NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่645 ผู้ชายห้ามเข้า

บทที่645 ผู้ชายห้ามเข้า

“เชี่ย!”

โหจื่อเห็นฝูงชายฉกรรจ์ก็รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ

“ชาติหน้าภาวนาไม่ขอเกิดเป็นผู้ชายแล้ว”

แค่คิดภาพที่แม่มดกำลังไปถ่ายเอาหลักฐาน ในขณะที่ตัวเองต้องมารบราฆ่าฟันเพื่อเป็นการ์ดคุ้มกันให้ ในใจของโหจื่อก็ร้อนระอุ

หน้าที่ของแม่มด ทำให้เขาอิจฉาตาร้อน

“เอาเถอะ ถ้าฉันเป็นคนเข้าไปถ่ายเอง มีหวังได้ฆ่าแหลกแน่?”

โหจื่อพูดเองเออเองแล้วหัวเราะ

“ลูกพี่ถูกฆ่า!”

พวกชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาดูร่างชายผมยาวที่นอนระนาบอยู่บนพื้น แววตาก็ราวกับมีลูกไฟรุกโชย

คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเป็นนักสู้จากต่างชาติ

สายตาเย็นยะเยียบของพวกเขามองมายังโหจื่อ

“นายยิงลูกพี่ของพวกเราตาย” หนึ่งในนั้นเอ่ยปากพูดกับโหจื่อ

“ใช่ แล้วไง?” โหจื่อยักไหล่ตอบ “ก็ช่วยไม่ได้? ฉันสู้แรงเขาไม่ไหว ก็ต้องใช้ปืนสิ”

“ถ้าจะโทษ พวกเอ็งก็โทษที่ลูกพี่เก่งเกินไปสิ ถ้าเขาไม่ได้เก่งมากขนาดนั้น ฉันจะสู้ด้วยวิธียุติธรรมอยู่แล้ว เสียดายที่เก่งไปหน่อย เฮ้อ ถ้าไม่ใช้ปืน ฉันก็เอาชนะไม่ได้น่ะสิ” โหจื่อพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาไม่มีทางเลือก

“แก…แกมันหน้าไม่อาย!” หลายคนตะโกนด่าโหจื่อ

ไอ้โหจื่อนี่มันไม่อายฟ้าอายดิน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนใช้วิธีสกปรกฆ่าอีกฝ่าย แต่ยังมีหน้ามีโทษว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเก่งเกินไป?

“ฉันหน้าไม่อายตรงไหน? หรือที่ฉันพูดมันไม่จริง? ถ้าเขาไม่เก่งมากไป ฉันจะต้องใช้ปืนหรอ?” โหจื่อกลอกตา “แต่ไอ้กระจอกแบบพวกนายเนี่ย ฉันรับประกันว่าไม่ต้องใช้ปืน”

โหจื่อพูดจบ หนึ่งในนั้นก็ลั่นไกใส่ทันที

แต่วินาทีนั้น โหจื่อก็รีบยิงสวยออกไปยิงทับลูกกระสุนของอีกฝ่าย จนร่วงลงกับพื้น

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ ต่างก็ยืนอึ้ง

“บังเอิญหรือเปล่า?”

“เมื่อกี๊เขาใช้ลูกกระสุนหยุดลูกกระสุนงั้นหรอ?”

คนที่ยิงเมื่อกี๊สูดหายใจเข้าลึก

เขาลั่นไกเร็วขนาดนั้น คนทั่วไปแค่รู้ตัวทันก็นับว่าไม่เลวแล้วแท้ๆ แต่โหจื่อถึงขั้นยิงสวนกลับมาในเสี้ยววินาทีนั้น ใช้กระสุนของตัวเองหยุดยั้งกระสุนที่เขายิงได้กลางอากาศ

นี่มันต้องใช้ความเร็วกับความแม่นยำมากขนาดไหน?

“แมวตาบอดเจอกับซากหนูตาย ย่อมเป็นเรื่องบังเอิญอยู่แล้ว”

จากนั้น มือปืนในนั้นก็ยิงขึ้นอีก คราวนี้เป็นมือปืนสองคนลั่นไกออกมาพร้อมกัน โหจื่อยิ้มบางๆ ก่อนจะยกปืนในมือขึ้น แล้วยิงออกไปสองนัด

“อะไรกัน?”

