เพี๊ยะๆๆ
มีคนพูดตบตีคนได้แต่ห้ามตีหน้า แต่การตบของโหจื่อทุกครั้ง ล้วนตบแรงๆ ลงบนใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิง
ไม่นานนัก ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิง ถูกตบตีจนกลายเป็นหัวหมู
มู่หรงฉางเฟิงมองไปที่โหจื่อ ดวงตาเหมือนมีไฟพ่นออกมา: “แม่งนายเป็นเหี้ยอะไร ตบตีแต่หน้าฉัน ?”
“ใครให้นายหน้าตาหล่อเหลาหล่ะ?” โหจื่อหัวเราะแล้วพูดออกมา
หน้าตาหล่อเหลา?
หล่อเหลาแม่มึงสิ!
ถึงแม้จะถูกชื่นชม แต่มู่หรงฉางเฟิงไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่น้อย
“มันก็แค่ ฉันไม่ชอบคนที่หน้าตาหล่อเหลากว่าฉันเท่านั้นเอง” โหจื่อสีหน้าดิ่งลงเล็กน้อย พูดเทริมออกมา
เสียงตบเพี๊ยะดังขึ้นอีก โหจื่อตบลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้ตบจนมู่หรงฉางเฟิงกระเด็นออกไป
มู่หรงฉางเฟิงคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก แล้วมองไปที่โหจื่อ: “อย่าตบอีกเลย ถ้านายจะตบอีก……”
“ถ้าตบอีกนายจะทำยังไงเหรอ?” โหจื่อพูดขัดมู่หรงฉางเฟิงขึ้นมา และถามออกมาอย่างเยอะเย้ย
พูดตรงๆ คือ มู่หรงฉางเฟิง ทำอะไรโหจื่อไม่ได้เลย
โหจื่อมองไปที่มู่หรงฉางเฟิงแล้วพูดขึ้นว่า: “ไม่เป็นไร นายโต้ตอบได้ ฉันไม่แคร์”
โหจื่อเดินไปข้างหน้า ยกขาขึ้นถีบมู่หรงฉางเฟิง มู่หรงฉางเฟิงหลบได้ ทำให้การถีบครั้งนี้ของโหจื่อ ถีบเอียงไป
สีหน้าของโหจื่อดิ่งลง พูดเสียงเย็นชาออกมาว่า: “แม่งเหี้ยเอ๊ย นายกล้าหลบเหรอ?”
และเหตุการณ์ต่อจากนั้น ทำให้โหจื่อยิ่งโกรธเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงลงมือหนักขึ้นไปอีก
ทำให้มู่หรงฉางเฟิงเกือบกลายเป็นบ้า
นายตีฉัน ฉันหลบไม่ได้เลยเหรอ?
ทำไมนาย ไม่มีเหตุผลเลย?
มู่หรงฉางเฟิงมองไปที่โหจื่อ แล้วพูดขึ้นว่า: “นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่านายไม่แคร์ถ้าฉันจะตอบโต้กลับ?”
“ใช่ ฉันไม่แคร์ถ้านายตอบโต้กลับ แต่ฉันไม่ได้บอกหนิ่ว่าไม่แคร์ถ้านายหลบ นายตอบโต้ได้ แต่ห้ามหลบ เข้าใจไหม?”
โหจื่อส่ายหัว แล้วพูดขึ้นว่า: “แข้งขาของฉันไม่ค่อยดี ถ้าเกิดนายหลบหนีไป ฉันคงไล่นายไม่ทันแน่”
คำเหี้ยนับคำไม่ถ้วนเกิดขึ้นในใจของมู่หรงฉางเฟิง
คนที่ฝึกฝนวิชาตุ๊กแกท่องกำแพง บอกว่าแข่งขาตัวเองไม่ดี?
ผีเท่านั้นที่เชื่อ
มู่หรงฉางเฟิงที่ถูกทุบตีจนหมดแรง นั่งลงไปกับพื้น แล้วพูดกับโหจื่อว่า: “นายตีเลย ถ้าแน่จริง ก็ตีฉันให้ตายไปเลย”
“ในเมื่อถ้าฉันตายไป ฉินวี่เฟยก็ไม่รอดแน่นอน ถึงเวลานั้น มีสาวงามตายเป็นเพื่อน ฉันก็ไม่ถือว่าขาดทุน”
มู่หรงฉางเฟิงพูดออกมา
โหจื่อยิ้มกว้างออกมา: “เอาฉินวี่เฟยมาข่มขู่ฉัน?นายข่มขู่ผิดคนแล้วมั้ง?ฉันจะบอกนายนะ ฉินวี่เฟยกับฉัน ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย เพราะฉะนั้นการตายของเธอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย”
“ไม่ถูกต้อง ต้องพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับฉันแม้แต่นิดเดียว” โหจื่อหัวเราะเยาะแล้วพูดออกมา
พูดจบ โหจื่อถีบลงไปบนใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิง
จากนั้นมู่หรงฉางเฟิงคลานขึ้นมา หันไปพูดกับหลี่ฝ่างว่า : “หลี่ฝาง ฉันขอบอกนาย ถ้าก่อนตีสี่ ฉันยังไม่ได้กลับไปอีก ฉินวี่เฟยผู้หญิงคนนั้น ตายแน่นอน”
“ตีสี่?” หลี่ฝางมองนาฬิกาตัวเองโดยปริยาย ตอนนี้ตีสามห้าสิบแล้ว
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสิ?เคอๆ อย่างมาก นายมีเวลาอีกสิบนาทีที่จะปล่อยฉันกลับไป ถ้าฉันไม่ได้กลับไป นายรอเก็บศพของฉินวี่เฟยได้เลย。” มู่หรงฉางเฟิงพูดออกมา
ทันใดนั้น หลี่ฝางเริ่มกังวลขึ้นมา
หลี่ฝางหันไปมองโหจื่อแล้วพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องตีเเล้ว ถ้าตีอีก คงมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ ตอนนี้ฉินวี่เฟยยังอยู่ในมือของเขาอยู่”
“มู่หรงฉางเฟิง เอาแบบนี้ไหม นายให้คนของนายปล่อยตัวฉินวี่เฟย ส่วนฉันก็ให้โหจื่อปล่อยตัวนาย?” หลี่ฝางมองไปที่มู่หรงฉางเฟิง ถามด้วยน้ำเสียงเจรจาต่อรองออกมา
มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะเย็นชาออกมา ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า: “นายคิดมากไปแล้ว ทุบตีฉันแบบนี้ ตอนนี้มาพูดว่าจะเปลี่ยนตัว?ใครจะไปตอบตกลง!”
โหจื่อหันไปหามู่หรงฉางเฟิง ตบลงไปที่หูของเขา ทำให้มู่หรงฉางเฟิงหูอื้อไปทันที และทำให้หูไม่ได้ยินไปชั่วขณะ
“แม่งเหี้ยเอ๊ยนายไม่ได้ยินใช่ไหม เถ้าแก่ของนายบอกว่าห้ามตีอีก” มองไปที่โหจื่อ มู่หรงฉางเฟิงตะโกนด่าออกมา
“ได้ยินอ่ะได้ยินแล้ว แต่ว่า ใครบอกนาย ว่าคนที่เป็นลูกน้อง ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเถ้าแก่เสมอไป?”
“นายไม่เคยเจอเหรอ ลูกน้องที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง?”
โหจื่อยิ้มอย่างไร้ยางอายออกมา แล้วพูดขึ้นว่า: “จะบอกนายนะ คืนนี้ ฉันจะตีนายจนนายคุกเข่าลงไปแล้วเรียกฉันว่าพ่อเลย!”
“นายฝันไปเถอะ!” มู่หรงฉางเฟิงมองโหจื่อด้วยสายตาเย็นชา
โหจื่อหัวเราะเคอๆ ออกมา และไม่สนใจการห้ามปรามของหลี่ฝาง ทุบตีมู่หรงฉางเฟิงไปหนึ่งยก
หลายนาทีผ่านไป โหจื่อทุบตีมู่หรงฉางเฟิง จนเกืยบตาย
มู่หรงฉางเฟิงหายใจหอบแล้วมองไปที่หลี่ฝาง ถามออกมาว่า: “หลี่ฝาง นายอยากดูฉินวี่เฟยตายใช่ไหม?”
“อย่ามาขู่เถ้าแก่ฉัน เขาเป็นคนขี้กลัว ทนฟังคำขู่ไม่ได้”
โหจื่อหัวเราะเคอๆ แล้วพูดขึ้นว่า: “จะบอกนายนะ ฉินวี่เฟยถูกคนของพวกฉันช่วยเหลือออกไปแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อ”
“เป็นไปไม่ได้”
สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงเปลี่ยนไปทันที
โหจื่อหัวเราะเคอๆ ออกมา: “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?นายคิดว่า มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นเหรอที่มาช่วยคน?ทีมงานใหญ่ของพวกเรา อยู่เบื้องหลังโน่น”
“ส่วนฉินวี่เฟย ถูกคนของพวกฉันช่วยเหลือออกไปตั้งนานแล้ว”
โหจื่อมองไปที่มู่หรงฉางเฟิงแล้วพูดขึ้นว่า: “ดังนั้น นายไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะมาเจราจาต่อรองกับฉัน”
“ทางเลือกที่อยู่ตรงหน้านาย มีอยู่สองทาง หนึ่งคุกเข่าลงแล้วเรียกฉันว่าพ่อ จากนั้นฉันตีนายให้ตาย และฉันก็จะตั้งหลุมฝังศพให้นาย สองคือบอกฉัน ฟีนิกซ์เป็นคนของใคร?”
โหจื่อมองไปที่มู่หรงฉางเฟิง พูดออกมาด้วยสายตาที่เย็นชา
ถึงแม้โหจื่อจะให้ทางเลือกสองทางแก่มู่หรงฉางเฟิง แต่ความจริงแล้ว มีแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น
และหลังจากที่โหจื่อพูดออกมาว่า ฉินวี่เฟยได้ถูกคนของตัวเองช่วยเหลือออกไปแล้ว หลี่ฝางจึงไม่กังวล และไม่ได้รั้งตัวโหจื่ออีก
เวลานี้ ถึงแม้โห่จื่อตีมู่หรงฉางเฟิงจนตาย หลี่ฝางก็จะไม่ห้ามสักคำ
ส่วนสีหน้าของฉินหยีหรัน เต็มไปด้วยความสะใจ ใบหน้าของเธอ มีรอยยิ้มออกมาตลอดเวลา และในขณะที่ยิ้มอยู่นั้น ก็ได้ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เพราะสุดท้ายก็มีคน ช่วยเหลือเธอจัดการเรื่องนี้เสียที
โหจื่อมองไปที่มู่หรงฉางเฟิง แล้วพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องสงสัย แม้แต่สังคมอิทธิพลมืดของสโมสรเจียงหนานฉันยังกล้าไปเลย นายคิดว่าแค่ฆ่าคุณชายคนหนึ่งของสี่ตระกูลใหญ่ฉันจะไม่กล้าเหรอ?”
“เคอๆ ถ้านายสงสัย ฉันคงต้องยืนยันให้นายเห็น” โหจื่อพูดจบ หยิบปืนสีทองของตัวเองออกมาจากกระเป๋า เล็งปืนไปที่ศีรษะของมู่หรงฉางเฟิง
“อยากตายหรืออยากอยู่ อยู่ในมือของนาย” โหจื่อพูดเย็นชาออกมา
สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิง เต็มไปด้วยความกลัว
เมื่อกี้ โหจื่อแค่ใช้ความรุนแรงกับเขา แต่ความรุนแรงเป็นแค่การทำร้ายร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเท่านั้นเอง
แต่สิ่งเหล่านี้ มู่หรงฉางเฟิงสามารถทนรับมันได้
อีกอย่าง หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ร่างกายของเขา ก็จะค่อยๆ หายดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่โหจื่อเอาปืนออกมา มู่หรงฉางเฟิงจึงได้ตระหนักถึงอะไรคือความตาย
กระสุนนัดเดียว สามารถปริดชีวิตเขาได้ทันที
“ฟีนิกซ์ เป็นคนของใครกันแน่?” โหจื่อหันไปหามู่หรงฉางเฟิง ถามออกมาอีกครั้ง: “ถ้าคำตอบของนายคือไม่รู้ กระสุนของฉัน ก็จะยิงทะลุศีรษะของนาย”
ในขณะที่มู่หรงฉางเฟิงเตรียมจะส่ายหัวนั้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทำให้เขารีบเปลี่ยนใจทันที
“รู้ รู้”
มู่หรงฉางเฟิงมองไปที่โหจื่อ กัดฟันเล็กน้อย แล้วพูดออกมาว่า: “แต่ถ้าฉันบอกให้นายฟัง ฉันก็จะทำให้ฟีนิกซ์โกรธ”
“เธอต้องฆ่าฉันแน่ๆ” มู่หรงฉางเฟิงพูดออกมา
“วางใจได้ ฉันจะช่วยนายเก็บเป็นความลับเอง” โหจื่อพูดออกมาว่า: “ทำไม หรือว่านายสงสัยในตัวตนของฉัน?”
มู่หรงฉางเฟิงลังเลสองสามวิ ถึงพูดออกมาว่า: “เธอเป็นคนของตระกูลตงฟาง”
มู่หรงฉางเฟิงเงยหน้าขึ้นมองโหจื่อ แล้วพูดขึ้นว่า: “ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอก็เป็นคนของฝั่งเราอยู่แล้ว”
สีหน้าของโหจื่อ เปลี่ยนไปทันที เขาโกรธจนอยากเหนี่ยวไก่ปืนลงไป ยิงมู่หรงฉางเฟิงให้ตายเลย
สีหน้าของโหจื่อโหดเหี้ยม ถามมู่หรงฉางเฟิงอย่างไม่น่าเชื่อว่า: “นายพูดอะไรนะ?นายว่าฟีนิกซ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เป็นคนของตระกูลตงฟางเหรอ?ความหมายของนายคือ เธอเป็นสายลับที่ตระกูลฟางจัดส่งมาไว้กับเราเหรอ?”
“ถูกต้อง เธอเป็นคนของตระกูลตงฟาง ชื่อจริงของเธอคือ ตงฟางหวั่นเอ๋อ”
มู่หรงฉางเฟิงดึงแขนของโหจื่อไว้ แล้วพูดขึ้นว่า: “ขอร้องนาย นายรู้คนเดียวก็พอ ห้ามบอกความลับนี้ออกไปเด็ดขาด ถ้าหากให้ฟีนิกซ์หรือคนของตระกูลตงฟาง รู้ว่าฉันเป็นคนทรยศฟีนิกซ์แล้วหล่ะก็ พวกเขา ต้องฆ่าฉันแน่ๆ”
ตอนแรกโหจื่อมีความสงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นอาการหวาดกลัวของมู่หรงฉางเฟิงแล้ว รู้สึกได้ทันที ว่าคำพูดของมู่หรงฉางเฟิง อาจเป็นความจริงก็ได้
“ฮู้” โหจื่อพ่นลมหายใจออกมา แล้วเก็บปืนลงไป