เห็นเพียงว่าซูจื้อเย่ได้พากลุ่มคนเดินมาแต่ไกล และกล่าวกับลู่เผิงเฟยด้วยรอยยิ้มอันแปลกประหลาด: “คุณชายลู่ เพื่อนพนักงานรักษาความปลอดภัยของพวกเราท่านนี้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
เขาอยู่ไกลเลยไม่ได้ยินเนื้อหาที่หลี่ฝางและลู่เผิงเฟยคุยกัน ที่เข้ามาในเวลานี้ ก็แค่อยากจะราดน้ำมันบนกองไฟ จัดการหลี่ฝางให้สิ้นซากเท่านั้นเอง
“เพื่อนพนักงานรักษาความปลอดภัยงั้นเหรอ?”
ลู่เผิงเฟยชะงักงั้นไปชั่วขณะ จากนั้นก็พบว่าซูจื้อเย่ได้ชี้ไปที่หลี่ฝาง และได้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เขารู้ว่าหลี่ฝางอยู่ที่เมืองจินซาน แน่นอนว่าเขารู้ว่าตอนนี้หลี่ฝางกำลังเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย และเข้าใจ หลี่ฝางเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ก็แค่เล่น ๆ เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องจริงจังเลยสักนิด
แต่ซูจื้อเย่พูดออกมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขาทำไม่ถูก
“คุณชายลู่ยังไม่รู้หรอกเหรอ? พี่ชายท่านนี้เป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยของเรนโบว์ กรุ๊ป อนาคตสดใสเชียวนะ!” ซูจื้อเย่จงใจทำเป็นกล่าวอย่างเกินจริง
ลู่เผิงเฟยเกิดโมโหขึ้นมาในใจ แน่นอนว่าเขารู้ว่าลู่เผิงเฟยกำลังยุแยงตะแคงรั่ว แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ฝางถึงได้ปล่อยให้ซูจื้อเย่ยุแยงตะแคงรั่วโดยไม่เกรงกลัวแบบนี้ ดังนั้นก็เลยใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลี่ฝาง
และสายตานี้ของลู่เผิงเฟย ก็ได้ถูกพวกฟางหยู่ถงที่รู้สึกว่าไม่ปกติเมื่อสักครู่สังเกตเห็นเข้าทันที
ทันทีทันใด พวกเธอก็ได้มั่นใจในการคาดเดาของพวกเธอเพิ่มขึ้นไปอีก สายตาที่มองไปยังพวกซูจื้อเย่ ก็เริ่มแปลกไป มีความสงสารปะปนอยู่ในนั้นด้วย
สำหรับสายตาที่ลู่เผิงเฟยส่งมานั้น หลี่ฝางได้ส่ายหัวเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ
เขาคร้านที่จะไปสนใจคนที่เป็นเหมือนตัวตลกพวกนั้น
ลู่เผิงเฟยเหมือนจะเข้าใจความหมายของหลี่ฝางแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย และไม่สนใจพวกซูจื้อเย่อีก
ส่วนซูจื้อเย่ในเวลานี้ยังคงยุแยงตะแคงรั่วอย่างไม่รู้เป็นตาย: “พนักงานรักษาความปลอดภัยก็คือพนักงานรักษาความปลอดภัย มางานเลี้ยงแบบนี้รู้จักแต่กินดื่มลูกเดียวหรือไง? ในใจไม่รู้สึกตัวอะไรเลยเหรอ? สถานที่ระดับนี้ใช่ที่ที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเล็กควรจะมาไหม?”
ลู่เผิงเฟยทนไม่ได้อีกต่อไป เขากล่าวอย่างเย็นชา: “คุณซู พูดจากรุณาระวังด้วย!”
น้ำเสียงอันเย็นชาของเขา ต่อให้เป็นคนที่พึ่งจะเข้ามา ก็สามารถดูออกได้อย่างสิ้นเชิงว่า เวลานี้ท่าทีที่ลู่เผิงเฟยมีต่อซูจื้อเย่นั้นเปลี่ยนเป็นแบบไหนแล้ว
และเป็นธรรมดาที่ซูจื้อเย่จะสัมผัสได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ได้มองไปที่ลู่เผิงเฟยด้วยท่าทางสงสัย แต่กลับได้พบกับแววตาอันแปลกประหลาดที่ปะปนไปด้วยความเห็นอกเห็นใจของพวกฟางหยู่ถงทั้งสามคน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ: “คุณชายลู่……”
“ผมสนิทกับคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?” ลู่เผิงเฟยถามกลับอย่างไม่เกรงใจ
ทันทีทันใด บรรยากาศก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของลู่เผิงเฟย พวกซูจื้อเย่ก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หลังจากที่เงียบไปสักพัก เห็นลู่เผิงเฟยไม่กล่าวอะไรอีก จึงได้เพียงหมุนตัวเดินจากไป
“ทำไมอารมณ์ของคุณชายลู่ถึงได้เปลี่ยนไปเร็วแบบนี้นะ” ถังเต๋อหยวนบ่นกล่าว: “ประสาทหรือไง!”
ส่วนซูจื้อเย่ก็ได้ขบคิดเรื่องนี้อยู่อย่างเงียบ ๆ อดไม่ได้ที่จะด่าเสียงเบา: “ไอ้บ้ารปภ. นั้นมีเวทมนตร์หรือเปล่าน่ะ ทำไมฟางหยู่ถงพึ่งจะรู้จักกับมันไม่นานก็ปกป้องมันขนาดนี้ ตอนนี้ลู่เผิงเฟยเองก็เข้าข้างมันงั้นเหรอ?”
ที่สำคัญก็คือท่าทีของลู่เผิงเฟยนั้นเปลี่ยนไปมากเกินจริง ๆ
ตระกูลซูของเขานั้นก็ไม่ใช่หมาแมว จะให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเล็ก ๆ คนหนึ่งเบียดลงไป ทำให้ท่าทีที่ลู่เผิงเฟยมีต่อเขา เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวได้เร็วเช่นนี้ได้ยังไง?
พวกคนกลุ่มนั้นคิดจนหัวแทบจะระเบิดก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้
“ใช่แล้วคุณชายซู คุณลองถามสวู่เจินเจินนั่นดูก็ได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเธอและครอบครัวของคุณ เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้เธอก็คงจะช่วยอยู่หรอกใช่ไหม?” ถังเต๋อหยวนพลันนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้ จึงได้กล่าวกับซูจื้อเย่ขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“ใช่ ฉันลองถามเธอดู!” ซูจื้อเย่ดวงตาเป็นประกาย จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรีบส่งข้อความหาสวู่เจินเจิน
ไม่นานสวู่เจินเจินก็ได้รับข้อความ เธอมองดูข้อความที่ซูจื้อเย่ส่งมาแวบหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่สักพัก และมองคนที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความลำบากใจเล็กน้อย สุดท้ายยังคงส่งข้อความหนึ่งฉบับให้กับซูจื้อเย่
“หลี่ฝางมีฝีมือร้ายกาจมาก นายอย่าไปหาเรื่องเขาเลย”
ซูจื้อเย่ถามเธอว่าหลี่ฝางเป็นใครมาจากไหนกันแน่ สวู่เจินเจินฟังที่ทั้งสองคนคุยกัน คิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็คิดหาสาเหตุไม่เจอ จึงได้แต่เพียงตอบกลับไปเช่นนี้
ส่วนซูจื้อเย่เมื่อเห็นข้อความนั้นก็นึกถึงความเกรงกลัวที่ถูกหลี่ฝางอัดในวันนั้นขึ้นมาได้ ภายในใจก็พลันเหมือนกับปลงตกแล้วอย่างไรอย่างนั้น และเข้าใจขึ้นมาทันที
“แบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าลู่เผิงเฟยนั่นคิดจะชักชวนหลี่ฝางมาเป็นพวกสินะ”
ถึงแม้อิทธิพลของตระกูลลู่จะกว้างใหญ่ไพศาล ในฐานะตระกูลอันดับต้น ๆ ไม่เคยอ่อนข้อให้กับตระกูลอื่น ๆ เลยสักครั้ง
แต่ตระกูลลู่ก็ยังมีจุดที่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ก็คือมียอดมีมือนักรบน้อย ความสามารถของยอดฝีมือที่ตัวเองปลูกฝังก็ไม่คู่ควรกับฐานะของตระกูลลู่
เหล่าตระกูลอันดับต้น ๆ ของประเทศจีน การให้กำเนิดยอดฝีมือนักรบเกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งไปแล้ว ดังนั้นตระกูลลู่ถึงได้มีแผนการที่จะชักชวนหลี่ฝางมาเป็นพวกแบบนี้ มันก็ไม่น่าแปลกแล้ว
“ถ้าหากเขาเป็นยอดฝีมือที่แม้แต่ลู่เผิงเฟยยังหยากจะดึงไปเป็นพวกล่ะก็ ทำไมถึงต้องไปเป็นรปภ. ด้วยล่ะ?” ถังเต๋อหยวนที่อยู่ด้านข้างไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก
“หึ! ยอดฝีมือนักรบงั้นเหรอ? ลองเทียบกับตระกูลซูแห่งหนานเจียงดูสักหน่อยสิ!” ซูจื้อเย่ยิ้มเยาะขึ้นมา: “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะแกล้งทำเป็นหมูกินเสือหรือมีเหตุผลอื่น พูดถึงยอดฝีมือ ตระกูลซูแห่งหนานเจียงของฮฉันยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน!”
คุณแม่ของซูจื้อเย่เป็นคนของตระกูลซูแห่งหนานเจียง นี่เป็นเรื่องที่เปิดเผยในเมืองจินซาน ตระกูลซูที่มีฐานะเป็นตระกูลด้านยุทธภพ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้แต่ซูจื้อเย่เองยังใช้แซ่ของตระกูลซู คุณพ่อของซูจื้อเย่เองครึ่งหนึ่งก็นับว่าเป็นสามีที่แต่งเข้าบ้านภรรยา ดังนั้นถึงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซูมากเช่นนี้ พัฒนาจนมาถึงระดับในทุกวันนี้