กระสุนทั้งสองนัดของโหจื่อพุ่งชนเข้ากับกระสุนที่ยิงมาสองนัดอีกครั้ง

ทุกคนต่างพากันตกใจเสียวสันหลังเมื่อเห็นสิ่งที่โหจื่อทำ

ในครั้งแรก ยังพอจะคิดว่าเป็นความบังเอิญได้ แต่ครั้งที่สองที่สามนี่สิ? จะบอกว่าก็บังเอิญเหมือนกันหรือไง?

ยิ่งไปกว่านั้นนัดที่สองกับสาม ถูกยิงออกไปพร้อมๆกันอีก

โหจื่อฉีกยิ้ม “เป็นไง โชว์ของฉันน่าตื่นตาตื่นใจไหม? ถ้าชอบ พวกนายควรจะปรบมือไม่ก็โยนเงินเป็นของรางวัลให้ฉันหน่อยไม่ใช่หรือไง?”

“เร็วเข้า นี่คิวอาร์โค้ดพร้อมเพย์ฉัน แต่จะโอนผ่านแอพก็ได้” โหจื่อล้วงหยิบรูปคิวอาร์โค้ดในกระเป๋าออกมาแล้วเดินเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์

แต่พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใด

หลังจากที่ได้เห็นความน่ากลัวของโหจื่อกับตาตัวเองแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ขยับฝีเท้ากรูกันเข้ามา ในขณะที่โหจื่อโยนคิวอาร์โค้ดขึ้นบนอากาศ แล้วลั่นไกออกไปหลายนัด

โหจื่อยิงกระสุนออกไปนัดแล้วนัดเล่า

เหล่าชายฉกรรจ์ค่อยๆล้มลงทีละคนสองคน

ในขณะที่บางคนคิดจะวิ่งหนีด้วยความตกใจ แต่ก็ยังเร็วไม่เท่าความเร็วของกระสุน

ไม่ถึงหนึ่งนาที โหจื่อก็จัดการกับคนพวกนั้นจนเกือบหมด เหลือไว้เพียงสองคนที่ยังรอด

“น้องชาย ฉันถามหน่อย นายมาจากไหนล่ะ?”

“ข้างใต้นี่มีทั้งกี่ชั้น แต่ละชั้นมีคนอยู่เท่าไหร่?”

โหจื่อเดินไปยังเบื้องหน้าของหนึ่งในนั้น แล้วเอ่ยถามเสียงเย็น

ชายคนนั้นลังเล ไม่ยอมตอบ โหจื่อเงียบแล้วหัวเราะหึ “ดี ใจกล้าดีมาก ฉันชื่นชมคนกล้าหาญ แต่นายจะต้องจ่ายที่ไม่ยอมตอบคำถามของฉัน”

“มอบกระสุนสีทองให้แล้วกัน” โหจื่อล้วงหยิบปืนสั้นสีทองออกมา แล้วหันปากกระบอกปืนไปที่กะโหลกของชายคนนั้นก่อนจะลั่นไก

จากนั้น เขาก็เดินไปหยุดตรงหน้าชายคนสุดท้าย

“ถึงตานายแล้ว คงเห็นแล้วนะว่าฉันไม่ชอบพูดเยอะ เลือกมาว่าจะให้ฉันฝังกระสุนเข้าไปในกะโหลก หรือจะตอบคำถาม” ใบหน้าของโหจื่อเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต

เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาเป็นพรวน “ใต้นี้มีทั้งหมดสี่ชั้น แต่ผมไม่เคยลงไปชั้นสามกับชั้นสี่ ไม่รู้หรอกว่าข้างในนั้นเป็นยังไง คนทั้งหมดล้วนเป็นนักฆ่ารับจ้าง มาจากรัฐจากตอนเหนือ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยมีเรื่องกับคนอีกกลุ่มนึง ทำให้ต้องหนีมาที่นี่ครับ”

“พวกเขาฝีมือดีมาก ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง พวกเราเป็นคนคุม แต่พวกคนที่ฝีมือเทพจริงๆจะอยู่กันที่ชั้นสามชั้นสี่ แล้วแขกที่อยู่ชั้นสามกับชั้นสี่ก็เป็นคนที่มียศมีสถานะไม่ธรรมดา แม้แต่พวกเราก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้โผล่หน้าเข้าไป”

“ขอร้องล่ะ อย่าฆ่าผมเลยนะครับ”

เมื่อเขาพูดจบ ก็ขอร้องอ้อมวอนโหจื่อ

โหจื่อพยักหน้าพึงพอใจ “แล้วหัวหน้าของพวกเอ็ง ฉันไม่ได้หมายถึงชายผมยาวที่ตายไปแล้ว แต่หมายถึงหัวหน้าแก๊งของพวกแกชื่ออะไร?”

“นัยล่อครับ”

พูดจบ เขาก็เสริมอีกคำนึง “แต่ผมไม่เคยเจอเขามาก่อน”

“อืม”

โหจื่อพยักหน้า แล้วเปลี่ยนมาถือเป็นปืนสั้นธรรมดา แล้วยิงเข้าที่กลางหน้าผาก

“เฮ้อ ฉันว่าฉันพูดแล้วนะว่าชอบคนกล้าหาญ คนขี้ขลาดอย่างนานไม่เหมาะจะได้รับกระสุนสีทองหรอก” โหจื่อพูดเหยียดหยาม

จากนั้น โหจื่อก็เดินไปยืนพิงอยู่กับประตู รออย่างเงียบๆ

ผ่านไปไม่นาน แม่มดก็เดินออกมาจากในห้อง

“เป็นไง?”

โหจื่อมองหน้าแม่มดแล้วถามขึ้น

แม่มดพยักหน้า “เรียบร้อยหมดแล้ว ข้างในออกตั้งใหญ่ แต่มีคนอยู่แค่สองคน สถานะของสองคนนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด พอๆกับหัวหน้าตระกูลของสี่ตระกูล”

“ดูท่าทางเราจะยังไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ศูนย์รวมพวกลูกค้า ตอนนั้นหลอซ่าเคยบอกไว้ว่ามีจอมอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ตามไล่ล่าวพวกนายตั้งแต่เมืองเอกไปยังเขตชายแดน หรือตามแม้กระทั่งในต่างประเทศ พวกนายยังหนีการไล่ล่าของพวกมันไม่พ้นซะทีเดียว ฉันคิดว่าน่าจะไม่ใช่ฝีมือไอ้สองคนในนั้น พวกมันไม่น่าจะมีความสามารถถึงขนาดนั้น”

แม่มดพูด

โหจื่อพยักหน้า “ที่นี่มีทั้งหมดสี่ชั้น แต่ยิ่งลงไปลึก การคุ้มกันก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ แขกที่อยู่ชั้นหนึ่งไม่ใช่คนสำคัญอะไรเท่าไหร่”

“ดูแล้วคนที่ปะทะกับพวกเราในตอนนั้น อย่างน้อยๆก็น่าจะอยู่ชั้นสาม หรืออาจจะชั้นสี่ จะลงไปขุดต่อไหม?”

โหจื่อมองหน้าแม่มดแล้วถามเสียงเรียบ

แม่มดพยักหน้า “กว่าจะเข้ามาได้ไม่ง่าย ถ้าจะกลับออกไปมือเปล่าพวกเราก็ขายหน้าแย่สิ?”

ทั้งถานเหินทั้งแม่มดต่างก็เป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

“ไม่กลัวตาย?”

