NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1040 สองคนพี่น้อง

บทที่ 1040 สองคนพี่น้อง

มองดูท่าทางที่คล่องแคล่วของหลี่ฝางแล้ว ผู้ชายก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

“น้องชาย เมื่อก่อนเคยผ่านการฝึกฝนมาเหรอ?”

หลี่ฝางไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่รีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วกำลังจะจากไป

“เอ๊ะ รอเดี๋ยว น้องชาย คุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่เลยเหรอ?” ผู้ชายหัวเราะขึ้นมาทันที “สุภาษิตกล่าวไว้ว่าช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด คุณช่วยแค่ครึ่งหนึ่งมันหมายความว่าอะไรกันล่ะ?”

“คุณไม่เป็นอะไรแล้ว นั่งพักที่นี่สักพักก็ได้นะ” หลี่ฝางพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันอาศัยเวลาตอนนี้ต้องรีบไปช่วยคนอื่นอีก อาจไม่แน่จะได้ช่วยเหลือคนเพิ่มขึ้นอีกสองคนก็ได้”

ทั้งสองคนก็หัวเราะ หลี่ฝางพยักหน้า หันหลังกลับแล้วพาหยางฉงเดินจากไป

“รอเดี๋ยว เจ้าน้องชาย ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับไว้ด้วยสิ!”

หลี่ฝางไม่ได้เดินย้อนกลับมา ชี้นิ้วไปยังรถของตัวเอง โบกมือแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป

“เจ้าเด็กน้อยนี่ แน่จริงๆ” ผู้ชายหัวเราะเสียงดัง จดจำเบอร์ป้ายทะเบียนรถคันนั้นไว้

ตอนนี้หลี่ฝางก็ไปช่วยเหลือหลายคนไว้อย่างต่อเนื่อง แต่ว่าไม่ได้แสดงพลังพิเศษที่เหนือมนุษย์ออกมาให้เห็น เพราะเขารู้สึกว่าดูเหมือนเมื่อก่อนตัวเองจะเก่งกาจมากเกินไป ดังนั้นจึงเลือกที่จะซ่อนเร้นฐานะของตัวเองไว้เพื่อจะได้ปกป้องตัวเอง

เวลาผ่านไปไม่นานนัก รถพยาบาลส่งเสียงดัง“หวอๆ”ก็มาถึงที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ชายวัยกลางคนทางนั้น ก็มีกลุ่มคนเข้ามาห้อมล้อมไว้แล้ว

“โจวซู ท่านเป็นยังไงบ้าง?” เร็วเข้า พาลุงโจขึ้นรถพยาบาลด่วนเลย!”

เสียงตะโกนที่ดังแว่วมาจากทางนั้นทำให้หลี่ฝางแอบยิ้มคนเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยกลางคนคนนั้นจะมีฐานะสูงส่งไม่เบาเลย

แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากจราจรบนถนนคล่องตัวขึ้นแล้ว จึงขับรถจากไป

มาสายไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาถึงบริษัท

หลังจากลงจากรถแล้ว หยางฉงก็พูดกับหลี่ฝางว่า “เดี๋ยวขึ้นไปลงทะเบียนกับฉันหน่อย คุณเข้าออกจะได้สะดวกขึ้น ตามปกติคุณก็จัดการวางแผงเวลาของตัวเองก็แล้วกันนะ”

พอพูดจบ หยางฉงก็พาหลี่ฝางขึ้นไปชั้นบน

ภายในลิฟต์นั้น สีหน้าท่าทางการวางตัวของหยางฉงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในเสี้ยววินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้น เธอก็ได้กลายเป็นสาวมั่นมืออาชีพคนหนึ่งไปแล้ว ด้วยสีหน้าท่าทางที่สุขุมมากด้วยประสบการณ์

เมื่อเดินออกจากลิฟต์ ต่อหน้าพนักงานที่เดินก้มหัวทักทายด้วยความนอบน้อมอยู่รอบๆบริเวณนั้นเธอก็เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดคุยและยิ้มให้แต่อย่างใด

หยางฉงพาหลี่ฝางมาถึงหน้าห้องทำงานของตัวเอง ก็มีเลขาสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

เมื่อเห็นหยางฉงเข้ามา เลขาสาวก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ท่านประธานหยาง คุณหยางหุยผู้จัดการใหญ่จากบริษัทสาขาใหญ่โทรศัพท์มาบอกว่าอีกประเดี๋ยวจะเข้ามาค่ะ”

หยางฉงได้ยินชื่อนี้แล้ว ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เขามาที่นี่ทำไมเหรอ?”

“ท่านประธานหยางไม่ได้บอกไว้ค่ะ” เลขาสาวพูด

“เอาเถอะ รับรู้แล้ว” หยางฉงพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่หลี่ฝางแล้วพูดว่า “โจวเสว่ เขาชื่อหลี่ฝาง ต่อไปก็เป็นคนขับรถส่วนตัวของฉัน คุณช่วยพาเขาไปลงทะเบียนหน่อยสิ”

“ได้ค่ะ” โจวเสว่รีบตอบรับ ในใจกลับรู้สึกแปลกใจมาก ผู้จัดการใหญ่ตัวเองรับคนขับรถส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงแม้รู้สึกแปลกใจ แต่โจวเสว่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่นำทางพาหลี่ฝางไปลงทะเบียน

ทั้งสองคนก็ไม่ได้เจรจาอะไรกัน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์รอลิฟต์ขึ้นมาอย่างสงบเงียบ

ในไม่ช้า ประตูลิฟต์ก็เปิดออก มีผู้ชายในชุดเสื้อสูทคนหนึ่งหน้าตาท่าทางแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวเดินนำหน้าออกมา

เมื่อโจวเสว่มองเห็นผู้ชายคนนั้น ก็รีบทักทายว่า “สวัสดีค่ะ ท่านประธานหยาง!”

“สวัสดีครับ เออ? ผู้จัดการของพวกคุณมาหรือยังล่ะ?” ผู้ชายคนนั้นถาม

“ผู้จัดการเพิ่งมาถึงค่ะ” โจวเสว่รีบตอบทันที ขณะเดียวกันก็ลากหลี่ฝางหลีกทางให้ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านไป

ผู้ชายมองหน้าหลี่ฝาง แล้วถามว่า “เพิ่งมาเหรอ? ไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนขับรถของผู้จัดการพวกเราเอง”

“เธอก็ใช้คนขับรถด้วยเหรอ?” พูดพลางหยางหุยก็พิจารณาดูรูปร่างหน้าตาของหลี่ฝางจากตัวจรดเท้า แล้วหันหลังจากไป

หยางหุยมาถึงห้องทำงานของหยางฉงอย่างรวดเร็ว มองเห็นว่าหยางฉงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทำงาน

“พี่ใหญ่คะ” หยางฉงพูดทักทาย ท่าทางค่อนข้างจะเย็นชา

หยางหุยก้าวเท้าเดินเข้ามา มองดูหยางฉงแล้วพูดเสียงต่ำว่า “น้องฉง เรื่องเมื่อวานที่แกทำไปมันไม่เหมาะไม่ควรเลยนะ หลิวเห้าปอไอ้หมอนั่นเข้าไปหาพ่อถึงที่นั่นแล้ว”

อย่างน้อยก็เป็นน้องสาวของตัวเอง หยางหุยไม่อยากจะตำหนิเธอด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมากนัก เดิมทีก็เตรียมที่จะพูดอบรมสั่งสอนสักครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเอ่ยปากพูดกลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง

หยางฉงก็ฟังออกว่าในคำพูดของพี่ใหญ่แฝงด้วยความอบอุ่น อดไม่ได้ที่จะนึกน้อยใจ เมื่อนึกถึงตระกูลหยางทั้งตระกูล คนที่อยู่เคียงข้างตัวเองแล้วพูดจาดีๆมีเพียงไม่กี่คนจริงๆ

หยางฉงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจ ขอบตาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำน้ำตาก็ยังเอ่อล้นดวงตาทั้งสองข้าง

“พี่ใหญ่คะ หรือว่าตระกูลพวกเราจะมาถึงทางตันแล้วจริงๆเหรอ?” หยางฉงพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองไว้แล้วถามขึ้น

หยางหุยฟังเข้าใจความหมายหยางฉง เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! สถานการณ์วิกฤตในขณะนี้ อย่างมากก็ทำให้ตระกูลหยางพวกเราได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สูญเสียไปบางส่วนเท่านั้นเอง แต่ว่า…….”

“แต่ว่าถ้าหากพวกเราร่วมมือกับตระกูลหลิวในครั้งนี้ อาจไม่แน่จะสามารถพลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นก็ได้ แล้วเกิดผลประโยชน์มากมาย ทำให้อำนาจบารมีของตระกูลอหยางยิ่งใหญ่มากขึ้น ใช่ไหม?”

หยางฉงถามอย่างเรียบเฉย

หยางหุยถึงกับอึ้งแล้วพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนหนทาง เพราะว่าสิ่งที่น้องสาวตัวเองพูดนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

“เฮอ” ใบหน้าหยางฉงแสดงออกถึงรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ?” เธอถาม “มีสิทธิ์อะไรที่ต้องเสียสละฉัน? ตระกูลหยางตกต่ำถึงขั้นที่ต้องเสียสละฉันเพื่อช่วยเหลือวงศ์ตระกูลแล้วเหรอ? พี่ใหญ่ ฉันถามหน่อย ระหว่างฉันกับผลประโยชน์ของตระกูลหยาง อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?”

“แน่นอนต้องเป็นแกสิ!” หยางหุยตอบอย่างไม่ลังเลเลย แต่กลับถอนหายใจเฮือก “แต่ว่าพวกญาติพี่น้องในตระกูลเรา…….

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท