมุ่งหน้าเดินเข้าป่า หลี่ฝางก็หันไปพูดกับส้าวส้วย “หึๆ ไม่คิดเลยว่าต้องให้นายออกโรงถึงจะไหว”
ตาแก่เมื่อกี้ เขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีอะไรผิดปกติ อย่าว่าแต่หลี่ฝางที่เป็นแค่ศิษย์ฝึกหัด ขนาดหวางเห้าที่ผ่านมาหลายสนามรบก็เกือบเชื่อตาแก่นั่นไปแล้วไม่ใช่หรือไง?
ถ้าไม่ใช่เพราะส้าวส้วยเดินเข้ามา แล้วสังเกตเห็นทัน เกรงว่าหลี่ฝางได้เป็นผีไปแล้ว
จากความคิดของหลี่ฝาง เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ส้าวส้วยเป็นคนออกโรง
เพราะถ้าหลี่ฝางอยากจะเติบโตขึ้นกว่านี้ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยให้ส้าวส้วยเป็นคนเก็บกวาดหมด หลี่ฝางก็ไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ที่เติบโตอยู่ในเรือนกระจก
ส้าวส้วยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาตอบรับง่ายๆ “ชายแก่คนนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าจะมีอำนาจบางอย่างแทรกซึมเข้ามา”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ส้าวส้วยพูดถึงสถานะของชายแก่
พอมาคิดๆดู คนที่อายุมากขนาดนั้นแก่กลับมีวิทยายุทธ์แกร่งเหนือหวางเห้า ไม่อยากคิดเลยว่าตอนหนุ่มจะขนาดไหน?
“ส้าวส้วย นายมองออกได้ยังไง?” หวางเห้าถามส้าวส้วยด้วยความแปลกใจ
“อย่างแรก เขามีแรงมากพอจะตะโกนร้องขอชีวิต แต่ทำไมถึงไม่ทำ? สอง คนที่อายุเยอะขนาดนั้นถ้าไม่ได้มีเส้นสายก็ไม่น่าจะมาเป็นรปภ.ได้ สาม…”
ส้าวส้วยหัวเราะหึ “ตาแก่นี่บาดเจ็บที่แขนไม่ใช่ขา ถ้าโดนยิงเมื่อสิบนาทีก่อนจริง ทำไมเอาแต่นอนอยู่บนพื้นเฉยๆ?”
“ฮู่ว ฉันนี่มันโง่ของแท้!”
หวางเห้าทุบหัวตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แม้แต่เรื่องพวกนี้ฉันก็ไม่ได้สังเกต”
พอฟังที่ส้าวส้วยพูด หลี่ฝางเองก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ไม่แพ้กัน
จริงสิ ตรรกะง่ายๆแค่นี้ ทำไมเขากับหวางเห้าถึงยังโดนหลอกได้?
จากนั้นส้าวส้วยก็พูดต่อว่า เป็นเพราะเมื่อคนเราเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สมองก็จะหยุดทำงานไปชั่วขณะ พออยู่ในสถานการณ์แบบนั้น คนเราก็จะสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ไป แต่จะอาศัยสัญชาติญาณในการตัดสินใจ
การที่ส้าวส้วยสามารถใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ เป็นเพราะเขาได้ผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน เพราะงั้น ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน สมองของส้าวส้วยก็จะคิดวิเคราะห์ได้อย่างชำนาญ
ทั้งสามคนเดินมาถึงด้านหน้าของป่า โดยการนำทางของส้าวส้วย
ขนาดของโรงเรียนมัธยมโบตั๋นไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ แต่ถ้าไม่มีคนคอยนำทาง เดินเป็นชั่วโมงก็อาจจะหาป่าไม่เจอ
“ทำไมนายถึงได้ชำนาญทางดีจัง?”หลี่ฝางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ผมโตที่เมืองเอกครับ” ส้าวส้วยตอบ “ที่สำคัญบ้านผมก็อยู่แถวๆนี้”
ที่ด้านของของป่า มีคนกลุ่มหนึ่งยืนเรียงกันอยู่ หลี่ฝางทอดสายตามองออกไป ก็เห็นเฉินเจียโล่
หัวล้านๆที่เมื่ออยู่ใต้แสงไฟก็ส่องประกายวิบวับเหมือนไฟฉาย หลี่ฝางรีบวิ่งเข้าไป เมื่อเจอกับหวางเสี่ยวหยวนก็เอ่ยขึ้นทันที “พวกนายมาถึงกันแล้ว”
หวางเสี่ยวหยวนเห็นหลี่ฝางก็นิ่งไปเล็กน้อย “เจ้านายก็มาด้วยหรอครับ”
หลี่ฝางพยักหน้า แล้วถามขึ้น “ด้านในเป็นไงบ้าง?”
หวางเสี่ยวหยวนขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “จัดการไม่ง่ายเลยครับ เสียงปืนจากข้างในสงบลง ก็แสดงว่าการปะทะได้สิ้นสุดลงแล้วครับ”
“แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนชนะ”
หวางเสี่ยวหยวนถอนหายใจ “เห็นทีเรื่องที่เกิดในวันนี้คงจะจบไม่สวย”
“นั่นน่ะสิ”
หลี่ฝางถอนหายใจตาม ที่นี่เป็นถึงโรงเรียนมัธยม มาเกิดเหตุการณ์สนั่นยิงในที่แบบนี้ จินตนาการไม่ได้เลยว่าผลที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน
ยังดีที่ป่าผืนนี้ไม่ได้อยู่ในเขตโรงเรียน
เมื่อเดินออกจากป่านี้ก็จะเป็นเขตนอกโรงเรียนแล้ว
ซึ่งนักเรียนหลายคนมักจะโดดเรียนโดยใช้เส้นทางนี้ หลี่ฝางขมวดคิ้ว “แต่เราจะรอเฉยๆอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ สู้ส่งคนเข้าไปดูสถานการณ์ดีกว่า”
หวางเสี่ยวหยวนพยักหน้า “ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่ไม่รู้จะให้ใครเข้าไป ด้านในต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ว่ากันตามหลัก ในเมื่อสงครามจบลงแล้วก็น่าจะต้องมีคนออกมาถึงจะถูก”
“แต่ทั้งๆที่เสียงปืนเงียบลง ข้างในกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย?”
หวางเสี่ยวหยวนพูดต่อ “คนของเราล้อมป่าแห่งนี้ไว้หมดแล้ว ยังไงพวกนั้นก็หนีไม่รอดนอกจากจะบิน”
“ตอนนี้มีแค่สองทางเลือก คือรอเวลาต่อไป รอจนกว่าพวกมันจะออกมา หรือไม่ก็ส่งคนเข้าไปดูสถานการณ์ข้างใน”
หวางเสี่ยวหยวนพูดอีก “แต่ทางเลือกที่สองมีความเสี่ยงมาก”
“เพราะพวกมันมีปืน”
หวางเสี่ยวหยวนพูดจบได้ไม่เท่าไหร่ เฉินเจียโล่ก็เดินเข้ามา ที่เอวใหญ่ผูกล้อมไปด้วยเส้นชนวนระเบิด
“พี่ใหญ่ คุณชายหลี่ ไม่อย่างนั้นก็ส่งผมเข้าไปเถอะ ถ้าพวกมันกล้าเล่นตุกติกล่ะก็ ผมก็พร้อมจะส่งพวกมันไปตายพร้อมผม” เฉินเจียโล่พูดด้วยใบหน้าเย็นชา
หลี่ฝางเห็นสภาพของเฉินเจียโล่ยังอดตกใจไม่ได้
ไอ้เจ้านี่มันจะบ้าระห่ำเกินไปหน่อยไหม?
ความจริงหลี่ฝางตั้งใจจะให้ส้าวส้วยออกโรงถึงยังไงถ้าเป็นระดับส้าวส้วยแล้วต่อให้อีกฝ่ายจะมีปืน หลี่ฝางก็ไม่คิดกังวลใจแต่อย่างใด
แต่ในเมื่อเฉินเจียโล่ออกตัวเป็นฮีโร่อาสาจะเข้าไป หลี่ฝางก็ไม่ได้ห้าม
ไม่ใช่ว่าหลี่ฝางไม่ไยดีชีวิตของเฉินเจียโล่ แต่เขาเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในสนามรบ สุดท้ายก็ทำเพื่อเงินกันทั้งนั้น ไม่ใช่ความเคียดแค้นอีกฝ่ายหรือความจงรักภักดีอะไรทั้งนั้น
เพราะงั้น เฉินเจียโล่เข้าไปแบบนี้ อีกฝ่ายจะต้องตื่นตระหนกแน่นอน
“รีบไสหัวไปไกลๆฉันเลย เป็นบ้าไปแล้วหรือไง? เรามาที่นี่เพื่อช่วยคนไม่ใช่ให้นายไปฆ่า ไปๆๆ ชิ่ว” แต่หวางเสี่ยวหยวนทำใจเสียพี่น้องแสนซื่อบื้อคนนี้ของตัวเองไม่ได้
“นั่นสิ คนของเราอยู่ข้างใน ขืนนายเล่นบ้าๆแบบนี้ ดีไม่ดีทุกคนได้ตายกันหมด” หลี่ฝางเหลือบตามองหวางเสี่ยวหยวนแวบนึง แล้วตามน้ำไป
ในเมื่อพี่ชายแท้ๆอย่างหวางเสี่ยวหยวนไม่ยินยอม งั้นหลี่ฝางเองก็ไม่อาจจะให้เฉินเจียโล่เข้าไปได้
ไม่งั้น จะเป็นการทำร้ายจิตใจหวางเสี่ยวหยวนไปซะเปล่าๆ
“หรือไม่เราก็รอกันต่ออีกหน่อย รออีกสักสิบนาที ถ้าพวกมันยังไม่เคลื่อนไหว ฉันจะหาคนเข้าไปดู” หลี่ฝางพูด
แล้วเดินเข้าไปหาส้าวส้วย “ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนของเราแพ้”
“?”
สีหน้าของส้าวส้วย หวางเสี่ยวหยวนและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณแน่ใจได้ยังไงครับ?” เฉินเจียโล่ถามตรงไปตรงมา
“เดิมทีก็เป็นคนของเราที่ขอกำลังเสริมไม่ใช่หรือไง ก็หมายความว่าฝั่งเราปะทะกับพวกของมู่เสี่ยวไป๋ แต่ฝั่งเราโดนรุม จนสู้ไม่ไหว”
“แถมเวลาผ่านมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว แต่พวกนายยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวคนของมู่เสี่ยวไป๋ ก็หมายความว่าพวกมันไม่ได้เรียกกำลังเสริม”
“คนของเราน่าจะถูกคนของมู่เสี่ยวไป๋คุมตัวไว้อยู่”
“ดังนั้น การที่พวกมันหลบอยู่ข้างใน ไม่ยอมโผล่หัวออกมา ก็แปลว่ามันรู้ว่าพวกเราล้อมไว้ด้านนอก ในเวลาแบบนี้พวกมันมีทางเลือกเดียว คือโทรเรียกมู่เสี่ยวไป๋ให้ช่วยพาพวกมันออกไป”
“ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป เราก็จะยิ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
“ไม่มีใครรู้ว่ามู่เสี่ยวไป๋จะส่งคนมามากเท่าไหร่ เจ้านาย ถ้าไม่อยากทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมเข้าไปดูให้ได้ครับ” ส้าวส้วยเสียสละตัว
หลี่ฝางหัวเราะ “ถ้านายเข้าไป กลัวว่าพวกมันจะถูกฆ่าตายเรียบซะมากกว่าน่ะสิ”
หลี่ฝางหัวเราะเป็นเชิงล้อเลียน คำพูดนั้นทั้งหวางเสี่ยวหยวนและเฉินเจียโล่ได้ยินเต็มสองหู สีหน้าของพวกเขาฉายแววตกใจ
ส้าวส้วยหรี่ตายิ้ม “เจ้านาย จะบอกว่า…”
“คนของฉันอยู่ตรงนี้ตั้งเยอะแยะ ฉันอยากหาทางออกด้วยตัวเอง ตอนนี้ฝั่งของเราได้เปรียบอยู่ ถึงจูเปิ่นกับเฉิงหยุนจะถูกพวกมันจับตัวไว้ แต่พวกมันก็โดนเราล้อมไว้หมดแล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนไอ้มู่เสี่ยวไป๋จะส่งคนมามากแค่ไหน อย่าเพิ่งไปสนใจ แต่เวลานี้ฉันยังไม่อยากให้นายออกโรง”
หลี่ฝางเหลือบไปมองกวางเสี่ยวหยวน “ลูกน้องของนายมีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย?”
“เหอะๆ เจ้านาย ใครบ้างจะไม่กลัวตาย? ขึ้นชื่อว่าเป็นคนก็ต้องกลัวตายกันทั้งนั้น ผมรู้ว่าคุณต้องการจะสื่ออะไร ถ้าคุณอยากส่งใครสักคนเข้าไป งั้นให้ผมเป็นคนไปเองเถอะ”
หวางเสี่ยวหยวนหัวเราะ “พวกเขาตามผมมา ก็ทำงานหาเงินกันทั้งนั้น”
“แล้วถ้าฉันให้สิบล้านล่ะ?”
หลี่ฝางพูดเสียงเรียบ “นายถามคนของนายสิ มีใครกล้าเข้าไปสืบดูเหตุการณ์ข้างในไหม ถ้ามี ฉันให้เลยสิบล้าน”
“ฉันจะโอนให้ตอนนี้เลย เงินมาแล้วงานถึงจะเดินนี่นะ” หลี่ฝางมองหวางเสี่ยวหยวน