ท่านจวนค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา แล้วพูดด้วยใบหน้าที่สบายๆว่า “พูดถูกแล้ว ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว คำที่พูดออกไป จะไม่ทำตามได้ยังไง?”
“ภายในสามวัน ฉันจะย้ายออกไปจากวิลล่าจูเซียนแห่งนี้ ถึงเวลานั้น วิลล่าจูเซียนแห่งนี้ก็จะกลายเป็นของเสี่ยวฝางแล้ว” ท่านจวนพูดด้วยรอยยิ้มที่สบายๆ
ถ้าเกิดบอกว่าท่านจวนไม่ปวดใจล่ะก็ แน่นอนว่านั่นต้องเป็นเรื่องโกหก
บางทีท่านจวนอาจจะไม่ได้เสียดายเงินห้าร้อยล้าน แต่ท่านจวนคนนี้ เขาอยู่ที่นี่มันนานกว่าเจ็ดปีแล้ว อีกอย่าง คฤหาสน์แห่งนี้ทุกๆทางเดิน ทุกๆการออกแบบ ล้วนถูกสร้างขึ้นตามความชื่นชอบของท่านจวน
แต่ว่า ท่านจวนก็ยังเหลือตัวเลือกเอาไว้
เขาบอกว่าหลังจากนี้สามวัน ถึงจะย้ายออกจากคฤหาสน์ แล้วมอบมันให้กับหลี่ฝาง
คิดว่า เขาเองก็คงจะเข้าใจดีแล้ว ภายในสามวันนี้ ถ้าหลอซ่าไม่กลับมา ก็แปลว่ากลับมาไม่ได้แล้ว
ถ้าเกิดถึงเวลานั้นหลอซ่าสามารถกลับมาได้ งั้นท่านจวน ก็มอบให้กับตระกูลหลี่เป็นการชดเชยก็แล้วกัน
ถ้าเกิดกลับมาไม่ได้ล่ะก็ งั้นสถานที่ของท่านจวนแห่งนี้ หลี่ฝาง ก็เอาไปไม่ได้
เพราะงั้น ท่านจวนก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร
ผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางและไอ้เด็กซนถึงจะถูกโหจื่อพูดเยาะเย้ย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ยังไงซะ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจวน พวกเขาก็ไม่กล้าเสียมารยาทอีกครั้ง
โหจื่อลูบท้องของตัวเองแล้วพูดว่า “ท่านจวน คนก็มากันครบแล้ว ยังไม่เริ่มกินข้าวกันอีกเหรอ? พอผมได้ยินว่าคุณจะเลี้ยงข้าว ผมเลยไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน”
ท่านจวนพยักหน้า และสั่งการไอ้เด็กซนผ่านทางสายตา
ไอ้เด็กซนเดินออกไป เพียงไม่นาน อาหารก็ถูกยกออกมา
อาหารแต่ละจาน ล้วนดูหรูหรา ท่านจวนหันไปพูดกับหลี่ฝางว่า “เสี่ยวฝาง รีบชิมดูสิ”
หลี่ฝางลังเลไปพักนึง ถึงค่อยขยับจับตะเกียบ
งานเลี้ยงที่มีเลศนัยแอบแฝงในครั้งนี้ หลี่ฝางเข้าใจมันดี
ด้วยเฉพาะไอ้ซือถูเฟย ยังเตือนหลี่ฝางเอาไว้ว่า ห้ามเขามาร่วมงานเลี้ยงนี้เป็นอันขาด
ข้างในอาหารเหล่านี้ จะใส่ยาพิษไว้รึเปล่าน่ะ?
แต่พอหลี่ฝางคิดดูดีๆ นี่เป็นถิ่นของท่านจวน ถ้าเกิดเขาต้องการทำอะไรตัวเขาล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องวางยาถูกไหม?
โหจื่อไม่ใช่ส้าวส้วย ถึงแม้โหจื่อจะเก่งมาก แต่ว่า โหจื่อแค่คนเดียว ก็ไม่สามารถต่อกรกับจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ในคฤหาสน์ถูกไหม?
เพราะงั้น หลี่ฝางจึงรู้สึกว่า ข้างในอาหารไม่น่าจะมียาพิษ
ท่านจวนคนนี้ ไม่น่าจะใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้ เพื่อทำร้ายตัวเองหรอก
อาหารไม่เพียงดูดี แถมรสชาติก็ยอดเยี่ยม หลังจากที่หลี่ฝางเริ่มขยับตะเกียบ ท่านจวนเองก็เริ่มลงมือทานขึ้นมาเหมือนกัน……
มีเพียงแค่ผู้หญิงที่สวมหน้ากากคนนั้น ที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน
โหจื่อมองผู้หญิงที่สวมหน้ากาก แล้วหัวเราะออกมา “เป็นไรไป หน้าตาขี้เหร่แล้วกินอาหารไม่เป็นเหรอ มา เดี๋ยวฉันป้อนเธอเอง”
พอโหจื่อพูดจบ ก็ใช้ตะเกียบคีบแตงกวาขึ้นมา แล้วคีบไปให้เธอ
และเป้าหมายของโหจื่อ แน่นอนว่าไม่ใช่ต้องการที่จะป้อนข้าวผู้หญิงสวมหน้ากาก เขาต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้ต่างหาก
แต่ว่า โหจื่อก็ล้มเหลว
ระหว่างนั้น ท่านจวนก็หยุดกระทำของโหจื่อ แล้วอธิบายกับโหจื่อว่า “เธอทานมาก่อนแล้ว”
“กินจนอิ่มแล้ว? ในเมื่อกินจนอิ่มแล้ว ทำไมถึงยังมานั่งเป็นอากาศธาตุในนี่อีกล่ะ” โหจือพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด
พอพูดจบ โหจื่อก็โยน ตะเกียบออกไปหนึ่งอัน แต่ผู้หญิงสวมหน้ากากหลบมันได้
แต่ว่าระหว่างที่หลบ ผู้หญิงสวมหน้ากากก็เผยใบหน้าออกมาส่วนนึง
“ทำไมกันน่ะ ฉันถึงรู้สึกคุ้นๆเธอยังไงก็ไม่รู้?”
ทันใดนั้น โหจื่อมองไปยังผู้หญิงที่สวมหน้ากาก ด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด
เวลานี้ ใบหน้าของโหจื่อ ได้เผยความโกรธออกมาเล็กน้อย “โหจื่อ แกจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว ถึงฉันเชิญแกมากินอาหารในถิ่นของฉัน แต่ก็ไม่เคยอนุญาตให้แกมาก่อกวนในโต๊ะอาหาร”
โหจื่อไม่ได้สนใจคำพูดของท่านจวน แตะกลับมองไปยังผู้หญิงสวมหน้ากาก แล้วถามว่า “ตกลงเธอเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องปิดบังตัวตน?”
“พวกเรารู้จักกันใช่ไหม?” โหจื่อจ้องมองไปยังผู้หญิงสวมหน้ากาก แล้วซักถามต่อ
หลี่ฝางดึงตัวโหจื่อแป๊บนึง เพื่อให้โหจื่อทำตัวมีมารยาทหน่อย ยังไงซะ ที่นี่ก็เป็นถิ่นของพวกเขา
และในเวลานี้ ใบหน้าของท่านจวนก็หมองลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “โหจื่อ ถ้าเกิดแกเองก็ทานจนอิ่มแล้ว ก็ไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่ห้องข้างๆเถอะ”
โหจื่อส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา “ให้ฉันออกไปน่ะได้ แต่ว่า ฉันอยากจะออกไปพร้อมกับเธอ”
ผู้หญิงสวมหน้ากากไม่ได้พูดอะไร ยืนขึ้นมาทันที แล้วเดิน ออกไปยังห้องข้างๆ
ส่วนโหจื่อมองหลี่ฝางแวบนึง แล้วพูดว่า “คุณชาย เดี๋ยวฉันกลับมา บนตัวผู้หญิงคนนั้น มีอะไรที่น่าสงสัย”
หลี่ฝางร้อนรนเล็กน้อย คิ้วขมวดขึ้นมาด้วยที่ไม่รู้ตัว แล้วพูดว่า “แกไม่คิดว่านี่เป็นการล่อเสือออกจากถ้ำเหรอ?”
สีหน้าของโหจื่อตกใจเล็กน้อย แล้วก็ส่ายหัว “ฉันเกือบจะหลงกลแผนของพวกเขาซะแล้ว”
พอพูดจบด้วยเสียงที่เบา โหจื่อก็หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่ แล้วพูดว่า “ต้องขอโทษด้วย ท่านจวน ฉันยังรู้สึกฉันยังกินไม่อิ่ม ขอกินต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน จริงสิ ยังมีตะเกียบเหลือไหม? ตอนนี้ฉันมีตะเกียบแค่อันเดียว จะให้กินยังไงล่ะ”
แผนของท่านจวนล้มเหลวแล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“แกอยากจะรู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันน่ะ?” ท่านจวนถาม
“โหจื่อ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในใจของแก แกเชื่อรึเปล่า?” ไอ้เด็กซนก็ช่วยพูดเสริมอยู่ข้างๆ
โหจื่อหัวเราะออกมาแวบนึง “ถ้าเกิดพวกแกไม่พูดแบบนี้ ฉันก็คงเดาไม่ออกจริงๆว่าเธอเป็นใครกันแน่”
“ศิษย์พี่ เป็นแกเองเหรอ?”
โหจื่อหันหน้า มองไปยังห้องข้างๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ กว่าพวกเราจะเจอกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทำไมต้องปิดบังตัวตนกันด้วย ทำไมเหรอ ไม่เห็นแค่ไม่กี่วัน ก็กลายเป็นคนขี้อายแล้วเหรอ?”
สีหน้าของท่านจวนเปลี่ยนไปในทันที เขานึกไม่ถึงว่า โหจื่อจะเดาตัวตนของผู้หญิงสวมหน้ากากได้เร็วขนาดนี้
ตงฟางหวั่นเอ๋อ!
หรือก็คือฟีนิกซ์
ผ่านไปสักพักฟีนิกซ์ ก็เดินออกมาจากห้องข้างๆ หลังจากที่เธอออกมา ก็จ้องมองไอ้เด็กซนด้วยความดุเดือด
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะคำพูดเมื่อกี้ของไอ้เด็กซน ไม่มีทางที่โหจื่อจะเดาออกว่าผู้หญิงสวมหน้ากากก็คือฟีนิกซ์
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ฟีนิกซ์จะทรยศ เป็นความจริงที่โหจื่อเคยรู้สึกดีกับฟีนิกซ์
เวลาเดียวกัน ฟีนิกซ์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่สนิทที่สุดของโหจื่อ
แต่น่าเสียดาย คนที่สนิทที่สุดคนนี้ ตอนนั้นเกือบจะฆ่าโหจื่อ
และความรักที่โหจื่อมีให้กับฟีนิกซ์เอง ก็หายไปในชั่วเวลานั้นเช่นกัน
ฟีนิกซ์เอาผ้าคลุมหน้าที่อยู่บนหัวออก และเผยใบหน้าที่งดงามออกมา โหจื่อหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ไม่เห็นแค่ไม่กี่วัน สวยขึ้นอีกแล้วน่ะ? นึกไม่ถึงว่า แกจะปรากฏตัวออกมาในคฤหาสน์ของท่านจวน
“จริงสิ ศิษย์พี่……ฉันได้ยินมาว่า แกยังมีชื่ออีกชื่อนึง ตงฟางหวั่นเอ๋อ?”
โหจื่อยิ้มอย่างชิวๆ
หลังจากที่โหจื่อพูดจบประโยคนี้ สีหน้าของตงฟางหวั่นเอ๋อ ก็เต็มไปด้วยความสับสน
และสีหน้าของท่านจวนเอง ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูแย่เล็กน้อย
ชัดเจนมากว่า ความลับนี้ มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่อง
ตงฟางหวั่นเอ๋อนึกไม่ถึงว่าตัวตนของตัวเอง จะถูกคนอื่นเปิดเผยเร็วขนาดนี้ จึงแสดงความสับสนออกมาอย่างชัดเจน
โหจื่อมองทานจวนแวบนึง แล้วถามว่า “ฉันว่านะท่านจวน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แกกับคนของตระกูลตงฟาง ใกล้ชิดกันขนาดนี้?”
“ฟีนิกซ์เป็นคนของตระกูลตงฟาง? ทำไมฉันถึงไม่รู้ล่ะ? ที่ฉันเรียกฟีนิกซ์มา ก็แค่อยากให้พวกแกได้ระลึกความหลังก็เท่านั้นเอง” ท่านจวนรีบพูดแก้ตัว
“ระลึกความหลัง? เรียกเธอมาเพื่อมาระลึกความหลังกับฉัน หรือเรียกเธอมาเพื่อฆ่าฉันกันแน่” โหจื่อพูดด้วยเสียงที่เย็นชา
“ศิษย์พี่ ฉันยังจำได้ ตอนนั้นพวกเราได้สัญญากันเอาไว้ เจอกันครั้งหน้า ต้องประลองฝีมือกันหน่อย” สีหน้าของโหจื่อ เปลี่ยนเป็นที่สีหน้าที่ดุร้าย
สีหน้าของฟีนิกซ์กลับมาเป็นใบหน้าที่สงบนิ่ง “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะฆ่าแกซะ”
ดวงตาของฟีนิกซ์ ในเวลานี้ เหล่ลงมาเล็กน้อย แล้วมองไปยังโหจื่อ ฟีนิกซ์พูดว่า “ฉันเองก็อยากจะเห็นสักหน่อย สามปีมานี้ แกที่อยู่ในการดูแลของลูกพี่และอาจารย์ จะพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
“แกจะต้องเสียใจ”
โหจื่อเผยรอยยิ้มออกมา “การพัฒนาของฉัน จะต้องเหนือความคาดหมายของเธอแน่”
“หวังว่าฝีมือของแก จะพัฒนามากกว่าฝีปากของแกน่ะ” พอฟีนิกซ์พูดจบ ก็พุ่งไปหาโหจื่อ เพื่อจับตัวเขา
ฟีนิกซ์ที่สวมชุดฮันฟู แต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล ตอนที่เขาเข้ามาจับตัว แคระไอ้เด็กซนจู่ๆก็ลงมือ ตะเกียบหนึ่งคู่ที่อยู่บนมือ ก็ปาตรงไปทาง ใบหน้าของโหจื่อ
โหจื่อแค่เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา จากนั้นก็สวมกลับไปหนึ่งฝ่ามือ ทำให้ไอ้เด็กซนปลิวถอยออกไปราวๆสองเมตร
“แค่ฝีมือของไอ้คนไร้น้ำยาอย่างแก ก็คิดที่จะมาวัดกับฉันงั้นเหรอ?” โหจื่อมองไอ้เด็กซน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกว่า “ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
พอไอ้เด็กซนถูกฝ่ามือจนล่าถอยกลับมา ไอ้ผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ จากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไป พุ่งตรงไปยังอกของโหจื่อ
โหจื่อส่งเสียงเฮิงด้วยความเย็นชา สวมกลับไปหนึ่งหมัด ทำให้ผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางถอยกลับไปหลายก้าว
ส่วนฟีนิกซ์ที่อยู่ข้างๆ กลับแสดงใบหน้าที่ไม่พอใจออกมาในเวลานี้
เดิมทีฟีนิกซ์ก็มาถึงข้างหน้าของโหจื่อแล้ว แต่จู่ๆก็หยุดมือของตัวเอง เธอจ้องมองท่านจวนด้วยความเย็นชา แล้วพูดว่า “ท่านจวน ขอให้คนของคุณ อย่ามายุ่งกับการต่อสู้ของพวกเรา”
“พวกแกถอยออกมาก่อน” ท่านจวนจ้องมองไอ้เด็กซนกับผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางด้วยความดุดัน
แค่พริบตาเดียวก็แพ้โหจื่อสักแล้ว ใบหน้าของท่านจวนเอง ก็ไม่ได้ปลื้มสักเท่าไหร่
ท่านจวนหันกลับไปมองหลี่ฝางแล้วพูดว่า “มีดมันไม่มีตา เสี่ยวฝาง พวกเราไปนั่งดูอีกทีนึงเถอะ พวกเราจะได้ไม่ต้องโดนลูกหลงไปด้วย แกว่างั้นไหม?”
หลี่ฝางอืมไปคำนึง อยู่ข้างๆ ไม่เพียงแค่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรโหจื่อได้ กลับกัน ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวถ่วงของโหจื่ออีกด้วย
เพราะงั้นหลี่ฝางจึงลุกขึ้นมา และเดินไปอยู่ข้างๆท่านจวน
“นี่เป็นชาใหม่ที่ฉันเพิ่งเลือกมา ลองชิมดู รสชาติไม่เลวเลย” ท่านจวนรินน้ำชาอย่างใจเย็น ให้กับหลี่ฝาง แต่ว่าหลี่ฝางในตอนนี้ ยังจะมีอารมณ์มาดื่มชาอยู่อีกเหรอ
ทั้งสายตาของหลี่ฝาง และจิตใจ ล้วนอยู่บนตัวของโหจื่อ
โหจื่อจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ฝีมือของตงฟางหวั่นเอ๋อ หลี่ฝางเคยเห็นมาก่อนแล้ว ฝีมือการยิงปืนไร้ที่ติ การต่อสู้ด้วยมือเปล่าก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน
หลี่ฝางโมโหเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ท่านจวนเชิญตงฟางหวั่นเอ๋อมา จะต้องเอามาต่อกรกับโหจื่ออย่างแน่นอน และพอจัดการโหจื่อได้แล้ว งั้นตัวเอง ก็กลายเป็นหมูที่อยู่บนเขียงของเขา ที่รอให้เขาฆ่าก็เท่านั้นเอง
ถึงว่าล่ะทำไมซือถูเฟยถึงบอกกับตัวเองว่า อย่าไปกินข้าวที่วิลล่าจูเซียนเป็นอันขาด ชัดเจนว่า นี่เป็นกับดักที่ถูกวางเอาไว้
“เสี่ยวฝาง เล่นหมากรุกเป็นไหม?”
ท่านจวนมองหลี่ฝาง แล้วถามขึ้นมาเล่นๆ
หลี่ฝางส่ายหัว แล้วพูดว่า “เวลาในตอนนี้ ผมไม่มีอารมณ์จะเล่นหมากรุก ท่านจวน พวกเราเอาไว้เล่นคราวหน้าก็แล้วกัน”
“ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคราวหน้าก็แล้วกัน คฤหาสน์ของฉันใหญ่มาก ข้างหลังคฤหาสน์ยังมีทั้งภูเขาและน้ำ แถมข้างหลังป่ายังสามารถล่าสัตว์ได้อีก เอาอีกไหม เสี่ยวฝางแกอยู่เล่นที่นี่สักสองสามวันเป็นไง”
ท่านจวนมองไปยังหลี่ฝางแล้วพูดว่า “ยังไงซะ ภายในสองวันนี้พ่อแกก็คงยังไม่กลับมา พอรอให้พ่อแกกลับมาแล้ว ฉันก็จะปล่อยแกกลับไป เป็นไง?”
ดวงตาของหลี่ฝาง เหล่ลงมาเล็กน้อยในทันที
เขามองไปยังท่านจวน ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแผนการของท่านจวนแล้ว
หลี่ฝางพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “แกคิดจะกักขังฉันไว้งั้นเหรอ?”
“กักขัง? ทำไมถึงพูดอะไรแย่ๆแบบนั้นกันล่ะ แกเป็นหลานชายของฉัน ฉันที่เป็นผู้อาวุธโสของแก อยากจะให้แกอยู่เล่นที่นี่สักสองสามวัน มีอะไรแปลกรึไง?”
ท่านจวนพูดอย่างสบายๆว่า “ทำไม เสี่ยวฝาง แกรู้สึกว่าคุณลุงคนนี้จะทำร้ายแกรึไง?”
หลี่ฝางส่ายหัว แล้วมองไปยังท่านจวน แล้วพูดด้วยเสียงที่เย็นชาไปตรงๆว่า “แน่นอนว่าลุงจวนไม่ทำร้ายฉันอยู่แล้ว แต่ ฉันคิดว่าลุงจวน คุณเองก็คงไม่ได้จะหวังดีอะไรหรอกมั้ง?”
หลี่ฝางไม่สนแล้วว่าจะผิดใจกันไหม ถ้าเกิดยังเล่นเกมป่วนประสาทต่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้ เล่นเกมจิตวิทยา เล่นเกมกลยุทธ์ ตัวเองล้วนไม่ใช่คู่มือของเขา
เพราะงั้น ก่อนที่หลี่ฝางจะมา ลุงเฉียนจึงได้บอกกับหลี่ฝางเอาไว้ว่า ให้หลี่ฝางอย่าได้ลังเล
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลุงเฉียนก็จะคอยซัพพอร์ตเอง
ท่านจวนมองหน้าหลี่ฝาง “เสี่ยวฝาง แกเข้าใจอะไรในตัวคุณลุงผิดไปรึเปล่า? ไม่กี่วันก่อน ไอ้เด็กซนไปถิ่นของแก แล้วแย่งคนมาหลายคน เรื่องนั้นล้วนเป็นความผิดของเขา แต่ว่าเรื่องนี้ ฉันไม่ได้รับรู้มาก่อน ฉันก็แก่มากแล้ว มีธุรกิจหลายอย่าง ฉันก็มอบให้ไอ้เด็กซนเป็นคนจัดการไปแล้ว แต่เขาเองก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองตระกูลเรา เพราะงั้นจึงได้มีเรื่องผิดใจกับแก แกเองก็สั่งสอนเขาแล้วไม่ใช่รึไง? ทำไม หรือว่าข้างในจิตใจจยังไม่ยอมยกโทษให้พวกเรารึไง?”
หลี่ฝางยิ้ม แล้วพูดว่า “เรื่องนั้น มันผ่านไปแล้ว”
“แต่ว่าลุงจวน เมื่อคืน ลูกน้องของคุณ จู่ๆก็ตายไปหลายสิบคน เรื่องนี้ คุณรู้ไหมว่าเป็นฝีมือของใคร?”
หลี่ฝางพูดต่อ “เป็นฝีมือตระกูลหลี่ของพวกเรา”