NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 656 ตระกูลสุดท้าย

บทที่ 656 ตระกูลสุดท้าย

“เขาเป็นแค่คนธรรมดา จะทำได้เหรอ?”

ลุงเฉียนหัวเราะ เลียนแบบคำพูดของท่านลู่

“ถ้าเกิดเขาเป็นแค่คนธรรมดา จะสามารถหลบหนีการตามไล่ล่าของสี่ตระกูลใหญ่ได้ไหม? ถ้าเกิดเขาเป็นแค่คนธรรมดา จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่ไหม? ถ้าเกิดเขาเป็นแค่คนธรรมดา แกคิดว่าฉันเฉียนกวงกวง จะติดตามเขามานานหลายปีขนาดนี้ไหม?”

ลุงเฉียนพูดไป พร้อมกับถอดหายใจ “พวกแกอ่า สักวันจะต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา”

“สิ่งที่พวกแกมี เป็นสิ่งที่รุ่นก่อนๆเหลือเอาไว้ ล้วนได้รับมาจากการสืบทอด จากรุ่นสู่รุ่น ส่วนเขา ใช้สองมือของตัวเองไต่เต้าขึ้นมา สิงโตที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี จะไปเทียบกับสิงโตที่โตในป่าได้ยังไงกัน?”

ลุงเฉียนพูด พร้อมมองท่านลู่ด้วยสายตาที่เหยียดหยาม

ท่านลู่มองหน้าลุงเฉียน แล้วอึ้งไปสักพัก

จากนั้น ท่านลู่ก็ถอดหายใจยาว “โบราณว่าไว้ พวกที่เรียกเจ้าชายตั้งแต่เกิดมาก็สูงกว่าเราหรือเปล่า?”

“ฉันจะรอดูยาวๆ”

จนสุดท้ายท่านลู่ก็ไม่ยอมเชื่อว่า หลอซ่า จะสามารถโค่นล้มไอ้แก่พวกนั้นได้

“พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสว่าง คนของบ้านตระกูลลู่ ก็คงจะค่อยๆเดินทางมาถึงเมืองเอกใช่ไหม?”

ท่านลู่มองหน้าลุงเฉียน แล้วเปิดปากถามขึ้นมา “ไม่รู้ว่าหลอซ่า จะกลับมาเมื่อไหร่?”

ลุงเฉียนไม่ได้พูดอะไร

“ฉันรู้แล้วว่าหลอซ่าไปทำอะไร ทางด้านเขตสามเหลี่ยม มีคนกลุ่มนึง ที่ค่อยทำร้ายโลกทั้งใบอยู่ ส่วนพวกเขา ก็อยู่ใกล้กับประเทศของพวกเรา ความอันตรายต่อประเทศของพวกเรา อยู่ในระดับสูง ประเทศนี้อยากจะกำจัดคนพวกนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่า ประเทศนี้กลับหาสถานที่ที่แน่ชัดของพวกเขาไม่ได้ จึงไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า”

“เวลานั้น ประเทศนี้เคยส่งคนกลุ่มนึง เข้าไปเป็นสายในเขตสามเหลี่ยม แต่สายลับที่ส่งเข้าไป ต่างก็ถูกจับได้หมด หลังจากที่แผนส่งสายลับเข้าไปล้มเหลว แผนที่จะจัดการกลุ่มคนพวกนี้ ก็ถูกระงับเอาไว้ก่อน”

“ฉันจำได้ว่า ตอนนั้นคนของพวกแก ถูกไอ้แก่พวกนั้น ไล่ต้อนจนหนีไปอยู่ที่เขตสามเหลี่ยม ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นกว่าครึ่งปี เพราะงั้น พวกแกน่าจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นั่นเป็นอย่างดี”

ลุงเฉียนไม่คิดจะปิดบัง บอกไปตรงๆว่า “เวลาครึ่งปีที่อยู่ที่นั่น พวกเราเคยเจอกับกลุ่มคนพวกนั้น แถมยังมีพี่น้องชายหญิงหลายคน ถึงจับไปเป็นทหาร แถมยังเสียชีวิตไปหลายคน”

ลุงเฉียนมองไปยังท่านลู่ พูดด้วยสีหน้าที่มืดมน “แกค่อยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ตลอด?”

“ช่างบังเอิญสักจริง”

ลุงเฉียนพูดอย่างสบายๆ “ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้”

“พวกไอ้แก่ที่อยู่ในชั้นใต้ดินที่สามและชั้นใต้ดินที่สี่ จิตใจของพวกเขา ไม่ได้อยู่ในตัวพวกแก ถ้าจะพูดตรงๆก็คือ พวกเขาไม่เคยเห็นพวกแกอยู่ในสายตา” ท่านลู่พูด

“ไอ้พวกตาต่ำที่ชอบดูถูกคน ล้วนต้องตายอย่างน่าทุเรศ” ลุงเฉียนพูด

“หลายปีนี้พวกเขา ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องภายนอกแล้ว รวมถึงข่าวที่พวกแกกลับมา ก็ไม่มีใครไปบอกพวกเขา บางที พวกเขาอาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอให้พวกเขารู้ตัว บางที เรื่องที่เกิดขึ้นกับบ้านตระกูลจูเก่อ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น แต่บ้านตระกูลจูเก่อก็มีเจ้าบ้านคนใหม่อย่างรวดเร็ว และจัดการปัญหาของตระกูลจูเก่อได้อย่างราบรื่น เพราะงั้น พวกเขาจึงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ในสายตาของพวกเขา อาจจะเห็นแค่เป็นเรื่องการชิงตำแหน่งภายในบ้าน”

“พวกแกน่าจะเป็นคนปิดข่าวเอาไว้ถูกไหม?” ท่านลู่ทำหน้าเครียด แล้วมองไปยังลุงเฉียน

“ข่าวของบ้านตระกูลจูเก่อ เป็นความจริงที่พวกเราเป็นคนปิดข่าวเอาไว้” ลุงเฉียนพูด

“ตระกูลซือถู ตระกูลมู่หรง ตระกูลตงฟาง ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้นกับสามตระกูลนี้อีก คิดว่าไอ้แก่พวกนั้น จะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น พวกเขาจะต้องลงมืออย่างแน่นอน”

“สุดท้าย พวกแกก็ยังกลัวอยู่ดี กลัวว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นพวกแก เพราะงั้น พวกแกจึงไม่ได้ลงมือกับตระกูลซือถูและตระกูลมู่หรง ถูกไหม?”

ท่านลู่หลับตาแล้วยิ้มออกมา

“พวกเราก็แค่ ยังเตรียมตัวตั้งรับไม่เสร็จก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้หมายความว่า พวกเราจะกลัวพวกแก” ลุงเฉียนพูดอธิบาย

“ตอนนี้เตรียมกันเรียบร้อยแล้วเหรอ?” ท่านลู่สอบถาม

“ใกล้แล้ว” ลุงเฉียนพูดตอบ

“ใกล้แล้ว? งั้นก็แปลว่ายังเตรียมการไม่เสร็จ นี้ยังเตรียมกันไม่เสร็จ พวกแกก็กล้าฉันมาไว้ที่นี่แล้ว ฮ่าๆ การเคลื่อนไหวของพวกแก ช่างบ้าระห่ำสักจริง” ท่านลู่ทำเสียงเฮิงไปหนึ่งที ที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย

ลุงเฉียนพูด “เจอการสถานการณ์พิเศษ ไม่งั้น การเคลื่อนไหวในวันนี้ อีกหลายวันถึงจะเกิดขึ้น”

“ท่านลู่ อย่าคิดว่าจะปิดบังได้ตลอด ไม่มีใครทำแบบนั้นได้ สิ่งที่พวกแกทำทั้งหมด สักวันจะต้องถูกเปิดเผย คิดจริงๆเหรอว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกแกน่ะ?” ลุงเฉียนมองท่านลู่ด้วยหางตา

“แน่นอนว่าต้องมีคนแตะต้องพวกเราได้อยู่แล้ว แต่ว่า พวกที่มีอำนาจพอที่จะแตะต้องพวกเราได้ จะมีใครบ้างล่ะที่ไม่ยุ่งกับงานของตัวเอง? ขอแค่พวกเราอย่าทำอะไรเกินเลย ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจของพวกเขา ทำอะไรก็ไว้หน้ากันบ้าง ใครจะมาแตะต้องพวกเราล่ะ?”

“ท่านลู่พูดต่อ “แกว่างั้นไหม เจ้ารองเฉียน?”

“ก็เหมือนที่พวกเราอยู่ชั้นใต้ดินของสโมสรเจียงหนาน อยู่อย่างมีความสุข มีอิสระ ทั้งเมืองเอก มีสักกี่คนที่รู้เรื่องนี้?”

ท่านลู่พูดต่อ “ช่างเถอะ เจ้ารองเฉียน ในเวลาที่ยังหันหลังกลับไปได้ ฉันขอเตือนแก รีบปล่อยฉันไป ฉันจะถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

“ฉันกล้ารับประกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้า ไอ้แก่พวกนั้น จะต้องยังไม่รู้เรื่องแน่นอน ตระกูลซือถู จะต้องปิดข่าวเรื่องนี้อย่างมิดชิด ไม่มีใครกล้าไปบอกข่าวให้กับไอ้แก่พวกนั้น บอกพวกเขาว่ามีคนบุกเข้ามา ตระกูลซือถู รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหว”

“แต่ถ้าเกิดเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป ต่อให้ตระกูลซือถูไม่บอก เกรงว่า พวกเขาก็คงรู้ได้เอง”

“ถึงตอนนั้น สิ่งที่พวกแกต้องเผชิญ ก็จะไม่ใช่แค่ตระกูลลู่แล้ว”

“สามปีก่อน พวกที่ค่อยๆบีบให้พวกแกหนีไปอยู่ต่างประเทศ พวกแกก็จะได้เจอกับพวกเขาอีกครั้ง” ท่านลู่พูดเตือน

“ลุงเฉียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “สิ่งที่ฉันต้องการ ก็คือผลลัพธ์แบบนั้น”

“พวกเมื่อสามปีก่อน พวกเราตามหาพวกเขามานานแล้ว” ลุงเฉียนพูดออกมา พร้อมรอยยิ้ม

ส่วนใบหน้าของท่านลู่ ก็ซีดลงอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่า ฉันจะไม่สามารถเจรจากับแกได้สินะ” ท่านลู่พูด

“พวกเราไม่ใช่เด็กอายุสามขวบ ก่อนที่จะแตะต้องพวกแก ก็ได้คิดถึงผลที่ตามมาเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้น ไม่ว่าแกจะพูดอะไร ก็เสียน้ำลายเปล่า เอาเวลามาบอกข่าวที่มีประโยชน์ต่อฉันดีกว่า” ลุงเฉียนพูด

“ฉันจะสามารถตอบคำถามแกได้หนึ่งคำถาม”

“ท่านลู่พูดอย่างสงบ “แกถามเลย ถามได้แค่คำถามเดียว แต่ว่า ถ้าเกิดคำถามมันมากจนเกินไป จนส่งผลกระทบต่ออนาคตของตระกูลฉัน ฉันก็จะปฏิเสธ”

ในตอนที่ลุงเฉียนกำลังจะเปิดปากถาม ท่านลู่ก็พูดเตือนขึ้นมาก่อน “แกคิดให้ดีก่อนที่จะถาม ถ้าเกิดเป็นคำถามที่ฉันไม่อยากตอบ ก็ยังถึงว่าเป็นคำถามเหมือนกัน”

ลุงเฉียนส่ายหัว มองท่านลู่ด้วยหางตา “นี่แกจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”

“คนที่ลึกลับที่สุดของตระกูลตงฟางในสี่ตระกูลใหญ่ เป็นใครกันแน่?”

ลุงเฉียนถาม พร้อมกับมองหน้าท่านลู่ “พวกเขา เคยเผยใบหน้าออกมาไหม?”

“นี่เป็นสองคำถาม” ท่านลู่พูดขัด แต่ก็ยังตอบคำถามข้อที่สอง “ตระกูลตงฟางเป็นใครกันแน่ ให้พวกแกเป็นคนตรวจสอบด้วยตัวเองดีกว่า แต่ว่าฉันสามารถบอกได้อย่าง พวกเขา ได้เปิดเผยใบหน้าแล้ว”

สี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลจูเก่อ ได้กลายเป็นคนของฝั่งหลอซ่าแล้ว

ก็เท่ากับว่าถูกจัดการแล้ว

ส่วนบ้านตระกูลซือถูและตระกูลมู่หรง ทางด้านลุงเฉียน ก็มีข้อมูลอยู่จำนวนนึง มีแค่บ้านตระกูลตงฟาง ตระกูลที่ลึกลับที่สุดในสี่ตระกูลใหญ่ ที่ไม่ยอมเผยตัวออกมา

แม้กระทั่งสามปีก่อนที่ถูกไล่ต้อน ดูเหมือนคนที่ออกแรง จะเป็นแค่สามตระกูลใหญ่

ลุงเฉียนเคยสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมที่ตระกูลที่สี่ ไม่เคยมีตัวตน

จนสุดท้าย ด้วยความพยายามของลุงเฉียน จึงทำให้ได้รู้ชื่อของตระกูลที่สี่ ตงฟาง

“ในเมื่อเผยหน้าออกมาแล้ว งั้นก็ตรวจสอบได้ไม่ยาก”

ลุงเฉียนพูด “เวลาป่านนี้แล้ว ฉันจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของแกก็แล้วกัน”

“ถ้าเกิดพรุ่งนี้ลูกชายฉันมา จะให้ฉันเจอหน้าเขาได้รึเปล่า?” ท่านลู่พูดออกมา พร้อมกับมองหน้าลุงเฉียน “แน่นอนว่า เป็นสถานการณ์ที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้ามาเจอฉันได้”

ลุงเฉียนส่ายหัว “ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ?” ท่านลู่ขมวดคิ้ว “คำขอนี้ ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสักนิด”

“ฮ่าๆ แกถามฉันว่าเพราะอะไร? แน่นอนว่าฉันกลัวว่าแกจะฆ่าตัวตาย ถ้าเกิดแกได้สั่งเสีย กับลูกชายของแกจนหมด จากนั้น พอใจของแกไม่มีอะไรติดค้างแล้ว พอรอจนถึงหลอซ่ากลับมา ถึงเวลานั้นแกจะต้องฆ่าตัวตายแน่” ลุงเฉียนพูดอธิบาย

สีหน้าของท่านลู่ เปลี่ยนไปพักนึง จากนั้น เขาก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “มีแต่คนบอกว่าเจ้ารองเฉียนเป็นคนฉลาด เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อ ตอนนี้ ฉันได้เจอกับตัวแล้ว”

“เป็นแกที่บอกฉันเอง”

ลุงเฉียนพูดอย่างระมัดระวัง “แต่ว่า ถ้าเกิดแกมีเรื่องอะไร สามารถบอกฉันได้ ฉันจะเป็นคนส่งข่าวให้กับแกเอง”

“ช่างเถอะ แกไปเถอะ” ท่านลู่โบกมือ แล้วพูดว่า “ไม่แน่สักหน่อยว่าลูกชายฉันจะแพ้”

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท