NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 654 ความแข็งแกร่งของโหจื่อ

บทที่ 654 ความแข็งแกร่งของโหจื่อ

“ไอ้หนู แกเป็นใครกันน่ะ?”

“นั่นสิ พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกับแกสัหน่อย ทำไมแกต้องฆ่าล้างบางด้วย?”

กลุ่มที่อยู่ตรงหน้า พอได้ยินคำพูดของหลี่ฝาง ก็เผยใบหน้าที่ตกใจและโกรธแค้นออกมา

เวลานี้ พวกเขารู้สึกว่าหลี่ฝางไม่มีเหตุผลเอาสักเลย

ไม่ว่าจะยังไง พวกเขาก็เป็นแค่หมาก ถ้าต้องการจะฆ่า ก็ควรเป็นการคนที่ค่อยสั่งการถึงจะถูก

ทำไมต้องมาหาเรื่องกับหมากอย่างพวกเขาด้วยล่ะ?

ซุนจิ้นมองหลี่ฝางด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ใบหน้าของไอ้หน้าหนวด กลับเผยใบหน้าที่ดุร้าย

“คนที่อยู่ที่นี่ สามปีก่อน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็คงจะเคยเข้าร่วมการปราบหลอซ่าถูกไหม?”

ไอ้หน้าหนวดเปิดปากออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา

ตอนนั้นไอ้หน้าหนวด เป็นแค่ลูกกะจ๊อก เขาไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่เขาเป็นจริงใจ แถมยังติดตามหลอซ่า มาอย่างยาวนาน

สามปีก่อน สี่ตระกูลใหญ่ร่วมหัวกันปราบหลอซ่ากับท่านจวน ท่านจวนรับแรงกดดันไม่ไหว จึงล่าถอยกลับไป

ตอนนั้นหลอซ่าเองก็อยากจะล่าถอย แต่สี่ตระกูลใหญ่ กลับไม่ยอมปล่อยหลอซ่าไป ตัดสินใจที่จะฆ่าล้างบาง

และเวลานั้นเอง ไอ้หน้าหนวดคอยติดตามและอยู่ข้างกายหลอซ่า ไม่ยอมถอยหนีไปไหน

และเวลานั้นเอง ไอ้หน้าหนวดเองก็ถูกพวกลูกกะจ๊อกตามฆ่า ทุกๆวันเอาแต่หลบซ่อนตัว เป็นช่วงชีวิตที่น่าอกสูงมาก

ตอนนี้ เขาติดตามหลอซ่าจนกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง แน่นอนว่าต้องอยากแก้แค้นอยู่แล้ว

และกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า ล้วนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย

พวกลูกกะจ๊อกมองไปยังไอ้หน้าหนวด ค่อยๆนึกออกว่าเขาเป็นใคร

“ที่แท้เป็นแกนี่เอง?”

พอเห็นไอ้หน้าหนวด มีคนยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา “ฮ่าๆ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังจำได้ดี ตอนนั้นแกนอนอยู่ในกองเลือด ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดที่น่าอัปยศ นึกไม่ถึงว่า แกยังมีชีวิตอยู่อีก”

“เหล่าพี่น้องเอ๊ย ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะจัดการพวกเราให้สิ้นซาก งั้นพวกเรา ก็ไม่จำเป็นต้องยอมจำนน……”

“เขาเป็นคนของหลอซ่า และในหมู่พวกเรา ตอนนั้นก็เคยร่วมกันปราบหลอซ่า ถ้าเกิดหลอซ่ากลับมา จะต้องมาแก้แค้นพวกเราแน่”

“ฉันได้ข่าวมาว่า ตอนนี้หลอซ่าอยู่นอกประเทศ นี่เป็นโอกาสอันดีของพวกเรา ทำไมเราไม่ใช่โอกาสที่หลอซ่าไม่อยู่ กวาดล้าง ลูกน้องของเขาให้หมดล่ะ”

“แต่อีกฝ่าย……มีคนมากขนาดนั้นเลยน่ะ?”