โหจื่อหัวเราะหึ “ตอนนั้นลูกพี่บุกเข้ามาทุกซอกทุกมุม ได้รับบาดเจ็บสาหัส”

“งั้นก็บุกเข้าไปเลยแล้วกัน ฉันเองก็อยากรู้นักว่าพวกมันเป็นใคร ถึงขนาดสามารถทำร้ายลูกพี่ได้” แม่มดหัวเราะ แล้วเดินนำไปก่อน

“ลิฟต์อยู่ไหน?” แม่มดถาม

“เดินตรงออกไปห้าเมตร” โหจื่อตอบ

แม่มดและโหจื่อยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ แม่มดหัวเราะ “งานละเอียดเอาเรื่องแฮะ ดูไม่ออกเลยว่ามีร่องรอยความเป็นลิฟต์”

“ใช่น่ะสิ”

เมื่อกดลงไปบนผนัง หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ก็จะปรากฏขึ้น จำเป็นต้องใช้ลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อก

ตอนนี้เอง โหจื่อเดินไปลากศพใดศพหนึ่งในนั้นมา แล้วประทับนิ้วลงบนลิฟต์

“ไม่คิดเลยว่าคนตายก็มีประโยชน์เหมือนกัน” โหจื่อพูดเสียงเรียบ แล้วกดชั้น-3

แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

“ดูแล้วคนพวกนี้จะเข้าไปที่-2ไม่ได้ พวกมันไม่ได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าไปในนั้น” แม่มดพูดเสียงเรียบ

“นอกจากลิฟต์ น่าจะมีทางเข้าออกทางอื่น แต่เราคงหาเจอไม่ได้ง่ายๆ” แม่มดพูด “เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้ด้วยสิ”

“ใช่ ยิ่งเวลาเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เราก็มีแต่จะยิ่งเสียเปรียบ เมื่อกี๊ฉันลองใช้กระสุนทดสอบดูแล้ว ที่นี่มีโครงสร้างที่แข็งแรงมากแล้วก็หนาแน่นมาก ต่อให้เกิดแผ่นดินไหวระดับสิบ ก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไร”

เมื่อกี๊โหจื่อลองยิงใส่กำแพง แต่ลูกกระสุนทะลุผนังชั้นเดียวเท่านั้น

ความทนทานของที่นี่ จนแทบจะต่อต้านวันสิ้นโลกได้

แม่มดส่ายหน้า “คิดไม่ถึงว่าเมืองเล็กๆอย่างเมืองเอก จะมีที่แปลกๆพิสดารแบบนี้อยู่”

“ยิ่งมีสภาพโกโรโกโสไม่น่าชม ก็ยิ่งเหมาะจะเป็นที่ซ่อนของมังกร” โหจื่อพูด

“นายคิดว่าพวกนั้นเป็นมังกรหรือมาเฟียวิปริต ?”

“ก็แค่พวกสัมภเวสีหิวบุญก็เท่านั้นแหละ” โหจื่อพูด ขณะที่ลิฟต์ลงมายังชั้น-2

วินาทีที่ประลิฟต์ค่อยๆเลื่อนเปิดออก โหจื่อลั่นไกออกไปทั้งด้านหน้าและด้านข้างอย่างคนที่เล็งไว้ก่อนแล้ว มือปืนหลายคนยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักปืนออกมา ก็ถูกโหจื่อปลิดชีพก่อน

“สมกับที่เป็นถานเหิน” แม่มดเอ่ยเสียงเรียบ “เดาล่วงหน้าได้ด้วยว่าจะต้องเจอกับอันตราย”

“ฉันไม่เหมือนเธอ ที่จะไม่กลัวตายน่ะ”

“ถ้าพวกมันสามารถฆ่าเธอให้ตายได้ง่ายๆ งั้นป่านนี้เธอคงมายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก จะบอกว่าสำนักหยิ่งซา โหดไม่เท่าลูกหมาพวกนี้?” โหจื่อส่ายหน้า

แม่มดสามารถหลบหนีการไล่ล่าจากพวกสำนักหยิ่งซามาได้ตั้งหลายปี แน่นอนว่าฝีมือก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

นอกจากศิลปะการใช้ปืน ศิลปะการต่อสู้ด้านอื่นๆของโหจื่อล้วนสู้ผู้หญิงตรงหน้าอย่างแม่มดไม่ได้

เพราะงั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแม่มดอยากลงไปที่-3 ให้โหจื่อฉายเดี่ยว เขาไม่มีทางไปแน่นอน

“ดูนายสิ เล่นฆ่าพวกมันตายหมด ไม่เหลือเอาไว้ถามทางเลยสักคน” แม่มดบ่น

“ทำไมจะไม่เหลือให้ถาม -2นี่น่ะ นอกจากบอร์ดี้การ์ดพวกนี้แล้ว จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเลยหรือไง?” โหจื่อพูดเสียงเรียบ

“นายคงไม่ได้คิดจะ…” สีหน้าของแม่มดนิ่งไปนิดหน่อย

“ดูไปก่อนแล้วกัน เพราะนั่นเป็นวิธีที่ต่ำช้าที่สุด” สีหน้าของโหจื่อเคร่งเครียด “หวังว่าลูกค้าชั้น-2 จะไม่ได้เส้นใหญ่อะไรมาก”

ถ้า-2ไม่มีใครแล้วจริงๆ ทางเดียวที่โหจื่อกับแม่มดจะได้เข้าไปที่-3 ก็คงจะมีแต่ต้องให้ลูกค้าของ-2เป็นคนพาเข้าไป แน่นอนว่าลูกค้าชั้น-2จะเป็นผู้มีสิทธิ์รองลงมา

เมื่อเดินขึ้นหน้าไปได้ไม่กี่ก้าว สาวงามสามสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเธอเป็นสาววัยรุ่น แต่ไม่ได้นุ่งน้อยห่มน้อยเท่าไหร่

แต่ใบหน้าของพวกเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ ราวกับคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เชิง

เมื่อเห็นโหจื่อกับแม่มด พวกเธอก็ไม่ได้เกรงกลัว หรือตระหนกตกใจแต่อย่างใด

“ไม่รู้ว่าซือถูเฟยอยู่ตรงไหนแล้ว?” โหจื่อขมวดคิ้ว “หวังว่าเขาจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน”

“ซือถูเฟยนับว่าเป็นทายาทของที่นี่ ก็น่าจะมีสิทธิเข้าไปใน-3” โหจื่อพูด

แม่มดจับตัวหญิงสาวคนนึงมาถาม แต่คำตอบที่ได้ก็มีแต่ทำให้ต้องส่ายหัว

“ไม่มีประโยชน์ ถึงฆ่าผู้หญิงพวกนี้ พวกเธอก็คงไม่กล้าพูดอยู่ดี” โหจื่อเอ่ยเสียงเรียบ “ปล่อยพวกเธอไปเถอะ ชีวิตของพวกเธออาภัพ”

“อัศวินพิทักษ์อยจริงๆเลยนะ” แม่มดปล่อยตัวผู้หญิงพวกนั้น แล้วเดินขึ้นหน้าต่อ

แต่เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็มีประตูทางเข้าขนาดใหญ่ แต่ประตูนั้นถูกล็อกไว้อยู่ โหจื่อกระชากตัวผู้หญิงคนนึงมา แล้วถาม “ฉันไม่อยากทำร้ายพวกเธอหรอกนะ แต่ฉันว่าในเมื่อพวกเธอเป็นคนให้บริการของที่นี่ ก็น่าจะมีวิธีเข้าไปสิ จริงไหม?”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ราวกับเป็นใบ้

ตอนนั้นเอง จู่ๆที่หน้าประตูก็ปรากฏแสงหน้าจอขึ้น ก่อนจะมีเสียงรื่นเริงตามมา

“แขกจะดื่มชา”

หญิงสาวคนนึงเอ่ย “เสี่ยวหลิง รีบไปชงชาให้แขกเร็วเข้า”

หญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวหลิง เป็นผู้เชี่ยวชาญการชงชา เธอรับหน้าที่ในการชงชาให้ลูกค้าที่-2

และเมื่อเสี่ยวหลิงเดินไปตรงหน้าจอ ประตูก็ถูกเปิดออก

“ประตูจะเปิดก็ต่อเมื่อแขกเรียกหาเท่านั้น” หญิงสาวคนนึงเดินเข้ามา เธอมองโหจื่อ แล้วเอ่ยเตือน “แต่ขอเตือนว่านายอย่าเข้าไปจะดีกว่า ลูกค้าที่นี่ไม่เคยให้ผู้ชายเข้าไปข้างใน”

“แต่ผู้หญิงเข้าได้” หญิงคนนั้นเหล่มองแม่มดแล้วพูด

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน