มองหลิวฮุยที่นั่งข้างคนขับด้านหน้าไม่พูดอะไรด้วยใบหน้าเย็นชา หลี่ฝางจึงทำลายความเงียบอย่างอึดอัด
“วางใจเถอะ จะต้องมีผลประโยชน์ต่อคุณแน่ ถึงตอนนั้นคุณก็แสดงออกมาดีๆหน่อยก็พอ”หลิวฮุยปิดปากแน่นมาก ไม่ปล่อยข้อมูลออกมาเลยสักนิด
“อย่าสิ ให้ข้อมูลผมนิดๆหน่อยๆ ก็ให้ผมได้เตรียมตัวหน่อยไม่ใช่เหรอไง?”หลี่ฝางลองหยั่งเชิงดูใหม่ แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หลิวฮุยก็ไม่ยอมปริปากบอกสักคำ
“ผมว่านะ ผมเพิ่งถึงบ้านยังไม่ทันได้กลับไปดู คุณก็รู้ว่าศัตรูตระกูลเราเยอะ ไม่ได้กลับไปดูผมอดห่วงไม่ได้จริงๆ”หลี่ฝางทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อ
“คุณมีอะไรให้เป็นห่วง?”ฟังประโยคนี้ของหลี่ฝาง หลิวฮุยโมโหทันที “คุณไม่รู้ว่าหาไท่ซางนั่นมาจากไหน แค่คนเหลือบมองเขามากไปหน่อยบนถนน เขาก็ตีคนจนเกือบจะตาย ตอนนี้ทั้งเมืองเอกใครบ้างที่ไม่รู้จักหมัดเหล็กไท่ซางสุดโหดอันเลื่องชื่อลือนาม คุณยังกล้าบอกว่าคุณไม่วางใจ?”
“อ๋า?”หลี่ฝางตะลึง เขาให้ไท่ซางไปสถานตากอากาศก่อนน่ะใช่ และก็คิดไม่ถึงว่าไท่ซางจะหยิ่งผยองขนาดนี้ ได้ยินหลิวฮุยพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกกังวล
“คนนั้นที่ถูกตีเป็นอย่างไรบ้าง?ส่งไปโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม?ครอบครัวพวกเราน่าจะชดเชยให้เขาแล้วสินะ?”หลี่ฝางกังวลหน่อยๆ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ได้หวังว่าคนบริสุทธิ์ที่เดินผ่านไปมาจะได้รับความหายนะ
“หึหึ ชดเชย?ตระกูลคนที่ถูกตีนั้นกลับอยากชดเชยให้พวกคุณต่างหากล่ะ ถูกทำร้ายคนอนาถ ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้า เรื่องนี้คุณต้องตามเช็ดขี้เอาเอง ผมไม่สน!”
“ตระกูล?”หลี่ฝางตะลึงหน่อยๆ ถามอย่างระมัดระวัง:“ผู้ชายที่ถูกตีชื่ออะไร?”
“เหมือนจะชื่อมู่หรงฉางเฟิงนะ”
หลี่ฝาง:“……”
จากสนามบินไปยันจุดหมายค่อนข้างไกล จากชานเมืองไปยังใจกลางเมือง รถก็ขับไปเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงจะไปถึง
และหลังจากที่รถจอดนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถใต้อาคารแล้ว ก็ไม่รอให้หลี่ฝางพูด หลิวฮุยพูดก่อนว่า:“นี่คือสถานที่ที่ผู้ยิ่งใหญ่เมืองเอกอยู่ พวกเราสองคนขึ้นไปก็พอแล้ว”
หลี่ฝางมองราฟาเอล เข้าใจว่าหลิวฮุยมีความกังวลของความปลอดภัย พยักหน้า แล้วให้ราฟาเอลรอเขาอยู่ข้างล่าง แล้วขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันกับหลิวฮุย
“ผมว่านะ ก็ถึงนี่แล้ว คุณน่าจะบอกผมได้แล้วนะว่าใครอยากเจอผม?”ในลิฟต์ หลี่ฝางจึงถามเพราะทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว
“โอเค ยังไงก็มาถึงที่นี่แล้ว”หลิวฮุยเห็นหลี่ฝางมีท่าทางร้อนใจ ได้แต่พูดว่า:“ชุมชนนี้ดูธรรมดามาก แต่จริงๆแล้วเป็นพื้นที่ระดับสูงที่ซ่อนเร้นไว้อย่างมาก เช่นลู่เฉิงอันเลื่องชื่อท่านนั้น!”
“ลู่เฉิง?……ตระกูลลู่?”หลี่ฝางกลืนน้ำลาย
“อือ ตระกูลลู่”หลิวฮุยพยักหน้าอย่างไร้สีหน้า
“ห่า เจ๋งขนาดนี้เลย?”ในใจหลี่ฝางตื่นเต้นเล็กน้อย
เหล่าตระกูลระดับใหญ่ในประเทศจีน หนึ่งในนั้นมีสองตระกูล ที่ยึดครองภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ตระกูลหนึ่งคือหวาง อีกตระกูลคือลู่
และตามด้วยการมากขึ้นของประสบการณ์ หลี่ฝางก็เคยได้ยินลูกชายคนที่สองแห่งตระกูลลู่นี้จากปากของคนอื่น ชื่อเสียงของลู่เฉิง
ผู้ชายที่สมองมีความคล่องแคล่วนี้ ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ สินทรัพย์อยู่ในระดับแสนล้าน เรียกได้ว่าสุดยอดเลย
“เหอะเหอะ แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว?งั้นอีกเดี๋ยวคุณจะไม่ตื่นเต้นกว่านี้เหรอ?”หลิวฮุยที่อยู่ข้างๆหัวเราะอย่างเย็นชา
“หมายความว่าไง ไม่ใช่ลู่เฉิงจะเจอผมเหรอ?”หลี่ฝางตะลึงงัน
“เหอะเหอะ แน่นอนว่าไม่ใช่ เดี๋ยวคุณก็รู้”หลิวฮุยปิดปากเงียบอีกครั้ง
“ผมว่า คุณพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม?”ในใจหลี่ฝางเหมือนกับมีอุ้งเท้าแมวมาข่วน ทรมานมาก
“ถึงแล้ว”เสียงดังติ๊ง ประตูลิฟต์เปิดออก หลิวฮุยเดินออกไปก่อน หลี่ฝางทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินตามออกไปอยู่ด้านหลัง
จากนั้นหลิวฮุยก็เคาะประตู ประตูเปิดจากด้านใน ที่เปิดประตูก็คือลู่เฉิง
“คุณคือหลี่ฝางสินะ เหอะเหอะ สวัสดี!”
ลู่เฉิงทักทายอย่างเป็นมิตร
“พ่อหนุ่ม รู้จักผมใช่ไหม?ผมได้ยินเรื่องราวของคุณมานานมากแล้ว ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“คุณลุงลู่ชมเกินไปครับ เทียบกับธุรกิจที่คุณทำแล้ว อย่างมากผมก็ถือว่าทำงานได้แค่เล็กๆเลย”หลี่ฝางก็รีบพูดชมไป
“โอเคโอเค อย่ายืนพูดอยู่หน้าประตูเลย รีบเข้ามาเถอะ ผู้อาวุโสรออยู่ข้างในนานแล้ว รีบเข้ามาเถอะ!”
หลังจากพูดคุยไม่กี่คำ ลู่เฉิงก็ดึงหลี่ฝางเข้าไปอย่างแทบจะทนไม่ไหว
“ผู้ ผู้อาวุโส?”หลี่ฝางใจสั่นอย่างมาก มองหลิวฮุยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็เห็นหลิวฮุยกำลังทำเป็นนิ่ง ในสายตามีรอยยิ้มแอบแฝง
ผู้ชายคนนี้เตรียมพร้อมที่จะดูฉาดเด็ดๆของตัวเองไว้นานแล้วสินะ!ในใจหลี่ฝางคิดอย่างหดหู่
แต่ว่า นั่นเป็นถึงผู้อาวุโสนะ!เรียกได้ว่า ชีวิตของชายชราคนนี้เป็นตัวแทนจำลองของยุคสมัยหนึ่ง
หลี่ฝางตามลู่เฉิงเข้าไปในห้อง เข้าประตูมา ก็เห็นชายชรานั่งอยู่บนโซฟา
ชายชราท่านนั้น หลี่ฝางคุ้นมาก ไม่ ควรจะบอกว่าทั้งประเทศจีนคนส่วนมากนั้นคุ้นเคยดี แย่แค่ไหนก็เคยเจอที่โทรทัศน์
ถึงแม้ในใจเตรียมตัวไว้นานแล้ว แต่ตอนที่เห็นชายชรากับตาจริงๆ หัวใจของหลี่ฝางยังคงเต้นเร็ว“ตึกตัก”อย่างผิดหวัง
ชายชราที่ปีนี้อายุหกสิบแล้ว ดูเหมือนจิตใจจะไม่อ่อนแอมากนัก กลับกัน ชายชรานั่งตัวตรง มองไปแล้วจิตใจไม่แย่เลย รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ผู้คนรู้สึกความสนิทสนม ราวกับว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโส แต่เป็นเพื่อนบ้านที่มีความเมตตาอ่อนโยน