ไม่นึกเลยว่า เขายังไม่รู้ว่าจะพูดกับลู่หลุ่ยอย่างไรดี ลู่หลุ่ยกลับมาหาเขาก่อน
“หลี่ฝาง ขอบคุณที่คุณมาช่วยฉันไว้” ลู่หลุ่ยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลี่ฝางอีกครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทีเงียบสงบนิ่งมาก ถึงขั้นที่เรียกว่าเยือกเย็นก็ว่าได้
ไม่มีท่าทางที่อ่อนแออย่างที่หลี่ฝางเคยเห็นมาก่อนหน้านี้
หลี่ฝางอ้าปากค้าง กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“หลี่ฝาง ต่อไปไม่ต้องเป็นห่วงฉันแล้วนะ ฉันกำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว คงไม่มาปรากฏตัวในประเทศอีกเป็นเวลานานเลย ต่อให้คนพวกนั้นจะคิดทำร้ายคุณผ่านตัวฉัน ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ”
ลู่หลุ่ยไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้ามเธอเป็นคนที่ฉลาด ถึงแม้ครอบครัวเธอจะธรรมดา รู้จักคนก็น้อยกว่าคนอื่นมาก แต่เพียงแค่เรื่องราวที่เธอประสบมาก็มากพอที่ทำให้เธอเดาเรื่องออกมาได้ไม่น้อยเลย
“ตอนที่อยู่บนเรือนั้นฉันก็คิดอยู่ว่า ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณมันเป็นยังไงกันแน่ ฉันคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายฉันก็คิดได้แล้ว ฉันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หลี่ฝาง เราคบกันด้วยดีจากกันด้วยดี ขอให้พวกเราต่างก็มีจุดเริ่มต้นที่ดีนะ”
ลู่หลุ่ยจากไปแล้วพร้อมกับเหมิงเหมิง ภายใต้การจัดการของส้าวส้วยที่พาพวกเธอออกจากสถานตากอากาศไป หากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้วละก็ เธอก็จะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกในเร็ววัน ไปจากเมืองเอกที่เต็มไปด้วยคลื่นลมพายุแปรปรวนแห่งนี้เสียที
หลี่ฝางไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างไร เพราะว่าเขาหาเหตุผลอะไรไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้ลู่หลุ่ยจากไป เขาพบว่าลู่หลุ่ยไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เธอเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทำให้ลู่หลุ่ยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยสิ้นเชิง
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ หลี่ฝางคิดเช่นนี้ หลังจากที่เขาพยายามไปคิดหาเรื่องอื่นเพื่อปกปิดซ่อนเร้นเรื่องนี้เอาไว้ ทำให้ตัวเองไม่ไปคิดเรื่องของลู่หลุ่ยอีก ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนี้อีกต่อไป
เขาก็เริ่มติดตามส้าวส้วยเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ ตอนนี้เขายังขาดประสบการณ์ลงสนามจริงอย่างมาก ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าอ่อนหัดมาก ในร่างกายที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังภายในเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถต้านรับมือเพียงข้างเดียวของส้าวส้วยได้ ยิ่งไม่ต้องคิดที่จะเข้าไปร่วมในวงการต่อสู้ระหว่างท่านจวนกับพ่อของตัวเองเลย
เมื่อเห็นหลี่ฝางเหมือนกับได้รับกระทบกระเทือนทางจิตใจ พยายามฝึกฝนจนหมดเรี่ยวหมดแรง ท่าทางที่กระหืดกระหอบ ส้าวส้วยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เสี่ยวฝาง เดิมทีฉันเป็นห่วงพวกแกจะถูกท่านจวนทำร้าย ดังนั้นจึงกลับมา แต่ว่าตอนนี้ท่านจวนจากไปแล้ว ฉันก็คงต้องไปแล้วล่ะ”
“แม่ของฉันเข้าไปอยู่ในโซนปีศาจ หรือว่าท่านจวนก็เข้าไปด้วย? แกบอกว่า แกจะจากไปแล้ว หรือว่าแกก็จะเข้าไปนั้นด้วยเหรอ?” หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าไป มีคนจำนวนมากที่เข้าไปในสถานที่ลึกลับนั้นแล้ว แต่ว่าพวกเราที่อยู่ภายนอกไม่เคยได้รับรู้ถึงล่องลอยคนที่อยู่ในนั้นเลย ฉันได้ข่าวว่าท่านจวนเคยเข้าไปแล้วก็ออกมาอีก ถ้าหากเป็นเรื่องจริงอย่างนี้ งั้นฉันก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปแล้วล่ะ”
หลี่ฝางเงียบไปสักครู่แล้วถามว่า“แกคิดจะเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ?”
“รอดูก่อน รอให้บาดแผลของโหจื่อดีขึ้นก่อน รอให้แกสามารถฝึกรับมือจากฉันสักพักก่อน” ส้าวส้วยหัวเราะขึ้นมากะทันหัน “บอกตามตรงนะ เสี่ยวฝาง แกก้าวหน้าได้ไวจริงๆนะ แกมีพรสวรรค์ทางด้านนี้มาก แกจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างแน่นอน”
หลี่ฝางเงียบไปสักครู่ แล้วถามขึ้นกะทันหันว่า “คราวนี้จะพาฉันไปด้วยได้มั๊ย? ตอนนี้ฉันอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว ยังไงก็ต้องออกแรงช่วยบ้าง ไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนที่คอยหลบอยู่ข้างหลังพวกแกอีกแล้ว”
“ไม่ได้” ส้าวส้วยพูดปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดเลย
“ทำไมล่ะ?” หลี่ฝางถามด้วยความโกรธ “ถึงแม้พลังของฉันแข็งแกร่งสู้พวกแกไม่ได้ แต่ก็ยังได้ช่วยเหลือพวกแกบ้างไม่ใช่เหรอ? ไม่นานมานี้ฉันยังสู้ชนะพวกยอดฝีมือไปไม่น้อยเลยนะ”
“แกต้องอยู่ที่นี่ เสี่ยวฝาง เพราะว่าที่นี่ต้องการแก” ส้าวส้วยพูดกับหลี่ฝางอย่างจริงจัง “ทุกคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ที่นี่ก็มีความสำคัญเช่นกัน ตอนนี้ท่านจวนก็จากไปแล้ว กำลังของสี่ตระกูลใหญ่ก็อ่อนแอลง มันเป็นโอกาสเหมาะของพวกเรา โอกาสที่ต้องรวบรวมอำนาจทั้งหมดในเมืองเอกไว้เป็นหนึ่งเดียว”
“ได้ ฉันตกลงตามที่แกพูด” ถึงแม้หลี่ฝางจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ส้าวส้วยพูดถูก ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดจริงๆ
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรต่อไปอีก แต่กลับเริ่มฝึกฝนอย่างหนักต่อไป หลี่ฝางพบว่าเมื่อมีเรื่องราวมากมายกดดันตัวเองอยู่นั้น การฝึกซ้อมอย่างหนักเช่นนี้กลับไม่รู้สึกทรมาน แต่เป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง สามารถทำให้เขามีความรู้สึกผ่อนคลายที่แสนสบายที่สุด
เวลาในการฝึกซ้อมของเขาน้อยเกินไป แต่เขากำลังจะใช้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาชดเชยความแตกต่างของระยะเวลานั้น
ในเวลานี้เอง หยิ่นเจิ้งที่อยู่อำเภอหลินโทรศัพท์มาหาเขา
ก่อนหน้านั้นขณะที่พวกเขากำลังดื่มกินกันอยู่นั้น หลี่ฝางก็หนีไปอย่างกะทันหัน ทำให้หยิ่นเจิ้งและแมงป่องสองคนนี้ที่เคยเป็นคู่อริกันมาก่อนต้องนั่งมองหน้ากันอย่างเคอะเขิน สุดท้ายก็ทะเลาะกันจนงานเลี้ยงเลิกราไป จึงไม่ได้ดื่มเหล้าอย่างสนุกในงานเลี้ยงนั้นเลย
แต่ว่าอย่างน้อยทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกน้องของหลี่ฝาง คราวที่แล้วหลี่ฝางยังพูดว่าจะเอาเงินลงทุนออกมาร้อยล้านเพื่อจะให้พวกเขาสองคนร่วมมือกัน ตอนนี้หลี่ฝางหายเงียบไปหลายวันแล้วยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ในที่สุดหยิ่นเจิ้งก็นั่งไม่ติดจึงโทรศัพท์มาหาหลี่ฝาง
เมื่อได้ยินการย้ำเตือนที่อ้อมค้อมจากเสียงของหยิ่นเจิ้งทางโทรศัพท์แล้ว หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะนึกขำ หยิ่นเจิ้งคนนี้ยังไงก็เป็นพ่อค้าคนหนึ่ง อย่างไรเสียก็ยังนั่งไม่นิ่งเหมือนกับแมงป่อง
คาดว่าตอนนี้แมงป่องก็ไม่อยากให้เขากลับไปเป็นดีที่สุด อย่างน้อยถ้าหลี่ฝางไม่กลับไป แมงป่องเขาก็ยังเป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในอำเภอหลิน ต่อให้ทำธุรกิจสีเทา ก็สามารถหากำไรได้เต็มกอบเต็มกำทีเดียว แต่ถ้าหลังจากหลี่ฝางกลับไปแล้ว ก็จะต้องจัดการกับธุรกิจสีเทาของเขาอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเขาจะตกอยู่ในสภาพอย่างไรก็ยังไม่รู้ได้เลย
แต่ว่าตอนนี้คลื่นลมในอำเภอหลินก็ไม่ได้สงบนิ่งเหมือนที่ดูผิวเผินจากภายนอกเช่นนั้น จางซินเฟยได้ทรยศหักหลังแมงป่อง รวบรวมคนกลุ่มหนึ่งเพื่อต่อสู้กับแมงป่อง ถึงขั้นที่จะต้องให้ตายไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว ระหว่างพวกเขาสองคนก็ไม่มีวันที่จะคืนดีกันได้แน่นอน
แต่ว่าตอนนี้มีหลี่ฝางกดดันเอาไว้ ความขัดแย้งก็ยังไม่ปะทุขึ้นมาอย่างจริงจัง หลี่ฝางจงใจทิ้งจ้าวหางและจางซินเฟยมีดสองด้ามนี้ไว้ตรงหน้าแมงป่อง เพื่อเตือนสติแมงป่องให้ตระหนักไว้ว่า ต่อให้หลี่ฝางไม่อยู่ที่อำเภอหลิน แมงป่องก็ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่เช่นนั้นแล้ว คนที่จะต้องตายคนแรกก็คือตัวเขานั่นเอง
หลี่ฝางคิดดูแล้วก็ตัดสินใจจะไปอำเภอหลินสักครั้งหนึ่ง มีบางเรื่องที่จะต้องเจรจาให้ชัดเจนต่อหน้ากันจะดีกว่า ตอนนี้เริ่มวางกฎกติกาไว้ก่อน วันหลังจะได้มีปัญหายุ่งยากน้อยลง
บาดแผลบนไหล่ของเขาที่ถูกสไนเปอร์ยิงก็เกือบหายดีแล้ว หลังจากได้รับการปรับปรุงร่างกายแล้วแม้กระทั่งความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ตอนนี้ต่อให้ออกไปพบอันตรายอะไรโดยลำพังก็สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว
ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ของหลี่ฝาง ดังนั้นจึงรู้ดีว่าสถานการณ์อันตรายที่อยู่รอบนอกได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นแต่เขาก็ยังจะไปอำเภอหลินด้วยตัวเองโดยลำพัง
เมื่อมาถึงอำเภอหลินแล้ว หลี่ฝางก็โทรไปหาหยิ่นเจิ้ง ทางฝ่ายนั้นก็รีบตอบรับทันที แล้วยังบอกว่าตัวเองได้จองโต๊ะไว้ที่โรงแรมจุนเยว่ รอให้หลี่ฝางตามไป
หลี่ฝางไม่ได้ตรงเข้าไปหาทันที เวลาของเขามีมากมายเหลือเฟือ ให้คนพวกนั้นรอไปก่อนก็แล้วกัน
เขาติดต่อกับหวังเหมียว แล้วขับรถไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมดูอาการของไอ้หน้าหนวด
ไอ้หน้าหนวดฟื้นตัวไม่เลวทีเดียว คาดว่าใช้เวลาเดือนกว่าก็สามารถลงจากเตียงเดินเหินได้แล้ว พูดตามจริงแล้วถึงแม้ไอ้หน้าหนวดได้ทำงานกับพ่อตัวเองมานานแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่เหมือนพวกโหจื่อ เพียงแค่สามารถทำมาหากินไปได้อย่างมั่งคงมาถึงขั้นนี้ก็นับว่าบุญโขแล้ว