NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 780 ปรมาจารย์รุ่นเยาว์

บทที่ 780 ปรมาจารย์รุ่นเยาว์

หากไม่ถึงที่สุดแล้ว หลี่ฝางก็จะไม่ใช้สารกระตุ้นสเต็มเซลล์ ให้โหจื่อกินเด็ดขาด

นี่คือช่วงเวลาวิกฤตที่สุดของบ้านตระกูลหลี่

จะต้องไม่ให้โหจื่อนอนหลับไปอย่างเด็ดขาด

หากใช้สารกระตุ้นประเภทสเต็มเซลล์แล้ว หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ก็ไม่สามารถใช้พละกำลังได้อีกเลย ไม่เช่นนั้นแล้ว อวัยวะภายในทุกส่วนของร่างกาย จะรับภาระอย่างหนักหน่วง จนได้เกิดความเสียหายร้ายแรง เบาสุดก็แค่บาดเจ็บ หากอาการหนักก็ถึงกับเป็นอัมพาตเลยทีเดียว

หลี่ฝางขมวดคิ้ว มองดูนักฆ่าพวกนี้ “คนพวกนี้ เป็นใครกันแน่? พวกเขากับท่านจวนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่?”

“เซราฟิม เป็นองค์กรนักฆ่าที่เกิดขึ้นในประเทศนานมาแล้ว ได้ยินมาก็หลายครั้ง สัมผัสมาก็หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านั้น ก็ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขากับท่านจวนจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน หลายปีที่ผ่านมานี้ เห็นได้ชัดว่า ท่านจวนยังทำเรื่องอะไรลับๆไว้ไม่น้อยเลย เพียงแต่พวกเรายังไม่รู้” ลุงเฉียนพูด

ก็ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยเวลาก่อนหน้านั้น ลุงเฉียนก็ถือว่าท่านจวนเป็นคนพวกเดียวกันมาโดยตลอด จึงไม่ได้ติดตามตรวจสอบอย่างละเอียด

แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นปัญหาอันตรายถึงชีวิตสำหรับตัวเองไปแล้ว

หลังจากที่โหจื่อไล่สังหารนักฆ่า10กว่าคนติดต่อกันไปแล้ว ในสุดท้ายก็หมดแรงทนต่อไปไม่ไหว เขานั่งลงไปกับพื้น แล้ววางปืนลงตรงหน้าตัวเอง ราวกับว่าเป็นการเตือนนักฆ่าพวกนี้อย่าทำเกินเหตุ

ท่านจวนหรี่ตามองอย่างชื่นชม

ท่านจวนมองดูหม่าเฟิงแล้วถามว่า “แกคิดว่าตอนนี้โหจื่อ ยังจะทนได้อีกนานเท่าไหร่?”

หม่าเฟิงไม่สามารถบอกจำนวนตัวเลขที่แน่ชัดได้ เพราะว่าโหจื่อเคยเล่นตุกติกหลายครั้งแล้ว เขาก็เหมือนนักแสดงนำฝ่ายชาย ฝีมือการแสดงสมจริงมาก ในตอนนี้ หม่าเฟิงก็ดูไม่ออกว่าโหจื่อแกล้งทำ หรือว่าเหนื่อยจริงกันแน่

หม่าเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านจวน ฉันก็ดูไม่ออก แต่ฉันคิดว่า ทุกคนล้วนจะมีขีดจำกัดของตัวเอง ตอนเมื่อกี้ ฉันก็เห็นท่าทางของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นช้าลงแล้ว ฉันรู้สึกว่า ร่างกายของโหจื่อ เริ่มที่แสดงความอ่อนล้าออกมาแล้ว”

“สถานการณ์อย่างนี้ ถ้าจะพักไม่กี่นาที ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

“ก็เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วนของเขาผ่อนคลายลงเท่านั้น ถ้าหากอีกเดี๋ยวจะสู้ต่อไป เกรงว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นมา”

หม่าเฟิงขมวดคิ้ว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “แต่ว่า โหจื่อถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เหตุผลง่ายๆแค่นี้เขาไม่น่าจะไม่เข้าใจนะ”

“แกหมายความว่า โหจื่อไอ้หมอนี่กำลังแกล้งหลอกเราเหรอ?”

ท่านจวนขมวดคิ้ว มองดูโหจื่อ ถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าเขากำลังถ่วงเวลา? เพียงแต่ว่า เขาถ่วงเวลารอใครอยู่เหรอ? หล่อซ่ากับส้าวส้วยก็ไม่อยู่ แม้แต่เมี๋ยวชุ่ยก็ยังพาแม่มดออกไปแล้ว บ้านตระกูลหลี่นี้ ยังเหลือใครอีกหรือ?”

ท่านจวนคิดไม่ออกว่าจะมีใครได้อีก

หรือว่าอาจจะมีหลิงหลงอีกคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย

เธอก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของท่านจวนเลย หลังจากที่ได้พักสักครู่แล้ว ภายใต้การยั่วยุของเหล่านักฆ่าทั้งหลาย โหจื่อก็ลุกขึ้นมาใหม่ “ในเมื่อพวกแกแต่ละคนจะรีบไปเกิดใหม่กันทั้งนั้น งั้นฉันก็จะช่วยสงเคราะห์พวกแกอีกแรง”

โหจื่อพูดจบ ก็ยืนขึ้นมา แล้วบุกไปยังพวกนักฆ่าพวกนั้น

การจู่โจมครั้งนี้ ทำให้นักฆ่าทั้งหลาย สับสนงงไปหมดเลย

นักฆ่าพวกนี้ไม่ใช่ฝูงแกะ ตัวโหจื่อนี้ก็ไม่ใช่เสือที่ดุร้าย อย่างมากก็เป็นแค่หมาป่าที่เหนื่อยล้าเท่านั้น

เขาบุกเข้าไปในกลุ่มคนพวกเขาเช่นนี้ งั้นไม่ใช่ไปรนหาที่ตายเหรอ?

หารู้ไม่ว่า หลังจากที่โหจื่อบุกเข้าไปแล้ว ในมือปรากฏมีกระบี่อ่อนที่แหลมคมด้ามหนึ่ง

กระบี่อ่อนเล่มนี้แหลมคมมาก ฟาดฟันไปบนร่างของคนจำนวนไม่น้อย ส่วนนักฆ่าพวกนั้นในมือจับแต่มีดสั้น ซึ่งเป็นอาวุธชนิดสั้นทั้งนั้น

อาวุธสั้นชนิดนี้ ก็คงไม่แข็งแกร่งเท่ากับอาวุธยาวของโหจื่ออย่างแน่นอน

พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใกล้โหจื่อเลย แต่กลับถูกโหจื่อใช้กระบี่ตัดเส้นเอ็นมือขาดไปตามตามกัน

ใช้เวลาเพียงแค่สองนาที โหจื่อถึงกับจัดการล้มนักฆ่าไป20กว่าคนไปแล้ว แน่นอนโหจื่อก็พยายามถอยออกมา ในลำตัวของเขาก็ปรากฏมีบาดแผลและเลือดออกหลายที่

ผ่านไปไม่นานนัก ร่างกายของโหจื่อ ก็เต็มไปด้วยเลือดแล้ว

หลังจากที่โหจื่อถอยออกมาได้แล้ว เขาใช้กระบี่อ่อนพยุงตัวเองไว้ แต่ว่า กระบี่อ่อนกลับค่อยๆอ่อนตัวลง ส่วนโหจื่อก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

ทุลักทุเลมาก

เมื่อท่านจวนเห็นฉากนี้แล้ว ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดกับหม่าเฟิงว่า “แกรีบไปฆ่าเขาเร็ว”

สังหารโหจื่อ นับว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทีเดียว

แต่ว่า หม่าเฟิงจะฉวยโอกาสที่คนอื่นกำลังบาดเจ็บได้อย่างไรกัน

หม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ฉันถูกยิงแล้ว ท่านจวนเปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ”

“เศษสวะ ก็เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้นเอง ตอนนี้โหจื่อกลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง ขยับตัวก็ไม่ได้แล้ว แกยังกลัวเขาทำไมกัน?”

ท่านจวนมองค้อนหม่าเฟิง แล้วพูดกับหวางเชาว่า “หวางเชา แกไปเลย”

หวางเชาพยักหน้า ไม่มีการลังเลใดๆทั้งสิ้น เขาเดินตรงเข้าไปหาโหจื่อ มองดูโหจื่อแล้วพูดว่า “โหจื่อ ฉันนับถือแกนะ แกใช้ระยะเวลาสามปี ก็สามารถล้ำหน้ากว่าพวกเราสี่คนพี่น้องทุกคนเลย แต่ว่า แกยังไงก็หลีกพ้นจากความตายไม่ได้ เพราะว่าแกเลือกยืนข้างผิดแล้ว”

“ยืนข้างผิดเหรอ?” โหจื่อหัวเราะ “หลอซ่ามีค่าพอที่ฉันจะตายเพื่อเขา พ่ายแพ้เพื่อเขา”

“ลงมือสิ” โหจื่อพูดอย่างไม่แยแสว่า “ฆ่าฉันแล้ว จะได้ไปเอาความดีความชอบจากเจ้านายแก”

หวางเชานั้นขมวดคิ้ว คำพูดของโหจื่อนี้ มีความหมายประชดประชันเขาอย่างชัดเจน ขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้น หลี่ฝางก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว แล้วยืนขวางอยู่ตรงหน้าโหจื่อ

“คุณชาย คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาหรอก” โหจื่อพูดอย่างหมดแรง

หลี่ฝางส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ฉันก็ไม่ยอมยืนดูแกตายอยู่ในเงื้อมมือของเขา ตรงนี้ฉันไม่สามารถทำได้ อีกอย่างหนึ่ง ฉันกับเขาก็ยังไม่ได้สู้กันเลย ทำไมจะต้องรีบตัดสินแบบนั้นล่ะ?”

ในขณะที่โหจื่อคิดอยากจะพูดอะไรอีก หวางเชานั้นก็บุกเข้ามา ชกหมัดเข้าไปอย่างจัง

ส่วนหลี่ฝางยังยืนอยู่กับที่ ไม่หลบแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้หวางเชาชกหมัดลงบนหน้าอกของตัวเอง

ชกเข้ามาเสียงดังปั้ง หลี่ฝางรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฝางก็ชกหมัดออกไปอย่างแรง ทำให้หวางเชาถอยห่างออกไปหลายสิบเมตร

หลี่ฝางก็ใช้กลวิธีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ว่าก่อนที่จะใช้กลวิธีนี้ หลี่ฝางก็ได้คิดคำนวณมาก่อนแล้วว่า หวางเชานี้เคยได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่แล้ว บาดแผลของเขา คงยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก

ส่วนร่างกายของตัวเอง หลังจากที่ได้รับการถ่ายทอดกระแสเลือดจากพ่อตัวเองแล้ว กลายเป็นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

ดังนั้น หมัดของหวางเชานั้น ตัวเองก็ย่อมสามารถรับมือได้

แต่ว่าหวางเชา ไหนเลยจะสามารถรับแรงปะทะจากพละกำลังทั้งหมดของตัวเองได้ล่ะ

ก่อนที่จะชกหมัดออกไปนั้น หลี่ฝางก็ได้รวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดไว้ในกำปั้นตัวเองแล้ว

หลังจากที่หวางเชาถอยออกไปหลายเมตรแล้ว ก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก

เลือดพุ่งสาดออกมาเป็นสายหมอก หวางเชาตกลงบนพื้นอย่างแรงจนหมดสติไป

ฉากนี้ ทำให้หม่าเฟิงเบิ่งตาโต และทำให้สีหน้าท่านจวน เปลี่ยนเป็นผิดปกติไปอย่างมาก

หม่าเฟิงวิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว มองดูอาการบาดเจ็บของหวางเชา เขาอุ้มหวางเชาขึ้นมา พบว่าชีพจรของหวางเชาไม่เต้นแล้ว ไม่มีลมหายใจแล้ว

ตายอย่างสนิทแล้ว

หม่าเฟิงกัดฟันไว้แน่น เขานึกไม่ถึงเลยว่า หมัดเดียวของหลี่ฝาง ถึงกับสามารถสังหารหวางเชาได้เลย

สังหารในชั่ววินาที!

เหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้นักฆ่าที่หลงเหลืออยู่พวกนั้น ตกใจจนอ้าปากค้าง

พวกเหล่ามือปืนทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน……

ในสมองของพวกเขาก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า นี่มันเป็นพวกกลุ่มคนอะไรกันแน่ ทำไมศัตรูตรงหน้า แต่ละคนยิ่งมายิ่งน่ากลัวมากขึ้น

การที่หลี่ฝางระเบิดพละกำลังที่น่ากลัวออกมา ทำให้ท่านจวนนอกจากจะตกใจแล้ว ก็ยังมีความกระหายขึ้นมาใหม่อีกด้วย

ท่านจวนก็คิดอยากเหมือนลีฝังเช่นนี้ ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรม

แน่นอน สิ่งที่ท่านจวนหวังที่อยากจะได้ ก็คือประสิทธิผลประเภทที่ทำให้ชีวิตอมตะอยู่ยงคงกระพัน

หม่าเฟิงเงยหน้าขึ้น มองดูหลี่ฝาง ด้วยท่าทีที่เยือกเย็น “แกฆ่าเขา”

หลี่ฝางพยักหน้า แล้วพูดว่า “เมื่อกี้เขาจะฆ่าโหจื่อ ดังนั้น…….”

หลี่ฝางยังไม่ทันพูดจบ หม่าเฟิงก็ตะโกนเสียงดัง แล้วพุ่งเข้ามาหาหลี่ฝาง หลี่ฝางไม่กล้าที่ประมาท ก็รีบตั้งรับมือทันที

โป้งๆ ชกไปสองหมัด

กำปั้นของทั้งสองกระทบเข้าด้วยกัน ร่างกายของหม่าเฟิง เกิดแรงมหาศาลกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า

“หมัดของแก…..”

เมื่อครู่หม่าเฟิงยังคงสงสัยว่า หลี่ฝางทำได้อย่างไร

ใช้แค่หมัดเดียวก็สามารถฆ่าหวางเชาได้แล้วหรือ?

ถึงแม้หวางเชาตอนนี้ได้รับบาดเจ็บก็ตาม แต่การที่จะใช้แค่หมัดเดียวฆ่าเขา ทำให้เขาเสียชีวิตในทันที ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

ส่วนหม่าเฟิงในเวลานี้ ก็นับว่าได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของหมัดหลี่ฝางแล้ว

“หมัดของแก ทำไมจึงมีพลังลึกลับอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ข้างในล่ะ?”

หม่าเฟิงไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่า หมัดกำปั้นของหลี่ฝาง ไม่ใช่หมัดที่ธรรมดาทั่วไป

ต่อให้เป็นหมัดที่หนักกว่านี้ หม่าเฟิงก็เคยเผชิญมาแล้ว อย่างมากก็แค่สะเทือนจนชาไปเท่านั้น แต่ว่าหมัดของหลี่ฝางนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้แขนของหม่าเฟิงกระเทือนจนชาไปหมด

อีกทั้งยังทำให้ภายในร่างกายของหม่าเฟิง ยังได้รับกระทบกระเทือนจากการกระแทกนี้ด้วย

“นี่คืออะไร?”

“กำลังภายในเหรอ?”

ขณะที่หม่าเฟิงพูดคำว่ากำลังภายใน ก็กลืนน้ำลายลงไปเฮือกใหญ่

กำลังภายใน เป็นคำที่คนฝึกวรยุทธ์ทุกคนต้องเคยได้ยิน ดูเหมือนว่าเป็นระดับเขตแดนที่ลือกันในตำนาน แต่ยังไม่มีใครที่สามารถบรรลุถึงระดับเขตแดนที่ว่านี้ได้

ก็มีเพียงแต่บันทึกในประวัติศาสตร์เท่านั้น ในตำนานที่ลือกันว่ามีคนฝึกวรยุทธ์ในสมัยโบราณไม่กี่คน ที่ฝึกบำเพ็ญจนได้ค้นพบเคล็ดวิชาลับเฉพาะเช่นนี้ออกมาได้

แต่ว่า คนพวกนี้ ล้วนแต่เป็นคนวัยชราทั้งสิ้น

ดูเหมือนแทบจะถึงวัยใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว จึงจะฝึกสำเร็จออกมาได้

คนคลั่งวรยุทธ์ที่อายุน้อยที่สุด แต่มีพรสวรรค์สูงส่งคนหนึ่ง ก็ยังมีอายุห้าหกสิบถึงจะฝึกสำเร็จออกมาได้ แล้วคนคนนี้ สมัยนั้นก็ถือว่ายังคงมีอยู่จริง ซึ่งก็ดูราวกับอยู่ในยุทธภพของเทพนิยายในตำนาน

แต่ตอนนี้ หลี่ฝางไอ้เด็กกะโปโลคนนี้ อายุอย่างมากก็เพิ่งจะยี่สิบปีต้นๆ

เขาสามารถฝึกฝนกำลังภายในสำเร็จออกมาได้เหรอ??

นี่จะให้หม่าเฟิงเชื่อได้อย่างไรกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ต่อให้หลี่ฝางเป็นคนที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่อายุน้อยขนาดนี้ ก็สามารถบรรลุระดับเขตแดนในตำนานที่ว่านี้ได้

“ไม่ผิดหรอก มันคือกำลังภายใน” หลี่ฝางพยักหน้าอย่างเรียบๆ พูดพลางมองหน้าหม่าเฟิง

หลี่ฝางยืนเอามือทั้งสองไขว้หลัง ราวกับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง

ส่วนหม่าเฟิงเบิ่งตาโตขึ้น มองดูหลี่ฝาง “แกทำได้อย่างไรกัน? กำลังภายในพวกนี้ มีคนที่ฝึกวรยุทธ์จำนวนมากมาย ชั่วชีวิตยังทำไม่ได้เลย แต่ว่าดูท่าทางแก อายุก็เพิ่งจะ20เท่านั้นเอง”

หม่าเฟิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ นั่นไม่ใช่กำลังภายในอย่างแน่นอน แกรู้จักใช้วิชามารอะไรกันหรือเปล่า”

“น่าขำเสียจริง แกถึงกับยอมเชื่อว่าฉันรู้วิชามาร แต่ก็ไม่ยอมเชื่อว่านี่คือกำลังภายใน งั้นได้เลย ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็นอีกครั้งหนึ่ง”

หลี่ฝางขมวดคิ้ว ก้าวเท้าเดินออกมา แล้วหลบตัวแวบเดียว ก็มาถึงตรงหน้าหม่าเฟิง

หม่าเฟิงในเวลานี้ ยังไม่ทันหายตกใจเลย เขามองดูหลี่ฝางด้วยความตกตะลึง ในใจคิดว่าความเร็วของหลี่ฝางทำไมถึงได้ไวขนาดนี้ได้?

เพียงแค่กะพริบตาแวบเดียวก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้วเหรอ?

หลี่ฝางตบด้วยฝ่ามือไปยังหม่าเฟิงหนึ่งที ร่างของหม่าเฟิงก็ปลิวกระเด็นออกไปทั้งตัว ปากก็กระอักเลือดออกมา

วินาทีนี้เอง หม่าเฟิงก็ได้สัมผัสกับพลังแรงมหาศาลอีกครั้ง ที่เข้าไปภายในร่างของตัวเอง กระแทกอวัยวะภายในทั้งหมดของตัวเอง หม่าเฟิงเชื่อแล้ว เชื่อว่าพลังที่หลี่ฝางใช้นั้น ก็คือกำลังภายในที่ร่ำลือในตำนาน

หม่าเฟิงค่อยๆยืนขึ้นมา มองดูหลี่ฝาง พูดด้วยสีหน้าที่เลื่อมใสศรัทธาว่า “นึกไม่ถึงจริงๆว่า ชั่วชีวิตของฉันหม่าเฟิงมีวาสนาที่ได้พบเห็นปรมาจารย์ฝึกวรยุทธ์คนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ที่มีอายุน้อยขนาดนี้”

“ชั่วชีวิตนี้ของฉัน ตายก็ไม่เสียดายแล้ว”

หม่าเฟิงพูดจบ ก็หยิบมีดขึ้นมา เล็งไปตรงหัวใจตัวเอง แล้วใช้มีแท่งเข้าไป

หลี่ฝางไม่ได้ฆ่าหม่าเฟิง ออมมือให้เขาแล้ว แต่ว่าหม่าเฟิงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

เขาสี่คนพี่น้อง ตายไปแล้วสามคน เหลือเขาพี่ใหญ่คนเดียว อยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร

“น้องรอง น้องสาม น้องสี่ ฉันมาหาพวกแกแล้ว” หม่าเฟิงยิ้มอย่างเรียบๆ คุกเข่าลงบนพื้น แล้วค่อยๆล้มลงไป

ลุงเฉียนมองดูฉากนี้แล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้า

สำหรับการตายของหม่าเฟิง ลุงเฉียนก็ยังรู้สึกเสียดาย

ส่วนพวกนักฆ่าทั้งหลายพวกนั้น เมื่อเห็นพละกำลังที่น่ากลัวของหลี่ฝางแล้ว ก็ไม่กล้าเดินขึ้นไปอีก มากันทั้งหมดหกสิบกว่าคน ตอนนี้ตายไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง พวกเขาไม่อยากจะรนหาที่ตายอีกต่อไปแล้ว

พวกเขายืนอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ส่วนเวลานี่เอง หลี่ฝางก็ค่อยๆเดินตรงไปยังท่านจวน “ท่านจวน ดูเหมือนว่าคนที่จะมาช่วยแก ก็ยังอีกนานกว่าจะมาถึง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท