นักฆ่าคนนี้ตกตะลึงตาค้าง ความเร็วขนาดนี้สามารถที่จะจับแขนของตัวเองไว้ได้ แต่ว่าด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน ไม่ได้ทำให้เขาตกอยู่ในความหวาดผวาเลย เขากลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว ฝ่ามือแบออก มีดก็หลุดจากมือตกลงมา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ไปรับมีดเอาไว้ จากนั้นก็ฟันไปยังหลี่ฝาง
หลี่ฝางหลบพ้นไปได้
หลี่ฝางหรี่ตายิ้มเล็กน้อย มองดูนักฆ่าคนนั้นแล้วยิ้มอย่างเหยียดหยาม
จากนั้นหลี่ฝางก็เก็บมีดในมือเอาไว้ นักฆ่าคนนี้ยิ้มอย่างเยือกเย็น “ความทะนงตัว ย่อมต้องแลกกับบทเรียนที่ล้ำค่า”
นักฆ่าคนนี้รู้ว่าหลี่ฝางกำลังจะทำอะไร นั่นคือสังหารเขาด้วยมือเปล่านั้นเอง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสนามรบ ก็คือการประมาทคู่ต่อสู้
ตอนนี้หลี่ฝางดูเหมือนว่าจะฝ่าฝืนกฎข้อนี้เสียแล้ว
หลี่ฝางยิ้มเล็กน้อย แล้วโบกมือให้กับนักฆ่าคนนี้ ส่วนนักฆ่าคนนี้ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วก็แสดงบทซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง หลี่ฝางจับแขนของเขาไว้ ส่วนครั้งนี้ มีดของเขาก็หลุดมือตกลงมาอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนหลี่ฝางยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว แย่งเอามีดของเขามาได้ ทันใดนั้น หลี่ฝางก็รู้สึกว่ามีอายเย็นผ่านเข้ามาปะทะตัว นักฆ่าคนนี้ชักมีดอีกด้ามในแขนเสื้อของเขาออกมา แล้วใช้มีดนั้นฟันเข้าไป ในระหว่างที่มีดเฉียดผ่านไปนั้น หลี่ฝางรู้สึกขนหัวลุกไปทั่วทั้งตัว
เพราะว่าหากถูกมีดแทงแล้ว งั้นชีวิตของเขาก็ต้องจบลงอย่างแน่นอน
ในนาทีนี้เอง หลี่ฝางรู้สึกประสาทตื่นตัวขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงปั้งดังลั่นขึ้น กระสุนลูกหนึ่งเร็วกว่ามีดของนักฆ่าคนนั้นนิดเดียว
โหจื่อลงมือแล้ว ยิงปืนนัดเดียวถูกมีดในมือของนักฆ่าหลุดมือออกไป
หลี่ฝางรอดพ้นจากอันตรายอย่างราบรื่น จากนั้น หลี่ฝางก็ไม่ได้ยื้อต่อไปอีก แต่กลับใช้มีดในมือของตัวเอง แทงเข้าไปยังร่างของนักฆ่าคนนั้น
ในใจของหลี่ฝางรู้สึกสับสนมาก ภายใต้ความโชคดีก็รู้สึกตำหนิตัวเอง เมื่อกี้ตัวเองเกือบตายอยู่ด้วยน้ำมือของเขาแล้ว ส่วนใบหน้าของลุงเฉียนนั้น ดูเหมือนสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
พวกนักฆ่าเหล่านั้น หลังจากที่ถูกฆ่าตายหมดแล้ว รถยนต์ที่จอดอยู่ไม่กี่คันนั้นก็ค่อยๆขับเคลื่อน มุ่งมายังทิศทางของหลี่ฝาง แล้ววิ่งชนเข้ามาทันที ส่วนโหจื่อก็รีบชักปืนขึ้นมา เล็งไปที่ตำแหน่งคนขับรถคันนั้น
แต่ว่า รถของคนพวกนี้ ล้วนติดตั้งกระจกกันกระสุนทั้งนั้น
เมื่อเห็นรถขับเคลื่อนเข้ามาใกล้ประชิดตัว เป้าหมายของพวกเขา ก็คือให้หลี่ฝางถูกรถชนตาย ส่วนโหจื่อก็ย้ายตำแหน่งปากกระบอกปืนเปลี่ยนจากที่คนขับ ไปยังยางล้อรถของพวกเขา
ปั้งปั้งๆเสียงปืนดังติดต่อกันหลายนัด กระสุนของโหจื่อก็ยิงจนหมดแล้ว ส่วนยางล้อรถของพวกนี้ก็ถูกยิงแตกหมดแล้ว
รถยนต์หยุดเคลื่อนที่แล้ว คนที่อยู่บนรถก็ลงมาจากรถทั้งหมด
เมื่อคนพวกนี้ลงมารถแล้ว ใบหน้าของลุงเฉียนก็เปลี่ยนสีทันที
ลุงเฉียนมองดูคนพวกนี้ สีหน้าสับสน “ทำไมถึงเป็นพวกแกได้?”
ไม่เพียงแต่ลุงเฉียน แม้แต่สีหน้าของโหจื่อ ก็ยังแสดงอาการเหลือเชื่อออกมาให้เห็น
พวกคนเหล่านี้ ล้วนเป็นเพื่อนเก่าแก่ของลุงเฉียนทั้งนั้น
ตอนนั้น พวกเขาอยู่กับท่านจวน ร่วมมือร่วมใจกับหลอซ่า ช่วยท่านจวนก่อร่างสร้างตัว ขยายอาณาจักรขึ้นมาได้
แต่ว่าเมื่อสามปีก่อน สี่ตระกูลใหญ่ลงมือทำร้ายหลอซ่าและกดดันท่านจวน ทั้งสี่คนนี้ก็ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว
ตอนนั้น ลุงเฉียนยังไปร่วมพิธีงานศพของพวกคนเหล่านี้เลย แต่ว่าตอนนี้ พวกเขากลับยืนตัวเป็นๆอยู่ตรงหน้าตัวเอง
หรือจะเห็นผีแล้ว?
เหตุการณ์ตรงหน้านี้ เหลือเชื่ออะไรขนาดนั้น แต่ว่าลุงเฉียนเข้าใจดีว่า คนพวกนี้ ไม่ใช่ผีแน่นอน แต่เป็นคนเป็นๆทั้งนั้น
“สี่ผู้พิทักษ์เหรอ?”
โหจื่อมองดูสี่คนนี้ ด้วยท่าทีที่เยือกเย็น “ที่แท้พวกแกยังไม่ตาย”
ตอนนั้นโหจื่อตั้งชื่อแบบโง่ๆให้พวกสี่คนนี้ นั่นก็คือสี่ผู้พิทักษ์ เพราะว่าพวกเขาสี่คนนี้ ตอนนั้นได้ติดตามดูแลใกล้ชิดอยู่เคียงข้างท่านจวนอย่างไม่ห่างสายตา คอยปกป้องคุ้มครองท่านจวนมาโดยตลอด
การปรากฏตัวของพวกเขา ไม่เพียงแต่ทำให้โหจื่อและลุงเฉียนตกตะลึง แล้วก็ยังเปิดโปงผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้……
วันนี้สถานตากอากาศถูกระเบิด ไม่ใช่คนของสี่ตระกูลใหญ่ แต่กลับเป็นท่านจวนต่างหาก
หนึ่งในคนพวกนั้นมองดูลุงเฉียนแล้วยิ้ม “เจ้าเฉียน ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ แต่แกดูเหมือนหนุ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
“จางหลง แกยังไม่ตายจริงเหรอ?”
ลุงเฉียนขมวดคิ้ว “ตอนนั้น แกนอนอยู่ในโลง ก็ไม่มีชีพจรและลมหายใจแล้วนี่”
ลุงเฉียนจำได้แม่นยำว่า สามคนที่เหลือ อาจจะสามารถแกล้งตายได้ แต่คนที่ชื่อว่าจางหลงคนนี้ ลุงเฉียนเคยจับชีพจรเขามาก่อน
อย่างน้อย ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างจางหลงและลุงเฉียนนั้น สนิทกันมากที่สุด และมักจะดื่มเหล้าด้วยกันเสมอ
จางหลงหัวเราะ “ตอนนั้นฉันตายไปแล้วจริงๆ แต่ว่าตอนหลัง มีคนช่วยให้ฉันฟื้นขึ้นมาได้”
“ตอนแรก พวกเราทั้งหมด ได้กินยาชนิดหนึ่ง ยาชนิดนี้หลังจากดื่มกินแล้ว ก็จะเข้าสู่สภาวะไร้วิญญาณ ต่อให้เป็นหมอก็ตรวจหาไม่พบ เพียงแค่ภายใน24ชั่วโมง ก็มีคนมาทำการฝังเข็มให้พวกเรา พวกเราก็สามารถที่จะฟื้นคืนชีพมาได้แล้ว” จางหลงพูดอย่างเปิดเผย
ความจริงของเรื่องนี้ ดูเหมือนลุงเฉียนรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ ลุงเฉียนมองดูจางหลงแล้วถามว่า “พวกแกทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย?”
“ง่ายมาก พวกเราแค่ไม่อยากจะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกแกเท่านั้นเอง” จางหลงพูด
ลุงเฉียนจำได้อย่างชัดเจนว่า ที่การท่านจวนเลือกที่จะอำลาวงการเป็นเพราะว่าการสูญเสียสี่ผู้พิทักษ์พวกนี้
หลังจากที่สี่คนนี้ตายแล้ว สภาพจิตใจของท่านจวน เปลี่ยนแปลงไปแย่ลงมาก และในเวลานั้นเอง ท่านจวนก็ถือโอกาสอ้างเหตุผลนี้ บอกว่าเบื่อหน่ายการรบราฆ่าฟันในยุทธภพแล้ว จึงต้องการที่จะหลบซ่อนตัวไม่ยุ่งกับโลกภายนอกอีกต่อไป
ส่วนหลอซ่านั้น ด้วยความจำเป็น จึงต้องแบกรับภาระไว้แต่เพียงคนเดียว
ลุงเฉียนขมวดคิ้ว มองดูจางหลง “พวกแกแกล้งตาย เป็นแผนการของท่านจวนใช่ไหม?”
จางหลงไม่ได้พูดอะไร เป็นการยอมรับการคาดเดาของลุงเฉียน ลุงเฉียนขมวดคิ้วแน่นมากขึ้นกว่าเดิม มองดูจางหลง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เพราะอะไร? ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย? ตอนนั้นพวกเรารักใคร่เหมือนพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นท่านจวน หรือว่ากับพวกแก พวกเราไม่เคยทำผิดอะไรเลย พวกแก……”
ถ้าหากว่าสี่ผู้พิทักษ์นี้ไม่ได้แกล้งตาย ถ้าหากว่าท่านจวนไม่ได้ถอนตัวออกจากวงการแล้วละก็ ตอนนั้นผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนั้น ก็สามารถที่จะพลิกผันกลับมาได้
การหนีตายเมื่อสามปีก่อน ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่วนคนที่ตายอย่างอนาถในระหว่างการหลบหนีพวกนั้น ก็ไม่ต้องเสียสละชีวิตตัวเองแล้ว
ลุงเฉียนกัดฟันมองหน้าจางหลง “เพราะอะไรกัน?”
“ตอนนั้นพวกเรา มีเพียงลูกพี่ใหญ่แค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือท่านจวน แต่ว่าคนอย่างพวกแกพวกนี้ ถึงแม้ว่าปากก็เรียกท่านจวนเป็นลูกพี่ใหญ่ แต่ความจริงแล้ว ในใจพวกแก ก็ยอมรับเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือหลอซ่า มีหลายครั้งที่ท่านจวนออกคำสั่งพวกแก แต่ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี มีเพียงคำพูดของหลอซ่าเท่านั้น พวกแกจึงจะเชื่อฟัง นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่พวกเราต้องแกล้งตาย”
จางหลงพูดว่า “พวกเราเกิดความแตกแยกตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่า พวกแกไม่ได้สังเกตเท่านั้นเอง ถึงแม้หลอซ่าไม่ได้คิดคดทรยศก็จริง แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลังพร้อมที่จะต่อต้าน แกลองคิดทบทวนให้ดี พวกเราแผ่ขยายถึงสุดท้ายแล้ว ในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุด ถึงแม้ทุกคนรู้ว่าท่านจวนเป็นลูกพี่ใหญ่ที่แท้จริงก็ตาม แต่ว่าคนที่เขานับถือศรัทธาจริงๆ กลับคือหลอซ่า ขอเพียงให้หลอซ่าพูดเพียงคำเดียว พวกเขาก็สามารถที่จะสังหารท่านจวนได้แล้ว”
“ดังนั้นท่านจวนจึงเกรงกลัวเหรอ?”
ลุงเฉียนถามอย่างเรียบๆ
จางหลงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกแก แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“ดังนั้น เมื่อสามปีก่อนที่พวกเราถูกคนไล่ล่า ความจริงแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าพวกเรามีอิทธิพลต่อผลประโยชน์ของสี่ตระกูลใหญ่ แต่เป็นเพราะว่าท่านจวนวางแผนอยู่เบื้องหลัง ใช่ไหม?” ลุงเฉียนถามพลางขมวดคิ้ว
จางหลงไม่ได้พูดอะไร “อันนี้ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ท่านจวนล่ะ เขามาด้วยหรือเปล่า ฉันอยากจะพบเขา จะถามเขาด้วยตัวเอง” ลุงเฉียนพูด ส่วนจางหลงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ท่านจวนไม่ได้มา ฐานะอย่างแกยังไม่คู่ควรที่จะพบท่านจวน ถ้าหลอซ่ากลับมาแล้ว ท่านจวนอาจจะมาด้วยตัวเองสักครั้งก็ได้”
“เป้าหมายของพวกแกที่มาคืออะไร?” ลุงเฉียนหัวเราะ “ฆ่าพวกเรา ใช่ไหม?”
“ส่งท่านลู่คืนมา แล้วเอาลูกชายของหลอซ่ามาให้พวกเรา พวกเราก็จะไว้ชีวิตแกไป” จางหลงพูด จงใจเลือกที่จะมองข้ามโหจื่อไป โหจื่อขมวดคิ้ว มองหน้าจางหลงพูดอย่างไม่พอใจว่า “อะไรกันนี่ ฉันยังมีชีวิตตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงนี้ มองไม่เห็นเหรอไง? หรือว่าตาบอดกันแน่?”
“ฉันยังจำได้เมื่อก่อน แกยังเรียกฉันว่าพี่หลงเลย” จางหลงพูดพลางมองหน้าโหจื่อ
โหจื่อแสยะยิ้ม “ใช่สิ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เป็นอะไรเลย แกก็เป็นผู้พิทักษ์แล้ว แต่ว่าตอนนี้ แกก็เป็นแค่ไอ้งั่ง แต่ฉันเป็นถึงท่านโหแล้ว ต่อให้เจ้านายแกท่านจวนเมื่อเห็นฉันแล้ว ยังต้องเคารพนอบน้อมเลย”
“รนหาที่ตาย ฉันจะสั่งสอนแกก่อน”
สายตาของจางหลงส่องประกายความโหดร้าย หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว ก็กระโดดเข้าไปเพื่อจะจับโหจื่อ
“เมื่อสามปีก่อน ฉันกลัวแก แต่สามปีให้หลัง แกควรจะกลัวฉันแล้ว”
โหจื่อแสยะยิ้ม สายตาเปล่งประกายรัศมีเจิดจ้า
ทันใดนั้น ภายในตัวของโหจื่อก็ระเบิดพลังมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา เขาตรงเข้าไปขวางระหว่างทางของจางหลงเอาไว้
ส่วนอีกสามคนนั้น หวางเชา เฉินเสี่ยว ยังมีหม่าเฟิง ต่างก็ยืนอยู่ทางนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยมองดูสองคนนี้ต่อสู้กัน พวกเขาเลือกที่จะไม่เข้าไปช่วยเลย เป็นเพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าโหจื่อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจางหลงอย่างแน่นอน
หลังจากที่หวางเชามองดูสักครู่แล้วขมวดคิ้วทันที “นึกไม่ถึงเลยว่า โหจื่อไอ้หมอนี่ ก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ ยังจำได้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว เขาไม่เคยที่จะได้เข้าใกล้ตัวของเสี่ยวหลงได้เลย”
สามปีที่แล้ว โหจื่อในสายตาของสี่ผู้พิทักษ์นี้ เป็นเพียงแค่มดตัวน้อยนิดที่มีชีวิตเท่านั้น แต่ว่าพละกำลังโหจื่อที่ระเบิดออกมาจากตอนนั้น ทำให้พวกเขาจะต้องไตร่ตรองดูใหม่แล้ว
ส่วนเฉินเสี่ยวแสดงสีหน้าที่เป็นห่วง “เกรงว่าเสี่ยวหลงจะแพ้ให้กับโหจื่อสิ”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ถึงแม้โหจื่อจะล้ำหน้าไปไกลก็จริง แต่คิดจะล้ำหน้าเกินเสี่ยวหลง มันเป็นไปไม่ได้หรอก? เสี่ยวหลงฝึกวรยุทธ์มานานเท่าไหร่แล้วล่ะ ต่อให้โหจื่อฝึกฝนมาก็ไม่น่าเกินสามปีเท่านั้นเอง” หวางเชาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
ตอนนี้โหจื่อ สู้กับจางหลงดูเหมือนว่าจะเสมอกัน แต่ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญก็จะดูออกได้ว่า แท้จริงแล้วโหจื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมาก
เพราะว่าลมหายใจของโหจื่อ รักษาระดับอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ได้แสดงล่องลอยที่สับสนปรากฏให้เห็น ส่วนจางหลงเวลานี้ ไม่เพียงแต่ลมหายใจสับสน อีกทั้ง วิธีการต่อสู้ก็ยังแสดงช่องโหว่ออกมาให้เห็นอีกด้วย
โหจื่อนิ่งเฉยมาก รักษาจังหวะการย่างก้าวสม่ำเสมอ หลี่ฝางรู้สึกว่า ดูเหมือนโหจื่อกำลังซ่อนเร้นพละกำลังของตัวเองเอาไว้
ทันใดนั้น โหจื่อใช้พลังฝ่ามือตบลงไปยังหน้าอกของจางหลง จนทำให้จางหลงถึงกับกระอักเลือดออกมา
หลังจากกระอักเลือดสดออกมาแล้ว จางหลงก็ถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนเฉินเสี่ยวกำลังเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปนั้น โหจื่ออ้าปากกว้าง แล้วซัดด้วยพลังฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง ตบลงไปตรงหน้าอกของจางหลงอีกครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ฝ่ามือที่ฟาดไปครั้งนี้ โหจื่อแทบจะใช้พละกำลังทั้งหมดในตัว ทำให้หน้าอกของจางหลงเกิดเป็นหลุมใหญ่ปรากฏขึ้นมา
หลุมที่ปรากฏขึ้นมานี้ ทำให้ใบหน้าของลงเฉียน แสดงถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมา
จางหลงเคยเป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุดของลงเฉียน ตอนนั้นที่จางหลงแกล้งตาย ลุงเฉียนเศร้าโศกเสียใจมาก เขายังเคยเข้าพิธีเฝ้าหน้าโลงศพให้กับจางหลงหนึ่งวัน แต่ว่านึกไม่ถึงเลยว่า การตายของจางหลงครั้งนั้น ที่แท้ก็เป็นแผนการที่ชั่วช้า
แต่ในครั้งนี้ พลังตบฝ่ามือของโหจื่อนี้ ทำให้จางหลงไม่มีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน
เฉินเสี่ยวขมวดคิ้ว ซัดไปยังไหล่ของโหจื่อหนึ่งที ทำให้เขาถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากที่เฉินเสี่ยวพยุงร่างของจางหลงไว้นั้น จางหลงก็ไม่มีลมหายใจแล้ว ตายอย่างที่ไม่สามารถจะตายได้อีกครั้งแล้ว
“แกใช้เล่ห์กลตุกติก”
เฉินเสี่ยวรู้ว่า ถ้าหากโหจื่อเริ่มใช้พลังเต็มที่ตั้งแต่แรกแล้ว จางหลงก็ไม่ต้องตายในเงื้อมมือของเขาแล้ว แต่ว่าก็ยังคงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
โหจื่อซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงของตัวเองตั้งแต่แรก เป้าหมายก็คือทำให้จางหลงคิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะได้ หลังจากที่จางหลงสู้จนอ่อนล้าแล้ว ขณะที่เผยจุดอ่อนออกมานั้น โหจื่อจึงระเบิดพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาทันที จู่โจมจัดการจางหลงให้อยู่หมัดเลยทีเดียว
โหจื่อยิ้มเล็กน้อย มองดูเฉินเสี่ยวเแล้วพูดว่า “แกมันโง่หรือไง นั่นคือเล่ห์กลเหรอ? นั่นเรียกว่าถ่อมตัวเข้าใจไหม? ถ้าฉันใช้พลังหมดตั้งแต่แรกเริ่ม แกว่าจางหลงจะโกรธขนาดไหน บุกโจมตีจนเขาไม่สามารถมีแรงที่จะต้านทานได้ ทำให้เขาถอยหลังพ่ายแพ้ยับเยิน แกว่าความหยิ่งทะนงในใจของเขาจะต้องถูกทำลายขนาดไหน อาจไม่แน่จะทำให้เกิดความซึมเศร้าก็ได้”
“เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก่อนที่เขาจะตาย ฉันไม่ได้ทำให้เขาขายหน้ามากจนมากเกินไป” โหจื่อแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เฉินเสี่ยว คนต่อไปที่ต้องตาย ก็ถึงตาแกแล้ว”