มีคนปอดแหกพูดขึ้นมา

ตอนนี้ ซุนจิ้นพาคนมากว่าร้อยคน เพียงแป๊บเดียว คนของฝั่งสถานตากอากาศ ก็มีพอๆกับพวกเขาแล้ว

“ฮ่าๆ จะกลัวอะไร? ในกลุ่มพวกเรา ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองเอกกันทั้งนั้น ปกติคนนึงสู้กับหลายคน ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรถูกไหม?”

“เมื่อกี้พวกเราสู้เพื่อคนอื่น พวกเราสามารถสู้แบบขอไปทีได้ แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายต้องการให้พวกเราอยู่ที่นี่ นี่มันหมายความว่าต้องการเอาชีวิตของพวกเรา เพราะงั้นตอนนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราต้องสู้เพื่อตัวเอง”

“เอาฝีมือที่มีออกมาให้หมด ให้พวกเขาดูสักหน่อย”

“ล้มพวกมันลงไปกองกับพื้นให้หมด จากนั้นก็แย่งของมีค่าของสถานตากอากาศมาให้หมด ฉันเคยได้ยินมาว่า สถานตากอากาศแห่งนี้มีสถานที่สะสมคอลเลกชัน ข้างในเก็บของโบราณไว้เป็นจำนวนมาก แม้แต่ของสะสมโบราณของท่านปู่สวี ก็ถูกหลอซ่าขโมยออกมาเงียบๆ ถ้าเกิดพวกเราชนะขึ้นมา แล้วบุกเข้าไปสถานตากอากาศ งั้นพวกเรา……

“ก็รวยแล้ว!”

พูดเสร็จ คนๆนี้ก็หัวเราะดังลั่น

และในเวลานี้เอง โหจื่อก็ยกปืนขึ้นมา เล็งไปยังคนที่พูด จากนั้นก็ยิงกระสุนมุ่งตรงเป้าไปโดนตำแหน่งหัวใจของเขา

“ไอ้เชี้ยนี้พูดมากซะจริง ถ้าเกิดเป็นลูกผู้ชาย จะลงมือก็ลงมือสิ จะพูดมากทำไม คิดจะโม้ให้กูฟังรึไง?”

โหจื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเล็กน้อย

หลังจากที่ได้ยิงเสียงปืนของโหจื่อ ใบหน้าของคนจำนวนไม่น้อย ได้เผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา

ไม่ว่าจะยังไง กระสุน เหมือนเทียบกับมีด มันมีอานุภาพกว่ามาก

กระสุนพุ่งออกไปหนึ่งนัด ต้องการเอาชีวิตคน ก็ได้ชีวิตนั้นมา

“พวกเราไม่ต้องกลัว ไอ้นั่นมันมีปืนแค่กระบอกเดียว ปืนแค่หนึ่งกระบอกมันจะใส่กระสุนได้สักกี่นัด? พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้ แค่พวกเราร่วมใจเป็นหนึ่ง แล้วบุกไปพร้อมกัน……”

คนๆนี้ยังไม่ทันพูดจบประโยค มือขวาของโหจื่อ จู่ๆก็มีปืนขึ้นมาอีกหนึ่งกระบอก จากนั้นก็เล็งไปหัวสมองของคนๆนี้ แล้วหัวเราะออกมา “ดูให้ดีล่ะ บนตัวของกู ไม่เคยใส่ปืนแค่กระบอกเดียว”

พูดจบ โหจื่อก็สไลด์ไกปืน เล็งไปยังหัวสมองของคนๆนี้ แล้วหัวก็แตกขึ้นมา

ตอนนี้ ทุกคนต่างก็หวาดกลัว

ไม่ว่าจะยังไง ขนาดอยู่ห่างกันขนาดนี้ โหจื่อยังสามารถใช้กระสุนแค่นัดเดียวเอาชีวิตของคนๆนึงได้แล้ว เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าฝีมือการยิงปืนของเขานั้นเก่งขนาดไหน

และคนแรกที่โหจื่อยิงจนเสียชีวิต เขายืนอยู่ข้างหน้า ถูกยิงทะลุหัวใจ ก็ไม่น่าแปลกอะไร

แต่คนๆนี้……

เขายืนอยู่ข้างหลังกลุ่ม มีคนมากขนาดนั้นบังเขาเอาไว้ ก็ยังสามารถยิงเข้าหัวภายในนัดเดียว

ฝีมือการยิงปืนนี้มันอะไรกัน?

ความจริง การที่คนๆนี้กล้าพูดคำพูดแบบนี้ ความจริงแล้ว ก็เป็นเพราะว่าตำแหน่งที่เขายืนอยู่ มันปลอดภัยเป็นอย่างมาก

เขาคิดว่า ต่อให้โหจื่อยิงมา ก็คงไม่โดนเขาหรอก

ใครจะรู้ว่า……

“จะสู้ก็เข้ามา ไม่อยากสู้ก็ตัดขาตัวเอง ไปหนึ่งข้าง”

“จากนั้นความแค้นเมื่อสามปีก่อน ถือว่าหายกัน”

โหจื่อพูดด้วยเสียงนิ่งว่า “ไม่อย่างนั้น จะฆ่าให้หมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”

หลังจากที่โหจื่อพูดจบประโยค คนพวกนี้ต่างก็มองตาซึ่งกันและกัน ดูเหมือนจะคิดเหมือนกัน พุ่งเข้าไปข้างหน้า

ให้พวกเขาตัดขาข้างนึงของตัวเองเหรอ?

ฮ่าๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง?

ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าจะด้านกำลังคน หรือว่าฝีมือ ก็ไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น

เพราะงั้น ถ้าเกิดจะให้พวกเขายอมแพ้ในเวลาแบบนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ยอมอยู่แล้ว

เพียงแป๊บเดียว ทั้งสองฝ่ายก็สู้ขึ้นมาอีกครั้ง

และครั้งนี้ อีกฝ่ายก็เผยรังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างชัดเจน

อาจจะเป็นเพราะมีคนตายไปแล้วสองคน ครั้งนี้ อีกฝ่ายต่างก็ทุบสุดตัว

คนของไอ้หน้าหนวด แน่นอนว่าก็เป็นเหมือนกัน แต่ว่าคนของบ้านตระกูลจูเก่อ ทุกครั้งที่พวกเขาขยับ ก็ยังเหลือความปราณีเอาไว้

โหจื่อยืนอยู่ข้างๆหลี่ฝาง ไม่ได้มีความคิดที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ

หลี่ฝางตบไหล่ของโหจื่อ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องคอยปกป้องฉัน แกเองก็ลุยเถอะ”

“ฉันจะไปหลบอยู่ข้างในสถานตากอากาศ”

หลี่ฝางเข้าใจฝีมือของโหจื่อดี แม้ว่าเขาจะเทียบกับส้าวส้วยไม่ได้ แต่แค่ไปสู้กับกลุ่มคนพวกนี้ มันเป็นเรื่องง่ายๆราวกับปอกกล้วยเข้าปาก

หลี่ฝางพูดจบ แล้วถอยกลับเข้าไปยังสถานตากอากาศ

ส่วนโหจื่อ ในเวลานี้ก็พุ่งเข้าไปอย่างกลางวง แย่งมีดมา ราวกับเป็นเทพแห่งสงคราม

หลี่ฝางหาตำแหน่งที่ปลอดภัย แล้วโทรไปหาหวางเสี่ยวหยวน

“พี่หยวน เป็นยังไงบ้าง แย่งพื้นที่มาได้รึยัง?” หลังจากที่โทรติด หลี่ฝางก็เปิดปากถามทันที

ทางด้านหวางเสี่ยวหยวนมีเสียงการต่อสู้ดังเข้ามาในสาย “ใกล้แล้ว พื้นที่ของฉัน ขยายขึ้นมามากกว่าหนึ่งในสาม ทุกๆร้านแทบจะ มีแค่มีลูกกะจ๊อกเฝ้าอยู่แค่ไม่กี่คน พวกที่มีความกล้ากับชื่อเสียง ล้วนไม่อยู่ มีแค่ลูกกะจ๊อกที่ไม่ได้มีพิษสงอะไร แค่ขู่นิดหน่อย พวกเขาก็หนีกันไปหมด”

“แต่ว่า เมืองเอกมีคนลึกลับที่ทรงอำนาจปรากฏออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็ใช้โอกาสครั้งนี้ ยึดพื้นที่ต่างๆ เมื่อกี้พวกเราเพิ่งจะเจอเข้า แต่ว่าพวกเขาไม่ได้สู้กับพวกเรา ยอมมอบพื้นที่ให้กับพวกเราซะงั้น”

“ไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปยังไง” หวางเสี่ยวหยวนพูด

“เป็นคนของท่านจวน”หลี่ฝางพูด

“ท่านจวน? ถึงว่า ที่แท้พวกเขาเป็นลูกน้องของท่านจวน ฉันก็ว่าทำไมดูแข็งแกร่งขนาดนั้น ท่านจวนเก็บตัวมานานหลายปี ดูเหมือนว่า ก็ยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ พอลงมือ ก็มีคนฝีมือขนาดนี้ปรากฏออกมา ฉันได้ยินมาว่าทางตะวันตกของเมืองเอก ถูกคนพวกนี้แย่งพื้นที่ไปเกือบทั้งหมดแล้ว” หวางเสี่ยวหยวนพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

“พอแล้ว พี่รีบหน่อยก็แล้วกัน แย่งมาได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น”

“ถ้าเกิดเจอคนของท่านจวนอีก ขอแค่พวกเขายอมมอบพื้นที่ให้ พี่เองก็อย่าลังเล อาจจะหน้าด้านไปซะหน่อยแต่ก็รับเอาไว้ก็แล้วกัน” หลี่ฝางพูด

หวางเสี่ยวหยวนลังเลไปไม่กี่วิ แต่ก็พยักหน้าตอบว่าได้

และในเวลาไล่เลี่ยกัน หลี่ฝางก็โทรไปหาซินปาและเฉินฝูเซิงคนละหนึ่งสาย ภายในสามคนนี้ เฉินฝูเซิงแย่งพื้นที่มาได้เยอะที่สุด

“ดูเหมือนว่า หลังจากคืนนี้ เมืองเอกคงจะเหลือแค่คนทรงอิทธิพลแค่สองแล้ว” หลี่ฝางพูดอย่างใจเย็น

ที่หลี่ฝางไม่ยอมให้คนพวกนี้กลับไป ก็เพื่อเฉินฝูเซิง หวางเสี่ยวหยวน แล้วก็พวกซินปา

ถ้าเกิดพวกเขากลับไป ลูกน้องของตัวเอง ก็ชิบหายกันพอดี

ขอแค่ไม่ยอมปล่อยคนพวกนี้กลับไป ลูกน้องของตัวเองทั้งสามคน ก็จะทำงานได้อย่างราบรื่น แล้วยึดพื้นที่มาได้อย่างง่ายๆ

ทางฝั่งท่านจวนตั้งหาก ได้ผลประโยชน์จะตัวเองไปเต็มๆ เพราะงั้น ลูกน้องของเขา พอเจอกับลูกน้องตัวเอง จึงยอมถอยไปด้วยดี มันเป็นควรจะเป็นอย่างงั้น หลี่ฝางก็ไม่ได้รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอะไรท่านจวน

พอโหจื่อเข้าร่วม อีกฝ่ายก็เผยสีหน้ายอมแพ้ขึ้นมา

ฝีมือการต่อสู้ของโหจื่อ เก่งเกินไปแล้ว เขาแค่คนเดียว ก็เหมือนมีคนกว่าสิบคน ทุกคนต่างก็หวาดกลัวเขา เขาก็เหมือนกับปลาฉลาม ไม่ว่าจะไปที่ไหน อีกฝ่ายก็จะถอยหนีไปเอง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท