เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่หลี่ฝางและหยางฉงเข้ามาในบ้านของมานากะ
เวลากว่าครึ่งเดือนนี้ ทั้งสองคนล้วนกินและอาศัยอยู่ในห้องของมานากะ โดยมีมานากะเป็นคนนำอาหารเข้ามาให้
นอกจากนี้ มานากะยังมักจะแอบสืบข่าวการเคลื่อนไหวของแก๊งยามาโตะ และบอกหลี่ฝางเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกในปัจจุบัน
การกระทำดังกล่าว ทำให้หลี่ฝางยิ่งสับสนงุนงงมากยิ่งขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่
แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยถาม นั่นเพราะความแข็งแกร่งของเขายังไม่ฟื้นคืนกลับมา เขาวางแผนที่จะถามมานากะให้ชัดเจนหลังจากที่พลังของเขาฟื้นตัวแล้ว
อีกทั้งหลังจากผ่านไปหลายวัน หลี่ฝางก็พบว่า นิสัยของมานากะนั้นเก็บตัวมากกว่าที่เขาคิด อย่างน้อยๆระยะเวลาหลายวัน ที่ผ่านมามานากะที่อยู่ในบ้านไม่แม้แต่กระทั่งจะเอ่ยพูดคุยกับใคร ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาแล้ว
คนในตระกูลนี้ต่อต้านเธอ? กลัวเธอ? หรือว่าเกลียดเธอ?
หลังจากรู้จักกันมากว่าครึ่งเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างมานากะกับหยางฉงกลับยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้ ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยกันอย่างมีความสุข มองดูแล้วกลมกลืนกันเป็นพิเศษ
หลี่ฝางไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่า ทำไมมานากะถึงเป็นแบบนี้
สถานการณ์ของเธอแตกต่างจากสถานการณ์ของริโกะ เธอเป็นลูกคนเดียวในตระกูล พ่อแม่ล้วนยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ของเธอล้วนมีท่าทีที่เย็นชาต่อเธอ
อีกทั้งเธอเองก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนี้ ราวกับว่าในบ้านเป็นเพียงที่สำหรับกินนอนพักผ่อนเท่านั้น
หลังทานอาหารเสร็จ หลี่ฝางก็เงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “มานากะ อาการบาดเจ็บของฉันใกล้จะหายแล้ว บางทีฉันอาจจะสมควรบอกลาเธอแล้ว”
“จริงหรือคะ? ยินดีด้วย!” มานากะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ จากนั้น อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“พวกคุณกำลังจะหาทางออกจากญี่ปุ่นใช่ไหมคะ?”
“หลังจากทำเรื่องที่ฉันอยากทำเสร็จ พวกเราก็จะจากไป” หลี่ฝางเอ่ย “แต่ว่าระหว่างที่ยังอยู่ที่นี่ ฉันสามารถช่วยเธอได้เรื่องหนึ่ง”
หลี่ฝางดูออกมานานแล้วว่าการที่มานากะยอมเสี่ยงครั้งใหญ่เพื่อช่วยพวกเขาทั้งสอง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่นิสัยการเป็นพระแม่มารีมาเกิดอะไร แต่เป็นเพราะเธอมีเรื่องอยากร้องขอ
และเรื่องนี้ ก็จะต้องเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับมานากะ จนกระทั่งเธออาจจะไม่สามารถทำมันได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงฝากความหวังเอาไว้กับหลี่ฝาง
ส่วนหลี่ฝาง เขาจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณนี้
แต่หลังจากที่มานากะเอ่ยขึ้น กลับทำให้หลี่ฝางตกตะลึงตาค้างไป
“เธออยากให้นางาโตะตายงั้นเหรอ?”
หยางฉงที่อยู่ข้างๆเองก็เคยได้ยินหลี่ฝางเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เธอรู้ว่าใครคือนางาโตะและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “นางาโตะ….เขาไม่ใช่ลุงใหญ่ของเธอหรือ?”
ท่าทางของทั้งสองดูประหลาดใจ ใขณะที่มานากะกลับดูสงบอย่างยิ่ง นั่นเพราะเกรงว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินคำขอร้องของเธอก็คงต้องประหลาดใจทั้งนั้น
นางาโตะคือลุงใหญ่ของเธอและเป็นผู้นำตระกูลของพวกเธอ เป็นประหนึ่งเสาหลักของตระกูล แล้วทำไมมานากะถึงอยากฆ่าเขา?
คำพูดต่อไปของ มานากะ ทำให้ หลี่ฝางประหลาดใจอีกครั้ง
“เขาเป็นลุงของฉันแค่ในนาม แต่ที่จริงแล้ว เขาเป็นพ่อของฉัน เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดฉันโดยสายเลือด”
ประโยคดังกล่าวทำให้หลี่ฝางและหยางฉงมองหน้ากัน จากนั้นก็ตกตะลึงไปจนเหม่อไปอยู่เป็นเวลานาน
หลี่ฝางถามอย่างหยั่งเชิง “เธอหมายถึง…”
แต่ต่อมา คำพูดของมานากะทำให้หลี่ฝางและหยางฉงเกิดความรู้สึกน่าขันขึ้นมา
“แม่ของฉันสมัยยังสาวเธอสวยมาก สวยมากๆ ทุกคนในบ้านล้วนบอกว่า ฉันสืบทอดความสวยนี้มาจากแม่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ดังนั้น หลังจากที่แม่ของฉันแต่งงานกับพ่อของฉัน ในฐานะเจ้าบ้านตระกูล เขากลับไม่ยอมแพ้ และมีความปรารถนาที่ไม่เหมาะสมต่อแม่ของฉัน ในที่สุด ความปรารถนานี้ก็กลายเป็นการกระทำ…”
“ต่อมาภายใต้คำขู่และอ้อนวอนของเขา แม่ที่อ่อนแอจึงเลือกที่จะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ และให้กำเนิดฉัน ในตอนแรก พ่อของฉันคิดว่าฉันเป็นลูกสาวของเขาและดีกับฉันมากอย่างยิ่ง แต่ภายหลังเกิดการตรวจสอบโดยบังเอิญขึ้นมาครั้งหนึ่ง และพ่อของฉันก็พบว่า ตนเองที่แท้แล้วไม่สามารถมีลูกได้…”
“ความโกรธแค้นของพ่อ ไม่กล้าทำอะไรกับพี่ชายของเขา ดังนั้นเขาจึงได้แต่นำความโกรธนี้มาลงกับเขาทำได้แค่อารมณ์เสียกับฉันและแม่ ต่อมา ด้วยการแทรกแซงของนางาโตะ ผู้ชายขี้ขลาดคนนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรกับฉันและแม่อีก แต่ว่าครอบครัวนี้ ก็กลับมีรูปแบบที่พิกลพิการแบบนี้มาโดยตลอด มองดูแล้วเหมือนครอบครัวหนึ่ง แต่อันที่จริงกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน…”
น้ำเสียงของมานากะสงบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเย็นชาอย่างมาก ราวกับว่าที่เธอเอ่ยถึงเป็นแค่เรื่องของคนอื่น แต่นี่กลับทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหนาวสั่นเข้ากระดูก
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…” สำหรับเรื่องแบบนี้ หยางฉงแค่ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
แต่ปฏิกิริยาของหลี่ฝางกลับราบเรียบอย่างยิ่ง
สำหรับเขาแล้ว นางาโตะถูกหมายหัวว่าต้องตายเอาไว้ตั้งนานแล้ว คำพูดของมานากะ ก็แค่ทำให้ลำดับการฆ่านางาโตะนั้นเลื่อนขึ้นมาข้างหน้าอีกหน่อยก็เท่านั้น
“ฉันจะให้เธอได้ยินข่าวการตายของนางาโตะ”
……
ระหว่างทางจากโรงเรียน ริโกะรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย
นับตั้งแต่งานเลี้ยงน้ำชาในวันนั้น จิตใจของเธอก็ตกอยู่ในภวังค์แบบนี้มาตลอด ในสมองของเธอมีแต่ภาพของหลี่ฝาง
ผู้ชายคนนั้น ทำลายชีวิตที่มืดมนไร้แสงสว่างตลอด 18 ปีลง ความสดใสราวกับสายรุ้งในวันนั้น ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของเธออย่างไม่ลืมเลือน
อีกทั้งยังมีเงาร่างสูงใหญ่ที่ตกอยู่ในใจของเธอตลอดไป
บางที ชั่วชีวิตนี้เธออาจจะไม่มีวันลืมคนผู้นี้ที่ตนปรากฏตัวขึ้นในชีวิตเขาแค่เพียงหนึ่งวันสั้น ๆได้