NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1126 ท่าทีของลู่เผิงเฟย

บทที่ 1126 ท่าทีของลู่เผิงเฟย

เห็นเพียงว่าซูจื้อเย่ได้พากลุ่มคนเดินมาแต่ไกล และกล่าวกับลู่เผิงเฟยด้วยรอยยิ้มอันแปลกประหลาด: “คุณชายลู่ เพื่อนพนักงานรักษาความปลอดภัยของพวกเราท่านนี้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

เขาอยู่ไกลเลยไม่ได้ยินเนื้อหาที่หลี่ฝางและลู่เผิงเฟยคุยกัน ที่เข้ามาในเวลานี้ ก็แค่อยากจะราดน้ำมันบนกองไฟ จัดการหลี่ฝางให้สิ้นซากเท่านั้นเอง

“เพื่อนพนักงานรักษาความปลอดภัยงั้นเหรอ?”

ลู่เผิงเฟยชะงักงั้นไปชั่วขณะ จากนั้นก็พบว่าซูจื้อเย่ได้ชี้ไปที่หลี่ฝาง และได้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

เขารู้ว่าหลี่ฝางอยู่ที่เมืองจินซาน แน่นอนว่าเขารู้ว่าตอนนี้หลี่ฝางกำลังเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย และเข้าใจ หลี่ฝางเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ก็แค่เล่น ๆ เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องจริงจังเลยสักนิด

แต่ซูจื้อเย่พูดออกมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขาทำไม่ถูก

“คุณชายลู่ยังไม่รู้หรอกเหรอ? พี่ชายท่านนี้เป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยของเรนโบว์ กรุ๊ป อนาคตสดใสเชียวนะ!” ซูจื้อเย่จงใจทำเป็นกล่าวอย่างเกินจริง

ลู่เผิงเฟยเกิดโมโหขึ้นมาในใจ แน่นอนว่าเขารู้ว่าลู่เผิงเฟยกำลังยุแยงตะแคงรั่ว แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ฝางถึงได้ปล่อยให้ซูจื้อเย่ยุแยงตะแคงรั่วโดยไม่เกรงกลัวแบบนี้ ดังนั้นก็เลยใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลี่ฝาง

และสายตานี้ของลู่เผิงเฟย ก็ได้ถูกพวกฟางหยู่ถงที่รู้สึกว่าไม่ปกติเมื่อสักครู่สังเกตเห็นเข้าทันที

ทันทีทันใด พวกเธอก็ได้มั่นใจในการคาดเดาของพวกเธอเพิ่มขึ้นไปอีก สายตาที่มองไปยังพวกซูจื้อเย่ ก็เริ่มแปลกไป มีความสงสารปะปนอยู่ในนั้นด้วย

สำหรับสายตาที่ลู่เผิงเฟยส่งมานั้น หลี่ฝางได้ส่ายหัวเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธ

เขาคร้านที่จะไปสนใจคนที่เป็นเหมือนตัวตลกพวกนั้น

ลู่เผิงเฟยเหมือนจะเข้าใจความหมายของหลี่ฝางแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย และไม่สนใจพวกซูจื้อเย่อีก

ส่วนซูจื้อเย่ในเวลานี้ยังคงยุแยงตะแคงรั่วอย่างไม่รู้เป็นตาย: “พนักงานรักษาความปลอดภัยก็คือพนักงานรักษาความปลอดภัย มางานเลี้ยงแบบนี้รู้จักแต่กินดื่มลูกเดียวหรือไง? ในใจไม่รู้สึกตัวอะไรเลยเหรอ? สถานที่ระดับนี้ใช่ที่ที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเล็กควรจะมาไหม?”

ลู่เผิงเฟยทนไม่ได้อีกต่อไป เขากล่าวอย่างเย็นชา: “คุณซู พูดจากรุณาระวังด้วย!”

น้ำเสียงอันเย็นชาของเขา ต่อให้เป็นคนที่พึ่งจะเข้ามา ก็สามารถดูออกได้อย่างสิ้นเชิงว่า เวลานี้ท่าทีที่ลู่เผิงเฟยมีต่อซูจื้อเย่นั้นเปลี่ยนเป็นแบบไหนแล้ว

และเป็นธรรมดาที่ซูจื้อเย่จะสัมผัสได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ได้มองไปที่ลู่เผิงเฟยด้วยท่าทางสงสัย แต่กลับได้พบกับแววตาอันแปลกประหลาดที่ปะปนไปด้วยความเห็นอกเห็นใจของพวกฟางหยู่ถงทั้งสามคน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ: “คุณชายลู่……”

“ผมสนิทกับคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?” ลู่เผิงเฟยถามกลับอย่างไม่เกรงใจ

ทันทีทันใด บรรยากาศก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของลู่เผิงเฟย พวกซูจื้อเย่ก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หลังจากที่เงียบไปสักพัก เห็นลู่เผิงเฟยไม่กล่าวอะไรอีก จึงได้เพียงหมุนตัวเดินจากไป

“ทำไมอารมณ์ของคุณชายลู่ถึงได้เปลี่ยนไปเร็วแบบนี้นะ” ถังเต๋อหยวนบ่นกล่าว: “ประสาทหรือไง!”

ส่วนซูจื้อเย่ก็ได้ขบคิดเรื่องนี้อยู่อย่างเงียบ ๆ อดไม่ได้ที่จะด่าเสียงเบา: “ไอ้บ้ารปภ. นั้นมีเวทมนตร์หรือเปล่าน่ะ ทำไมฟางหยู่ถงพึ่งจะรู้จักกับมันไม่นานก็ปกป้องมันขนาดนี้ ตอนนี้ลู่เผิงเฟยเองก็เข้าข้างมันงั้นเหรอ?”

ที่สำคัญก็คือท่าทีของลู่เผิงเฟยนั้นเปลี่ยนไปมากเกินจริง ๆ

ตระกูลซูของเขานั้นก็ไม่ใช่หมาแมว จะให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเล็ก ๆ คนหนึ่งเบียดลงไป ทำให้ท่าทีที่ลู่เผิงเฟยมีต่อเขา เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวได้เร็วเช่นนี้ได้ยังไง?

พวกคนกลุ่มนั้นคิดจนหัวแทบจะระเบิดก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้

“ใช่แล้วคุณชายซู คุณลองถามสวู่เจินเจินนั่นดูก็ได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเธอและครอบครัวของคุณ เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้เธอก็คงจะช่วยอยู่หรอกใช่ไหม?” ถังเต๋อหยวนพลันนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้ จึงได้กล่าวกับซูจื้อเย่ขึ้นมาอย่างรีบร้อน

“ใช่ ฉันลองถามเธอดู!” ซูจื้อเย่ดวงตาเป็นประกาย จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรีบส่งข้อความหาสวู่เจินเจิน

ไม่นานสวู่เจินเจินก็ได้รับข้อความ เธอมองดูข้อความที่ซูจื้อเย่ส่งมาแวบหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่สักพัก และมองคนที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความลำบากใจเล็กน้อย สุดท้ายยังคงส่งข้อความหนึ่งฉบับให้กับซูจื้อเย่

“หลี่ฝางมีฝีมือร้ายกาจมาก นายอย่าไปหาเรื่องเขาเลย”

ซูจื้อเย่ถามเธอว่าหลี่ฝางเป็นใครมาจากไหนกันแน่ สวู่เจินเจินฟังที่ทั้งสองคนคุยกัน คิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็คิดหาสาเหตุไม่เจอ จึงได้แต่เพียงตอบกลับไปเช่นนี้

ส่วนซูจื้อเย่เมื่อเห็นข้อความนั้นก็นึกถึงความเกรงกลัวที่ถูกหลี่ฝางอัดในวันนั้นขึ้นมาได้ ภายในใจก็พลันเหมือนกับปลงตกแล้วอย่างไรอย่างนั้น และเข้าใจขึ้นมาทันที

“แบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าลู่เผิงเฟยนั่นคิดจะชักชวนหลี่ฝางมาเป็นพวกสินะ”

ถึงแม้อิทธิพลของตระกูลลู่จะกว้างใหญ่ไพศาล ในฐานะตระกูลอันดับต้น ๆ ไม่เคยอ่อนข้อให้กับตระกูลอื่น ๆ เลยสักครั้ง

แต่ตระกูลลู่ก็ยังมีจุดที่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ก็คือมียอดมีมือนักรบน้อย ความสามารถของยอดฝีมือที่ตัวเองปลูกฝังก็ไม่คู่ควรกับฐานะของตระกูลลู่

เหล่าตระกูลอันดับต้น ๆ ของประเทศจีน การให้กำเนิดยอดฝีมือนักรบเกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งไปแล้ว ดังนั้นตระกูลลู่ถึงได้มีแผนการที่จะชักชวนหลี่ฝางมาเป็นพวกแบบนี้ มันก็ไม่น่าแปลกแล้ว

“ถ้าหากเขาเป็นยอดฝีมือที่แม้แต่ลู่เผิงเฟยยังหยากจะดึงไปเป็นพวกล่ะก็ ทำไมถึงต้องไปเป็นรปภ. ด้วยล่ะ?” ถังเต๋อหยวนที่อยู่ด้านข้างไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก

“หึ! ยอดฝีมือนักรบงั้นเหรอ? ลองเทียบกับตระกูลซูแห่งหนานเจียงดูสักหน่อยสิ!” ซูจื้อเย่ยิ้มเยาะขึ้นมา: “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะแกล้งทำเป็นหมูกินเสือหรือมีเหตุผลอื่น พูดถึงยอดฝีมือ ตระกูลซูแห่งหนานเจียงของฮฉันยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน!”

คุณแม่ของซูจื้อเย่เป็นคนของตระกูลซูแห่งหนานเจียง นี่เป็นเรื่องที่เปิดเผยในเมืองจินซาน ตระกูลซูที่มีฐานะเป็นตระกูลด้านยุทธภพ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้แต่ซูจื้อเย่เองยังใช้แซ่ของตระกูลซู คุณพ่อของซูจื้อเย่เองครึ่งหนึ่งก็นับว่าเป็นสามีที่แต่งเข้าบ้านภรรยา ดังนั้นถึงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซูมากเช่นนี้ พัฒนาจนมาถึงระดับในทุกวันนี้

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท