หลี่ฝางได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ เขาก็เพียงส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ คำพูดดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ หลี่ฝางได้ฟังมาเยอะมาก ในใจของเขาด้านชาไปตั้งนานแล้ว
“ไปกันเถอะ เข้าไปเลือกเสื้อผ้ากันข้างในดีกว่า” หลี่ฝางยิ้มกล่าว
“จะเข้าไปจริง ๆ เหรอเนี่ย? ฉันขอเตือนก่อนนะ เสื้อผ้าที่อยู่ข้างในนี้ ต่อให้ลดเหลือราคาต่ำสุด ก็ต้องพันกว่าหยวนขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะเข้าไป ดูเงินในกระเป๋าก่อนเถอะ พวกเธอสามคนรวม ๆ กันดู พอถึงเวลารวมได้ไม่พอซื้อแม้แต่เสื้อตัวเดียว จะขายขี้หน้าเอาได้นะ” พนักงานคนนั้นกล่าวเหยียดหยามต่อ
ณ เวลานี้หลี่ฝางค่อนข้างที่จะไม่พอใจขึ้นมาแล้ว เผชิญหน้ากับการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่ฝางชักอยากจะอาละวาดออกมา
ตอนนี้เอง เด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา: “หยู่ฉิง ทำไมเธอถึงมีเวลามาได้ล่ะ?”
เมื่อเทียบกับร้านเสื้อผ้าร้านเมื่อกี้นี้ เวอร์ซาเชเงียบกว่ามาก
เพราะถึงยังไง ราคาสินค้าของแบรนด์นานาชาติก็แพงเอาซะขนาดนั้น ปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนเดินเข้าอยู่แล้ว
จะมีก็เพียงพวกคุณชายตระกูลผู้ดี ที่มีเดินบ้างเวลาไม่มีอะไรทำ พลังจับจ่ายแสนธรรมดา
สินค้าในร้านแค่เสื้อเชิ้ตที่แสนธรรมดาตัวหนึ่ง ก็ราคาห้าหกพันหยวนแล้ว สำหรับเมืองอย่างอำเภอหลินแล้ว คนที่จะมีพลังการบริโภคเช่นนี้ได้นั้น มีน้อยมากจริง ๆ
“เสี่ยวถง ฉันพาลูกค้ามาให้เธอน่ะ” พนักงานที่ชื่อหยู่ฉิงนั่นกล่าวด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์: “อาจจะแค่มาลองดูหน่อย เธออย่ารำคาญเอาซะล่ะ”
“มีอะไรต้องรำคาญ ลูกค้าก็คือพระเจ้า”
เด็กสาวหน้าตาดีที่ชื่อเสี่ยวถงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพวกหลี่ฝาง ในแววตาปรากฏความเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยพลังสายตาของเธอ จะดูไม่ออกได้ยังไงว่าหลี่ฝางมีพลังจับจ่ายหรือไม่?
แต่เสี่ยวถงก็ยังคงยิ้มอย่างรู้ใจ และท่าทางเชิญ: “เชิญเข้ามาเดินดูนะคะ ดูว่ามีที่ถูกใจหรือเปล่า ตัวไหนถูกใจก็สามารถลองได้ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรค่ะ”
พวกหลี่ฝางและเหยนเสี่ยวน่า เดินเข้าไปอย่างผ่าเผย
ส่วนหยู่ชิงในเวลานี้นั้นก็ค่อนข้างไม่พอใจนัก เธอกล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์: “เสี่ยวถง เธอโง่หรือเปล่าน่ะ ทั้งสามคนนี่ ไม่ต้องพูดถึงร้านเธอเลย แม้แต่เสื้อผ้าในร้านของฉัน พวกเขาก็แทบจะไม่มีปัญญาซื้อ ทำไมเธอต้องสนอกสนใจพวกเขาด้วย แถมยังยุยงให้พวกเขาลองเสื้อผ้า เธอไม่กลัวเหรอว่าพวกเขาจะทำให้เสื้อผ้าในร้านสกปรก?”
“เปิดร้านทำธุรกิจขายเสื้อผ้า เดิมทีการลองเสื้อผ้าก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขา อีกอย่าง ก็แค่ลองเท่านั้นเอง ไม่ได้ใส่เป็นเวลานานซะหน่อย จะทำสกปรกได้ยังไง?” เสี่ยวถงถามกลับ
“ถ้าเกิดมีโรคผิวหนังอะไรล่ะ? ดูผู้ชายคนนั้นสิ บนตัวยังมีเลือดด้วยนะ ดูก็รู้ว่าเป็นคนฆ่าหมู บนร่างกายของคนประเภทนี้ ไม่รู้ว่ามีพวกเชื้อโรคแบคทีเรียอยู่มากมายแค่ไหน” หยู่ชิงยิ่งพูด ภายในใจของเธอ ยิ่งรังเกียจพวกหลี่ฝางมากขึ้น
หลังจากที่พวกหลี่ฝางเดินเข้าไปในร้าน ก็เริ่มเลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับตัวเองทันที
ส่วนเหยนเสี่ยวน่ายิ่งเลือกเฉพาะชิ้นที่ราคาแพง ก็นาน ๆ ทีจะมีโอกาสขูดเลือดขูดเนื้อหลี่ฝางสักทีนี่นา
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหยนเสี่ยวน่าก็ได้ลองเสื้อผ้าไปหลายชุดแล้ว ในตอนนี้ หยู่ชิงนั่นก็ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว เธอเดินเข้ามาแล้วกล่าว: “นี่เธอ เธอหยุดลองสักทีจะได้ไหม เธอลองแหกตาดูป้ายราคาที่ติดอยู่บนเสื้อสิ เธอมีปัญญาซื้อเหรอ? นี่ก็ลองไปสิบกว่าชุดแล้ว เสื้อผ้าในร้าน ถูกเธอลองไปแทบหมดแล้ว”
“เหอะ ๆ เธอนี่นะชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองจริง ๆ เลย เธอไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบร้านนี้นี่ ใช่ไหม? ผู้จัดการร้านของที่นี่เขายังไม่ได้ว่าอะไรเลย เธออยู่ร้านข้าง ๆ แล้วมายุ่งอะไรด้วย?”
เหยนเสี่ยวน่าทำตามองบนใส่หยู่ชิง
หยู่ชิงรีบถอยหลังกลับไปหหลายก้าว แล้วดึงแขนเสี่ยวถงกล่าว: “เสี่ยวถง เธอดูหล่อนสิ หล่อนว่าฉันแบบนี้ เธอยังไม่ไล่หล่อนออกไปอีกเหรอ?”
“นี่……”
เสี่ยวถงค่อนข้างลำบากใจ เพราะถึงยังไงเปิดร้านทำธุรกิจ มีที่ไหนไล่ลูกค้าออกจากร้าน?
เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดทำแล้ว แล้วลูกค้าเกิดโวยวายขึ้นมา ร้านนี้ ยังจะเปิดอีกไหมล่ะ?
เสี่ยวถงส่ายหัว กล่าว: “หยู่ชิง ให้พวกเขาลองเถอะ”
“เสี่ยวถง……” ใบหน้าของหยู่ชิง โมโหจนแดงขึ้นมา เธอคิดไม่ถึงว่าเพื่อนสาวคนสนิทของเธอ จะไม่ช่วยตัวเอง
“เหอะ ๆ เธอให้พวกเขาลองไปเถอะ เสื้อผ้าพวกนั้นที่หล่อนลองใส่ ต่างก็สกปรกหมดแล้ว”
หยู่ชิงกล่าวอย่างเย็นชา: “เธอก็น่าจะรู้ ลูกค้าของเธอ ส่วนมากฉันเองก็รู้จัก ดังนั้นเพียงแค่ฉันบอกกับพวกเขา ว่าเสื้อผ้าพวกนี้เคยถูกขอทานใส่มาแล้ว พวกเขาจะต้องไม่มาซื้ออีกแน่นอน”
“พอถึงตอนนั้น ฉันจะดูสิว่าเธอจะทำยังไง” หยู่ชิงยิ้มกล่าวอย่างเย็นชา
พนักงานที่ชื่อเสี่ยวถงคนนี้ ไม่ได้เป็นเหมือนกับหยู่ชิง ที่มีเสี่ยคอยหนุน รายรับทั้งหมดของเธอ ล้วนมาจากผลงานการขายของเธอ
เงินเดือนขั้นต่ำที่เถ้าแก่จ่าย เพียงพอแค่ใช้จ่ายค่าอาหารการกินของเธอเท่านั้น ถ้าต้องการซื้อเครื่องสำอางที่มียี่ห้อหน่อย เงินแค่นั้นมันไม่พอหรอก
เสี่ยวถงส่าวหน้า กล่าว: “เธอทำแบบน้ำได้ยังไง? เธอทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เป็นการทำลายชามข้าวของฉันหรอกเหรอ?”
“แล้วยังไง ใครบอกให้เธอไม่ช่วยฉันล่ะ? พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันได้รับความไม่เป็นธรรม เธอไม่ช่วยฉันออกหน้ายังพอว่า นี่ยังไปเข้าข้างพวกเขาอีก”
หยู่ชิงยิ้มกล่าวอย่างเย็นชา: “นอกจากที่ผู้หญิงคนนั้นลองแล้ว ยังมีที่ผู้ชายสองคนนั้นลอง เธออย่าคิดว่าจะขายออกไปได้เลย”
หยู่ชิงทำเสียงฮึดฮัด ลูกค้าของทั้งสองร้าน ส่วนมากจะเชื่อมโยงถึงกัน และตัวหยู่ชิง หลังจากที่ได้รู้จักกับเสี่ยเลี้ยง ก็ได้มีความใกล้ชิดกับลูกค้าของตัวเองมากขึ้น
เพราะว่าถึงยังไงหยู่ชิงก็เคยได้ไปงานเลี้ยงไฮโซ กลับเสี่ยของตัวเองอยู่หลายครั้ง
เสี่ยวถงขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที ภายในใจรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เธออาจจะปฏิเสธไม่ให้พวกหลี่ฝางเข้ามาก็ได้
“ในเมื่อเสื้อผ้าที่พวกเราลองเมื่อกี้ไม่มีคนซื้อแล้ว งั้นก็ช่วยห่อใส่ถุงให้พวกเราเถอะ” หลี่ฝางหัวเราะเหอะ ๆ เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าว
“อะไรนะ?” หยบู่ชิงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เธอมองดูหลี่ฝาง: “นายคิดว่าเป็นเหมือนห่อมันเทศใส่ถุงหรือไง ยังให้ห่อให้ทั้งหมดด้วยนะ”
“นายรู้ไหมว่าเสื้อผ้าพวกนี้เป็นเงินเท่าไหร่? แต่ละชุดราคาหลายพันเชียวนะ โดยเฉพาะที่ผู้หญิงคนนี้ลอง ล้วนเป็นตัวที่ทั่วโลกกำลังฮิต มีบางตัวที่ราคาเป็นหมื่นแน่ะ แค่เสื้อธรรมดาชิ้นหนึ่ง ยังสามารถทำให้นายล้มละลายได้เลย นายยังบอกว่าจะซื้อทั้งหมด น่าตลกจริง ๆ หรือว่านายคิดขายไตหรือไง?”
หยู่ชิงหัวเราะขึ้นมา: “ดูนายผอมแห้งอย่างนี้ ขายไตก็คงไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่”
หลี่ฝางไม่ได้สนใจหยู่ชิงเลยสักนิด เพียงรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนตัวตลกสร้างความวุ่นวายคนหนึ่ง หลี่ฝางหันหน้า มองไปที่เสี่ยวถงแล้วกล่าว: “เอาใส่ถุงให้พวกเราเถอะ พวกเรารีบไป”
“นี่……เอาทั้งหมดเลยเหรอคะ?” เสี่ยวถงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เธอมองหลี่ฝางอย่างเหลือเชื่อ
เพราะไม่ว่าจะมองยังไง หลี่ฝางก็ไม่เหมือนคนมีเงินเลยสักนิด นอกจากหลี่ฝางแล้ว เหยนเสี่ยวน่ายิ่งไม่เหมือน มีเพียงหวางเสี่ยวโก๋ ที่แต่งตัวพอจะดูได้บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนคนที่จะมีปัญญาซื้อเวอร์ซาเช
ในเวลานี้ตอนที่หลี่ฝางบอกว่าจะจ่ายเงินสด แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อ
และในตอนนี้เอง หญิงสาวที่มีใบหน้าพิมพ์นิยมคนหนึ่ง ได้เดินเข้ามา เธอมองหยู่ชิงแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก: “หยู่ชิง ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? เธอทำงานอยู่ที่ร้านข้าง ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“แวะมาเล่น เธอนี่มันเก่งจริง ๆ เลยนะ คิดไม่ถึงว่าเธอจะสามารถจับคุณชายหยิ่นได้” หยู่ชิงกล่าวอย่างอิจฉาริษยา
เมื่อกี้หยิ่นเหล่ยได้โอบกอดหญิงงสาวคนหนึ่ง นั่นก็คือสาวใบหน้าพิมพ์นิยมคนนั้น เธอเหมือนกันกับหยู่ชิง ที่นับว่าเป็นดอกไม้ในแวดวงสังคม แต่เธอก็ไม่ได้โชคดีเหมือนสาวใบหน้าพิมพ์นิยม ที่ได้เข้าตาหยิ่นเหล่ย
สาวหน้าพิมพ์นิยมยิ้มเรียบ ๆ : “เธอเองก็ไม่เลว เสี่ยของเธอถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับคุณชายหยิ่น แต่ก็ดีกับไม่น้อย ฉันก็แค่ไม่เข้าใจ เธอก็มีเสี่ยเลี้ยงแล้ว แล้วทำไมเธอถึงยังทำงานอยู่อีกล่ะ?”
อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เขางานยุ่ง ไปทำงานนอกสถานที่ทุกวัน ฉันเลยหาอะไรทำ เพื่อฆ่าเวลาเล่น ๆ น่ะ” หยู่ชิงไม่พอใจเล็กน้อย
สาวหน้าพิมพ์นิยมอืมตอบรับ: “คุณชายหยิ่นค่อนข้างจะว่าง เนี่ย ก็เลยพาฉันออกมาช็อปปิ้ง อยู่กับฉันทุกวันแน่ะ”
สาวหน้าพิมพ์นิยมกล่าวอย่างโอ้อวดเล็กน้อย: “ฉันมาซื้อเสื้อผ้าสักสองสามชุด ว่าอีกสักสองสามวันจะออกไปเที่ยวกับคุณชายหยิ่นหน่อย”
สองสามชุด?
เมื่อได้ยินดังนั้น บนใบหน้าของหยู่ชิงก็มีท่าทีริษยามากขึ้นกว่าเดิม เสื้อผ้าไม่กี่ชุดนี้ คงเป็นเงินหลายหมื่นแล้ว เธอคบกับเสี่ยของเธอ หนึ่งเดือนก็ยังไม่เคยได้รับของขวัญที่มูลค่าเป็นหมื่นมาก่อนเลย สาวหน้าพิมพ์นิยมคนนี้พึ่งคบกับคุณชายหยิ่นเอง ก็ได้รับผลประโยชน์เช่นนี้แล้ว แข่งเรือแข่ง
พายได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้มันน่าโมโหจริง ๆ
สาวหน้าพิมพ์นิยมเดินเข้ามา และได้เห็นเข้ากับชุดที่เหยนเสี่ยวน่าใส่พอดี: “กระโปรงชุดนี้ไม่เลว ฉันชอบมันมาก ยังมีตัวอื่นอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วค่ะ ตัวนี้เป็นรุ่นลิมิเต็ด ในร้านของเรามีแค่ชุดนี้ชุดเดียวค่ะ” เสี่ยวถงกล่าวอย่างเรียบ ๆ
“โอเค งั้นก็ให้หล่อนถอดออกมาเถอะ” สาวหน้าพิมพ์นิยมกล่าว
“นี่……” เสี่ยวถงลังเลเล็กน้อย และสาวหน้าพิมพ์นิยมก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา: “ทำไม เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? หรือว่า เธอหูหนวกเหรอ? เธอรู้หรือเปล่า ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นของใคร? เชื่อไหมว่าแค่ฉันพูดคำเดียว ก็สามารถไล่เธอออกได้”
เสี่ยวถงรู้ว่าสาวหน้าพิมพ์นิยมนี่กำลังคบหากับหยิ่นเหล่ย และหยิ่นเหล่ยก็เป็นถึงลูกชายของเจ้านายของตัวเอง คำพูดของเขาประโยคเดียว สามารถทำให้เธอตกงานได้จริง ๆ ดังนั้นเสี่ยวถงจึงต้องเดินก้าวเท้าเล็ก ๆ เข้ามาที่ด้านหน้าของเหยนเสี่ยวน่าแล้วกล่าว: “คุณผู้หญิงคะ ได้โปรดถอดชุดนี่ออกมาด้วยค่ะ”
“ทำไมเหรอ? ฉันชอบชุดนี้มากเลยนะ ฉันไม่เพียงตัดสินใจซื้อ แถมยังว่าจะใส่ชุดนี้กลับไปเลยนะ” เหยนเสี่ยวน่าขมวดคิ้วกล่าว: “ซื้อของไม่ใช่ว่าใครมาก่อนได้ก่อนหรอกเหรอ?”
“ขอโทษด้วยนะคะ หล่อนเป็นผู้หญิงของนายน้อยของร้านเรา หล่อนถูกใจชุดนี้ ดังนั้นฉันก็เลยต้องขายให้หล่อนก่อน เอาอย่างนี้ คุณลองดูตัวอื่นได้ไหมคะ? เดี๋ยวดิฉันจะลดให้คุณเยอะ ๆ เลย” เสี่ยวถงกัดริมฝีปากกล่าว เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องขอโทษเหยนเสี่ยวน่ามาก ๆ เลย
ถ้าตามกฎแล้ว เสื้อผ้าชุดนี้ ควรที่จะขายให้กับเหยนเสี่ยวน่า แน่นอนว่า ถ้าเหยนเสี่ยวน่ามีปัญญาซื้อได้
ตอนนี้เองหยู่ชิงก็ได้เดินเข้ามา และกล่าวกับสาวหน้าพิมพ์นิยม: “ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงแค่คนจน ๆ ที่สวมสินค้าข้างทาง ชุดที่หล่อนใส่แล้ว เธอยังจะเอาอีกเหรอ”
และสาวหน้าพิมพ์นิยมก็หัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา: “ฉันบอกแล้วไง ฉันถูกใจ”
“อีกอย่าง เสื้อผ้าชุดเป็นรุ่นลิมิเต็ด ทำไมเหรอ ถ้าฉันไม่เอา แล้วเธอจะเอารึไง?” สาวหน้าพิมพ์นิยมมองหยู่ชิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นศัตรู
กระโปรงลิมิเต็ดตัวนี้ ติดราคาป้ายไว้ที่สามหมื่น สาวหน้าพิมพ์นิยมวางแผนที่จะถือโอกาสขณะที่กำลังเป็นที่รักมักใคร่ รีบสูบเงินจากกระเป๋าของหยิ่นเหล่ยให้ได้มากที่สุด
ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งถูกทิ้งขึ้นมา ยังน้อยก็ยังเหลือของพวกนี้อยู่ ถือว่าไม่ขาดทุน
สำหรับเรื่องเคยถูกใส่มาแล้วหรือเปล่านั้น มันสำคัญด้วยเหรอ?
“รีบถอดออกมาสิ” สาวหน้าพิมพ์นิยมเอ่ยกับเหยนเสี่ยวน่า: “ดูท่าทางหล่อนแล้ว ก็ไม่เหมือนคนที่มีปัญญาซื้อได้ หล่อนได้ใส่มานานแล้ว ก็นับว่าได้ลิ้มรสความเป็นเจ้าหญิงมามากพอแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“หลี่ฝาง เช็กบิล” เหยนเสี่ยวน่าหันไปพูดกับหลี่ฝาง
หลี่ฝางพยักหน้า จากนั้นก็หยิบบัตรตัวเองขึ้นมา แล้วยื่นออกไป: “รบกวนรูดบัตร”
“อ้อใช่ นอกจากตัวที่เพื่อนของฉันใส่แล้ว เสื้อผ้าที่พวกเราลองเมื่อกี้ ก็คิดรวมกันทั้งหมดเลย” หลี่ฝางกล่าวอย่างเรียบ ๆ
หลังจากที่สาวหน้าพิมพ์นิยมคำพูดนี้ได้ฟังดังนั้น เธอก็หัวเราะขึ้นมาทันที: “เสื้อผ้าที่นำออกมาจากราวแขนพวกนี้ ถูกพวกนายลองไปหมดแล้วสินะ? นายบอกว่านายจะเอาทั้งหมด? เหอะ ๆ นายรู้ไหมว่าเป็นเงินเท่าไหร่?”
“ไม่รู้ ดังนั้นช่วยฉันคิดหน่อยแล้วกัน” หลี่ฝางส่ายหน้า
ส่วนเสี่ยวถงมองดูท่าทางที่จริงของหลี่ฝาง เธอก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ: “คุณผู้ชายคะ คุณล้อเล่น หรือว่าต้องการจริง ๆ คะ?”
“เอาหมดเลย” หลี่ฝางพยักหน้ากล่าว: “ฉันไม่ได้ล้อเล่น บัตรก็เอาให้เธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากที่เสี่ยวถงได้ยินดังนั้น ก็หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมา และเริ่มคิดเงินจริง ๆ เมื่อหยู่ชิงและสาวหน้าพิมพ์นิยมเห็นดังนั้น ก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาพร้อมกัน
“นี่เสี่ยวถง เธอโง่หรือเปล่าน่ะ? นี่เธอยังคิดเงินให้เขาขึ้นมาจริง ๆ เธอคิดว่าเขามีปัญญาซื้อเหรอ?” หยู่ชิงกล่าว
ส่วนสาวหน้าพิมพ์นิยมคนนั้นก็ยิ่งกล่าวอย่างเย้ยหยันขึ้นไปอีก: “นั่นน่ะสิ ถ้าเขามีปัญญาซื้อได้หมดนี่จริง ๆ กระโปรงตัวนั้น ฉันก็จะตัดใจไม่เอาแล้ว”
“แต่ว่า ฉันดูยังไง เขาก็ไม่เหมือนคนที่จะมีปัญญาซื้อเลยสักนิด”
สาวหน้าพิมพ์นิยมมองหลี่ฝางและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เสี่ยวถงราวกับไม่ได้ยินเลยสักนิด เธอยังคงคิดเงินต่อไป ด้วยท่าทางจริงจังสุดขีด