มองดูท่าทางที่คล่องแคล่วของหลี่ฝางแล้ว ผู้ชายก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“น้องชาย เมื่อก่อนเคยผ่านการฝึกฝนมาเหรอ?”
หลี่ฝางไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่รีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วกำลังจะจากไป
“เอ๊ะ รอเดี๋ยว น้องชาย คุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่เลยเหรอ?” ผู้ชายหัวเราะขึ้นมาทันที “สุภาษิตกล่าวไว้ว่าช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด คุณช่วยแค่ครึ่งหนึ่งมันหมายความว่าอะไรกันล่ะ?”
“คุณไม่เป็นอะไรแล้ว นั่งพักที่นี่สักพักก็ได้นะ” หลี่ฝางพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันอาศัยเวลาตอนนี้ต้องรีบไปช่วยคนอื่นอีก อาจไม่แน่จะได้ช่วยเหลือคนเพิ่มขึ้นอีกสองคนก็ได้”
ทั้งสองคนก็หัวเราะ หลี่ฝางพยักหน้า หันหลังกลับแล้วพาหยางฉงเดินจากไป
“รอเดี๋ยว เจ้าน้องชาย ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับไว้ด้วยสิ!”
หลี่ฝางไม่ได้เดินย้อนกลับมา ชี้นิ้วไปยังรถของตัวเอง โบกมือแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป
“เจ้าเด็กน้อยนี่ แน่จริงๆ” ผู้ชายหัวเราะเสียงดัง จดจำเบอร์ป้ายทะเบียนรถคันนั้นไว้
ตอนนี้หลี่ฝางก็ไปช่วยเหลือหลายคนไว้อย่างต่อเนื่อง แต่ว่าไม่ได้แสดงพลังพิเศษที่เหนือมนุษย์ออกมาให้เห็น เพราะเขารู้สึกว่าดูเหมือนเมื่อก่อนตัวเองจะเก่งกาจมากเกินไป ดังนั้นจึงเลือกที่จะซ่อนเร้นฐานะของตัวเองไว้เพื่อจะได้ปกป้องตัวเอง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก รถพยาบาลส่งเสียงดัง“หวอๆ”ก็มาถึงที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ชายวัยกลางคนทางนั้น ก็มีกลุ่มคนเข้ามาห้อมล้อมไว้แล้ว
“โจวซู ท่านเป็นยังไงบ้าง?” เร็วเข้า พาลุงโจขึ้นรถพยาบาลด่วนเลย!”
เสียงตะโกนที่ดังแว่วมาจากทางนั้นทำให้หลี่ฝางแอบยิ้มคนเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยกลางคนคนนั้นจะมีฐานะสูงส่งไม่เบาเลย
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากจราจรบนถนนคล่องตัวขึ้นแล้ว จึงขับรถจากไป
มาสายไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาถึงบริษัท
หลังจากลงจากรถแล้ว หยางฉงก็พูดกับหลี่ฝางว่า “เดี๋ยวขึ้นไปลงทะเบียนกับฉันหน่อย คุณเข้าออกจะได้สะดวกขึ้น ตามปกติคุณก็จัดการวางแผงเวลาของตัวเองก็แล้วกันนะ”
พอพูดจบ หยางฉงก็พาหลี่ฝางขึ้นไปชั้นบน
ภายในลิฟต์นั้น สีหน้าท่าทางการวางตัวของหยางฉงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในเสี้ยววินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้น เธอก็ได้กลายเป็นสาวมั่นมืออาชีพคนหนึ่งไปแล้ว ด้วยสีหน้าท่าทางที่สุขุมมากด้วยประสบการณ์
เมื่อเดินออกจากลิฟต์ ต่อหน้าพนักงานที่เดินก้มหัวทักทายด้วยความนอบน้อมอยู่รอบๆบริเวณนั้นเธอก็เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดคุยและยิ้มให้แต่อย่างใด
หยางฉงพาหลี่ฝางมาถึงหน้าห้องทำงานของตัวเอง ก็มีเลขาสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา
เมื่อเห็นหยางฉงเข้ามา เลขาสาวก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ท่านประธานหยาง คุณหยางหุยผู้จัดการใหญ่จากบริษัทสาขาใหญ่โทรศัพท์มาบอกว่าอีกประเดี๋ยวจะเข้ามาค่ะ”
หยางฉงได้ยินชื่อนี้แล้ว ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เขามาที่นี่ทำไมเหรอ?”
“ท่านประธานหยางไม่ได้บอกไว้ค่ะ” เลขาสาวพูด
“เอาเถอะ รับรู้แล้ว” หยางฉงพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่หลี่ฝางแล้วพูดว่า “โจวเสว่ เขาชื่อหลี่ฝาง ต่อไปก็เป็นคนขับรถส่วนตัวของฉัน คุณช่วยพาเขาไปลงทะเบียนหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ” โจวเสว่รีบตอบรับ ในใจกลับรู้สึกแปลกใจมาก ผู้จัดการใหญ่ตัวเองรับคนขับรถส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงแม้รู้สึกแปลกใจ แต่โจวเสว่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่นำทางพาหลี่ฝางไปลงทะเบียน
ทั้งสองคนก็ไม่ได้เจรจาอะไรกัน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์รอลิฟต์ขึ้นมาอย่างสงบเงียบ
ในไม่ช้า ประตูลิฟต์ก็เปิดออก มีผู้ชายในชุดเสื้อสูทคนหนึ่งหน้าตาท่าทางแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวเดินนำหน้าออกมา
เมื่อโจวเสว่มองเห็นผู้ชายคนนั้น ก็รีบทักทายว่า “สวัสดีค่ะ ท่านประธานหยาง!”
“สวัสดีครับ เออ? ผู้จัดการของพวกคุณมาหรือยังล่ะ?” ผู้ชายคนนั้นถาม
“ผู้จัดการเพิ่งมาถึงค่ะ” โจวเสว่รีบตอบทันที ขณะเดียวกันก็ลากหลี่ฝางหลีกทางให้ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านไป
ผู้ชายมองหน้าหลี่ฝาง แล้วถามว่า “เพิ่งมาเหรอ? ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนขับรถของผู้จัดการพวกเราเอง”
“เธอก็ใช้คนขับรถด้วยเหรอ?” พูดพลางหยางหุยก็พิจารณาดูรูปร่างหน้าตาของหลี่ฝางจากตัวจรดเท้า แล้วหันหลังจากไป
หยางหุยมาถึงห้องทำงานของหยางฉงอย่างรวดเร็ว มองเห็นว่าหยางฉงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทำงาน
“พี่ใหญ่คะ” หยางฉงพูดทักทาย ท่าทางค่อนข้างจะเย็นชา
หยางหุยก้าวเท้าเดินเข้ามา มองดูหยางฉงแล้วพูดเสียงต่ำว่า “น้องฉง เรื่องเมื่อวานที่แกทำไปมันไม่เหมาะไม่ควรเลยนะ หลิวเห้าปอไอ้หมอนั่นเข้าไปหาพ่อถึงที่นั่นแล้ว”
อย่างน้อยก็เป็นน้องสาวของตัวเอง หยางหุยไม่อยากจะตำหนิเธอด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมากนัก เดิมทีก็เตรียมที่จะพูดอบรมสั่งสอนสักครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเอ่ยปากพูดกลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง
หยางฉงก็ฟังออกว่าในคำพูดของพี่ใหญ่แฝงด้วยความอบอุ่น อดไม่ได้ที่จะนึกน้อยใจ เมื่อนึกถึงตระกูลหยางทั้งตระกูล คนที่อยู่เคียงข้างตัวเองแล้วพูดจาดีๆมีเพียงไม่กี่คนจริงๆ
หยางฉงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจ ขอบตาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำน้ำตาก็ยังเอ่อล้นดวงตาทั้งสองข้าง
“พี่ใหญ่คะ หรือว่าตระกูลพวกเราจะมาถึงทางตันแล้วจริงๆเหรอ?” หยางฉงพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไว้แล้วถามขึ้น
หยางหุยฟังเข้าใจความหมายหยางฉง เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! สถานการณ์วิกฤตในขณะนี้ อย่างมากก็ทำให้ตระกูลหยางพวกเราได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สูญเสียไปบางส่วนเท่านั้นเอง แต่ว่า…….”
“แต่ว่าถ้าหากพวกเราร่วมมือกับตระกูลหลิวในครั้งนี้ อาจไม่แน่จะสามารถพลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นก็ได้ แล้วเกิดผลประโยชน์มากมาย ทำให้อำนาจบารมีของตระกูลอหยางยิ่งใหญ่มากขึ้น ใช่ไหม?”
หยางฉงถามอย่างเรียบเฉย
หยางหุยถึงกับอึ้งแล้วพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนหนทาง เพราะว่าสิ่งที่น้องสาวตัวเองพูดนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
“เฮอ” ใบหน้าหยางฉงแสดงออกถึงรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ?” เธอถาม “มีสิทธิ์อะไรที่ต้องเสียสละฉัน? ตระกูลหยางตกต่ำถึงขั้นที่ต้องเสียสละฉันเพื่อช่วยเหลือวงศ์ตระกูลแล้วเหรอ? พี่ใหญ่ ฉันถามหน่อย ระหว่างฉันกับผลประโยชน์ของตระกูลหยาง อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?”
“แน่นอนต้องเป็นแกสิ!” หยางหุยตอบอย่างไม่ลังเลเลย แต่กลับถอนหายใจเฮือก “แต่ว่าพวกญาติพี่น้องในตระกูลเรา…….