ฉินวี่เฟยเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
เธอสวมชุดทำงานสีดำทั้งตัว ทำให้รูปร่างสูงโปร่งของเธอดูโดดเด่นอย่างสุดขีด เธอนั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินจื่อยี่ มือข้างหนึ่งถือมีด อีกข้างหนึ่งถือลูกแอปเปิล
ฉินวี่เฟยกำลังปอกแอปเปิลให้กับพี่ชายของตัวเองอยู่
ฉินจื่อยี่ได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าที่บริเวณหัวยังคงมีผ้าพันแผลพันอยู่
ได้ยินเสี่ยงฝีเท้าเดินเข้ามา ฉินวี่เฟยก็รีบหันไปดู สีหน้าท่าทางลนลานเล็กน้อย
“หลี่ฝาง?”
หลังจากที่มองเห็นหลี่ฝาง ท่าทางลนลานบนใบหน้าของฉินวี่เฟยถึงได้อันตรธานหายไป สิ่งที่มาแทน คือความคาดหวังและความตื่นเต้น
หลายวันมานี้ ฉินวี่เฟยเหนื่อยแบบสุด ๆ นายท่านฉินได้ตายไป ธุรกิจของตระกูลฉินก็ได้เกิดปัญหาตามมามากมาย ในแต่ละวันฉินวี่เฟยจะต้องยุ่งวุ่นวายจนดึกดื่นถึงจะเข้านอนได้
ตระกูลฉินในวันนี้ สามารถพูดได้ว่าต้องรับมือกับทั้งศึกภายในและภายนอก
มีอยู่หลายครั้ง ที่ฉินวี่เฟยแทบจะทนรับต่อไปไม่ไหว อยากจะวางมือ แต่พอนึกถึงตำแหน่งในวันนี้ เป็นหลี่ฝางที่ยกให้เธอ เธอก็ใจเต้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เธอไม่อยากทำให้ความทุ่มเทของหลี่ฝางต้องเสียเปล่า และยิ่งไม่อยากทำให้หลี่ฝางผิดหวัง
หรืออาจพูดได้ว่า ฉินวี่เฟยต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพียงแค่แจกันดอกไม่ที่ไร้ประโยชน์ แต่เป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง
เธอยื่นแอปเปิลในมือให้กับฉินจื่อยี่พี่ชายของตัวเอง ฉินวี่เฟยลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ แล้วยินต้อนรับหลี่ฝางที่อยู่ทางประตู: “หลี่ฝาง มาแล้วเหรอ?”
หลี่ฝางรู้สึกยินดี ที่ฉินวี่เฟยเรียกชื่อของตัวเอง แต่ไม่ใช่ ‘คุณชายหลี่’ อะไรนั่น
หลี่ฝางพยักหน้า แล้วเดินเข้าไป
“กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว” หลี่ฝางจ้องมองฉินวี่เฟย แล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบอกชอบใจ แล้วมองไปที่ฉินจื่อยี่
แค่ในตอนที่หลี่ฝางมองฉินจื่อยี่ ภายในใจก็เป็นกังวลเล็กน้อย
ถึงยังไงก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุรถชน ฉินจื่อยี่นั้นได้เกลียดตัวเอง เขานำการตายของนายท่านฉิน กล่าวโทษกับตระกูลหลี่
แต่คิดไม่ถึง ฉินจื่อยี่กลับมองหลี่ฝางด้วยรอยยิ้ม และกล่าวตำหนิ: “นี่คุณชายหลี่ นายนี่มันจะแล้งน้ำใจจังเกินไปไหม? ฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมานานขนาดไหนแล้ว นายไม่เป็นบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันเลย”
“ทำไมเหรอ ไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนแล้วหรือไง?” ถึงแม้ที่ปากของฉินจื่อยี่จะกล่าวตำหนิ แต่ก็ไม่ได้มีแววความรู้สึกเกลียดชังใด ๆ เลย
หลังจากนั้นฉินจื่อยี่ก็มองไปที่หลิงหลงที่อยู่หน้าประตู แล้วกล่าว: “ยังพาผู้หญิงมาด้วย? แฟนคนใหม่เหรอ?”
“ไม่ใช่”
หลี่ฝางส่ายหัว หลังจากนั้นก็มองฉินจื่อยี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วเอ่ยปากถาม: “นายไม่รู้จักเธอ?”
ที่ฉินจื่อยี่ประสบอุบัติเหตุรถชน ล้วนเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจที่หลิงหลงนำมาให้
อีกทั้ง หลิงหลงก็เป็นคนที่เขารักมากที่สุดภายในใจของเขา
แต่ในเวลานี้ เป็นไปได้ยังไงที่ฉินจื่อที่จะไม่รู้จักหลิงหลงแล้ว?
หลี่ฝางขมวดคิ้ว ภายในใจคิด: ฉินจื่อกำลังเสแสร้งแกล้งทำหรือว่ายังไงกันแน่?
ถ้านี่คือการเสแสร้งแกล้งทำ มันซักจะเหมือนมากเกินไปแล้ว
ในเวลานี้ฉินวี่เฟยก็ขยิบตาให้กับหลี่ฝาง แล้วหันกลับไปพูดกับพี่ชายของตัวเอง: “พี่คะ พี่ทานแอปเปิลไปก่อน ฉันมีเรื่องส่วนตัวถามหลี่ฝางหน่อย อีกเดี๋ยวกลับมานะคะ”
“สมควรที่จะไต่สวนเขาจริง ๆ แหละ เจ้าคนนี้หลายใจมากเกินไปแล้ว รออาการฉันดีขึ้น จะต้องช่วยเธอต่อยเขาสักตั้งแน่” ฉินจื่อยี่อืมตอบรับ แล้วกล่าว
ฉินวี่เฟยดึงแขนของหลี่ฝาง มายังหน้าประตูห้องคนไข้
หลี่ฝางมองออกถึงความไม่ปกติ เขาก็เลยถามขึ้นมาเองทันที: “พี่ชายของเธอเป็นอะไร ทำไมแม้แต่หลิงหลงเขาก็ไม่รู้จัก?”
“พี่ชายฉันความจำเสื่อมน่ะ”
ฉินวี่เฟยกัดริมฝีปากเบา ๆ แล้วก็: “สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป”
“อุบัติเหตุรถชนในครั้งนี้ สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือน ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา แม้แต่การตายของคุณปู่ยังไม่รู้เลย หมอบอกว่าเป็นภาวะสูญเสียความทรงจำบางส่วน เขาลืมทุกเรื่อง ที่เป็นความทรงจำที่น่าเศร้าไปหมด”
หลังจากที่ฉินวี่เฟยพูดจบ หลี่ฝางก็ตะลึงงันไปหนึ่งรอบ
คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแค่ในละครน้ำเน่า จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง
หลี่ฝางพยักหน้า กล่าว: “สำหรับเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องดี”
ฉินวี่เฟยก็คิดแบบนี้เหมือนกัน หล่อนหันไปมองหลิงหลง ลังเลไปชั่วขณะแล้วกล่าว: “หมอบอกว่า พี่ชายของฉันจะต้องพักฟื้นสักระยะ สมองของเขายังไม่คงที่ จะให้มีความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากไม่ได้ ดังนั้น พวกเราจึงปิดบังเรื่องการตายของคุณปู่เอาไว้…..”
ไม่รอจนฉินวี่เฟยพูดจบ หลิงหลงก็เข้าใจความหมายของฉินวี่เฟยแล้ว เธอยิ้มกล่าว: “ความหมายของเธอคือ ให้ฉันจากไป ใช่ไหม?”
“ไม่เพียงเท่านี้ ทั้งยังหวังว่าเธอจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าพี่ชายของฉันอีก ไม่ต้องมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่า ภาวะสูญเสียความทรงจำบางส่วนชนิดนี้ เป็นเพียงแค่ชั่วคราว เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมบางอย่างหรืออยู่ต่อหน้าคนบางคนที่เฉพาะเจาะจง จะทำให้กลับเป็นปกติได้ง่าย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง การมาของเธอมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้พี่ชายของฉันจำเรื่องทุกอย่างขึ้นมาได้ พอถึงตอนนั้น ฉันกลัวว่าพี่ชายของฉันจะทนรับไม่ได้ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่” ฉินวี่เฟยกล่าว
หลิงหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ: “ฉันแค่อยากจะมาดูว่าเขาดีขึ้นหรือยัง ในเมื่อเขาไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นฉันก็ควรที่จะไป สบายใจได้ ฉันจะไม่มาอีกแล้ว”
บนใบหน้าของหลิงหลง มีรอยยิ้มอยู่
ฉินจื่อยี่ความจำเสื่อม ได้ลืมเธอไป แบบนี้สำหรับหลิงหลงแล้ว ราวกับยกภูเขาออกจากอก
“นายน้อย ฉันขอตัวก่อนนะ”
หลิงหลงกล่าว แล้วก็ลุกเดินจากไป และหลี่ฝางก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร
หลี่ฝางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ฉินวี่เฟยมองหลิงหลงที่เดินจากไป แล้วกล่าว: “พี่ชายของฉันไม่อาจคบกับหล่อนได้”
หลี่ฝางพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายของฉินวี่เฟย
ถึงแม้นายท่านฉินจะฆ่าตัวตายเอง แต่การตายของเขา มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิงหลงอยู่ไม่น้อย
บาดแผลร้ายแรงที่ฆ่าชีวิต เป็นหลิงหลงที่เป็นคนนำมา
ถึงแม่ว่าฉินวี่เฟยได้ยกโทษให้หลิงหลงแล้ว แต่ว่า นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมรับหลิงหลงเป็นพี่สะใภ้
หลี่ฝางมองฉินวี่เฟย แล้วเอ่ยถาม: “ระยะนี้เป็นยังไงบ้าง? ดูเธอสิ ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ทำไมถึงดูเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ล่ะ ขอบตาดำหมดแล้ว”
หลี่ฝางกล่าว เขาลูบหัวฉินวี่เฟยเบา ๆ
หลี่ฝางรู้สึกสงสารฉินวี่เฟยเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว ในเวลานี้หลี่ฝางกำลังครุ่นคิด ว่าตัวเองได้ทำผิดไปหรือเปล่า ไม่ควรมอบตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ให้กับฉินวี่เฟย
บางที่ให้พี่ของฉินวี่เฟยไปรับตำแหน่งนั้น อาจจะดีกว่าก็ได้
อย่างน้อยแบบนี้ ฉินวี่เฟยก็ไม่ต้องเหนื่อยมาขนาดนั้น
บนตัวของฉินวี่เฟยในตอนนี้ ไม่เหลือความเป็นวัยรุ่นและความสดใสอยู่อีกแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือ ความเป็นผู้ใหญ่และสุขุม
แน่นอน ว่าทุกคนจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของฉินวี่เฟยนั้นมันรวดเร็วเกินไป หลี่ฝางเกรงว่าเธอจะปรับตัวไม่ทัน
ฉินวี่เฟยยิ้มน้อย ๆ กล่าว: “ก็ใช่น่ะสิ เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง มีอีกหลายอย่างที่ยังต้องเรียนรู้ และสร้างความเคยชิน ต้องคบค้าสมาคมกับจิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนั้น ฉันไม่กล้าชะล่าใจหรอก”
หลี่ฝางรีบถามทันที: “พวกเขารังแกเธอเหรอ?”
“ไม่หรอก ถึงยังไงฉันก็ถึงเป็นประธานคณะผู้บริหารนะ หุ้นส่วนส่วนใหญ่ของบริษัทฉินซื่อ กรุ๊ปล้วนอยู่ในกำมือของฉัน ต่อให้ในใจของพวกเขาไม่พอใจ ก็ไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับฉันหรอก”
“นอกเสียจากว่า พวกเขาไม่อยากอยู่ที่บริษัทฉินซื่อ กรุ๊ปอีกต่อไป” ฉินวี่เฟยยิ้มกล่าว
หลี่ฝางพยักหน้า เขาปลื้มอกปลื้มใจไม่น้อย จากนั้นก็ได้ถามขึ้นมาอีก: “แล้วฉินเสี่ยวหู่ล่ะ มันยังมาหาเรื่องเธออีกอยู่หรือเปล่า?”
ฉินวี่เฟยลังเลไปชั่วขณะ แล้วถึงส่ายหัว
หลี่ฝางรู้ทันทีว่าฉินวี่เฟยกำลังโกหกตัวเองอยู่ แล้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง: “มันมาหาเรื่องเธออีกแล้วใช่ไหม? เธอพูดความจริงกับฉันมา ถ้าเธอโกหก ฉันก็จะไปสืบเอง”
“อีกอย่างความสัมพันธ์ของพวกเรา เธอก็ไม่จะเป็นที่จะต้องโกหกฉัน” หลี่ฝางกล่าว
วินาทีนี้ฉินวี่เฟยก็เงยหน้าขึ้นมา จ้องมองหลี่ฝาง และเอ่ยถามด้วยแววตาที่สลับซับซ้อน: “หลี่ฝาง เราสองคนมีความสัมพันธ์แบบไหนกันเหรอ?”
“เพื่อนเหรอ?” ลมหายใจของฉินวี่เฟย จู่ ๆ ก็กระชั้นถี่ขึ้น
เพื่อน?
หลี่ฝางชะงักไปเล็กน้อย ตัวเองและฉินวี่เฟย เป็นเพียงแค่เพื่อนเหรอ?
เหอะ ๆ ความเป็นห่วงและดูแลเอาใจใส่ที่ตัวเองมีต่อฉินวี่เฟยนัน มันมากว่าคำว่าเพื่อนไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
แต่ว่า นอกจากเพื่อนแล้ว ยังเป็นอะไรได้อีกล่ะ?
ณ เวลานี้หลี่ฝางพลันไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี เพื่อไม่ให้ฉินวี่เฟยต้องเสียใจ หลี่ฝางก็ยิ้มถามขึ้นมา: “เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่หลี่ฝางพูด ยังใช้นิ้วมือ ปัดไปที่ดั้งจมูกของฉินวี่เฟย
ใบหน้าของฉินวี่เฟยแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เธอก้มหน้ากล่าว: “ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกว่า……”
พูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียว จู่ ๆ ฉินวี่เฟยก็หยุดพูด หลี่ฝางติดตามถามต่อ: “รู้สึกอะไร?”
“รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม้น่าจะเป็นเพียงแต่เพื่อนเท่านั้น”
ฉินวี่เฟยพูดจบ เธอก็โอบกอดหลี่ฝางทันที และกล่าว: “หลี่ฝาง หลายวันมานี้ฉันเหนื่อยจังเลย อยากจะหาไหล่ซบสักหน่อย”
“ไหล่ของฉันให้เธอยืม ซบได้ตามสบาย” หลี่ฝางกล่าวอย่างใจกว้าง