ในเมื่อหลี่ต๋าคางได้ยอมรับหยางฉงแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ให้หยางฉงแบกท้องไปพักที่โรงแรมข้างนอก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความปลอดภัย นี่เป็นท้องแรกของหยางฉง มีหลายอย่างที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ อยู่ข้างนอกเพียงลำพังในที่ที่ไม่คุ้นเคย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจะต้องแย่แน่เลย
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้หยางฉงอยู่ที่สถานตากอากาศ ที่นี่มีตัวเองและพวกส้าวส้วยคอยดูแล ต่อให้มีคู่อริมาหาเรื่องก็ไม่ต้องกลัว
“คุณลุงนี้ นี่ มันไม่ค่อยดีมั้งคะ? ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกคุณลุง” หยางฉงมองหลี่ต๋าคางด้วยความลังเล เธอยังทันได้แต่งงานกับหลี่ฝาง คงไม่ดีที่จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่สามีในอนาคตแบบนี้
“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก เห็นที่นี่เป็นเหมือนบ้านของตัวเองนะเสี่ยวฉง ถ้าเธอไม่อยู่ที่นี่ต่อ อีกเดี๋ยวคุณป้าของเธอพื้นขึ้นมาจะต้องเล่นงานลุงแน่ ๆ ถือว่าช่วยลุงเถอะนะ อยู่เป็นเพื่อนคุณป้าที่นี่”
หลี่ต๋าคางนั้นเข้าใจความคิดของผู้หญิงมากจริง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นกับหยางฉง แต่ได้ยกเมี๋ยวชุ่ยออกมา หยางฉงไม่รับปากก็ต้องรับปากแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ หลังจากที่หยางฉงได้ยินว่าหลี่ต๋าคางให้ตัวเองอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเป็นเพื่อนเมี๋ยวชุ่ย ใจที่อยากปฏิเสธนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้แรงกล้าเหมือนเดิม เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยความลังเล: “ก็ได้ค่ะ งั้นฉันพักอยู่ที่นี่คุยเป็นเพื่อนคุณป้า”
เมื่อเห็นหยางฉงไม่ไปแล้ว หลี่ต๋าคางก็ได้รีบสั่งให้เหล่าคนรับใช้ไปทำความสะอาดตึกที่อยู่ใกล้เขาและเมี๋ยวชุ่ยที่สุดออกมา หยางฉงและหวางซีเหยาได้เข้าพักที่สถานตากอากาศไปอย่างเป็นทางการเช่นนี้
ถึงแม้ที่ด้านนอกจะผ่านไปเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว แต่ที่ด้านในซากปรักหักพังลึกลับ นั้นพึ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง
หลังจากที่ขาดการติดต่อกับพวกมังกรฟ้าไปในวันนั้น หลี่ฝางก็ได้พากู่ยี่เทียนเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพังลึกลับ ตอนกลางคืนของในป่านั้นมักจะมาถึงเร็วกว่าที่ไหน ๆ ทั้งสองคนเดินคลำอยู่ในป่าลึกลับสี่ห้าชั่วยาม จากนั้นท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง
ในซากปรักหักพังลึกลับ นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่โลกภายนอกไม่มีอยู่มากมาย ตอนกลางวันยังไม่คิดว่ามันน่ากลัวสักเท่าไหร่นัก แต่พอมาถึงตอนกลางคืน ป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แม้แต่คนเดียว บวกกับเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าที่ดังมาเป็นระยะ ๆ ทำให้ลูกผู้ชายที่ไม่เกรงกลัวความตายอย่างหลี่ฝางและกู่ยี่เทียนเกิดขนลุกขนพองขึ้นมาภายในใจ
“พวกเราหาที่ปลอดภัยตั้งค่ายพักแรมกันเถอะ ซากปรักหักพังลึกลับ ในตอนกลางคืนอันตรายมาก ไม่เหมาะที่จะเดินทางต่อ” ในตอนนี้ท้องฟ้าได้มืดสนิทไปแล้ว มองดุสภาพแวดล้อมที่มองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง หลี่เหตุการณ์ตัดสินใจที่จะตั้งค่ายพักแรมตรงนั้นเลย
กู่ยี่เทียนเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้กางเต็นท์พักแรมบนโขดหินขนาดใหญ่ที่นูนออกมา หาเก็บฟืนที่อยู่รอบ ๆ มาก่อกองไฟ
“หวังจริง ๆ ว่าจะหาอาซาโทสเจอโดยเร็ว จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย ฉันไม่อยากจะอยู่ในที่บ้า ๆ นี่นานกว่านี้แม้วินาทีเดียว”
นั่งอยู่ที่ข้างกองไฟ กู่ยี่เทียนบ่นกับหลี่ฝางไปพลางเคี้ยวธัญพืชอัดแผ่นที่ยากจะกลืนลงคอไป
ถึงแม้อยู่ในซากปรักหักพังลึกลับ แห่งนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศนั้นยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนเดิม ทำให้พวกหลี่ฝางทั้งสองคนที่สวมชุดป้องกันพิเศษร้อนจนแทบทนไม่ไหว ในตอนแรกกู่ยี่เทียนอยากจะถอดชุดป้องกันพิเศษนี่ออก แต่เมื่อเห็นยุงพิษตัวใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือนั่นความคิดนี้ก็ถูกทำลายไป
ถึงขนาดค้นเอาหมวกใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ห่อหุ้มตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า เกรงว่าจะมีผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่งโผล่ออกมา
นอกจากนี้ทางเดินต่อไปข้างหน้ายังอันตรายอย่างสุดขีด ไม่รู้ว่าทางน้ำไหลเปลี่ยนแปลงไปหรือยังไง ทางเดินบนเขาที่หลี่ฝางเคยเดินเมื่อครั้งที่แล้วกลับกลายเป็นแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก ไม่มีทางเลือกทั้งสองคนจึงได้แต่เดินขึ้นไปตามริมแม่น้ำ
พวกเขาไม่เพียงต้องคอยระวังสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าตลอดเวลา แล้วยังต้องคอยระวังสัตว์ประหลาดที่อยู่ในแม่น้ำอีก
สัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำนั้นมีหน้าตาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ดำสนิทไปทั้งตัว คล้ายกับจระเข้ คลานเคลื่อนที่ด้วยสี่เท้า มีหางยาว ๆ ลากอยู่ด้านหลัง แต่ผิวหนังของสัตว์ประหลาดนั่นกลับลื่นราวกับงู แถมยังหลั่งเมือกสีเขียวออกมา มีพลังกัดกร่อนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หัวก็ราบเรียบไปหมด ดวงตาคู่นั้นไม่มีแม้แต่เปลือกตา ปูดนูนอยู่บนหัวนั่น ไม่มีจมูก มีเหงือกปลาอยู่ที่ข้างหัวทั้งสองข้าง ในปากที่ใหญ่โตนั้นมีฟันอันแหลมคมเรียงรายกันอยู่อย่างไม่สม่ำเสมอ
ตอนที่กู่ยี่เทียนเห็นสัตว์ประหลาดชนิดนี้เป็นครั้งแรกนั้นเขาแทบจะอาเจียนออกมาด้วยความขยะแขยง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ศึกษาสัตว์ประหลาดนี่ได้อย่างละเอียด ก็ถูกสัตว์ประหลาดจู่โจมเข้าให้แล้ว หลี่ฝางและกู้ยี่เทียนใช้ความพยายามอย่างมากถึงหลุดพ้นจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นมาได้
“นายเลิกบ่นได้แล้วน่า กินเสร็จก็รีบพักผ่อน เก็บรวบรวมพลังเอาไว้ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” พูดตามจริงการกลับเข้ามาที่ซากปรักหักพังลึกลับ อีกครั้งในครั้งนี้ หลี่ฝางเองก็ถูกเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี่ทำให้ตกตะลึง
ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซากปรักหักพังลึกลับ เมื่อครั้งที่แล้วจะเกินกว่าขอบเขตของวิทยาศาสตร์ไปแล้ว แต่สิ่งที่พบเจอในครั้งนี้นั้น มันแปลกประหลาดกว่าครั้งที่แล้วอีกมาก มันทำให้คนที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไรอย่างเขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้สารเลวอาซาโทสนั่นนะ ตอนนี้ฉันก็คงเล่นเกมอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ ไม่จำเป็นต้องมาทุกทรมานอยู่ที่นี่แบบนี้หรอก แม่ง ฉันแทบอยากจะลอกหนังหักกระดูกมันจริง ๆ !”
ถึงแม้หลี่ฝางจะบอกให้กู่ยี่เทียนเลิกบ่น แต่เขาก็ยังคงด่าสาปแช่งอาซาโทสอยู่ไม่หยุด ด่าไปพลางกัดธัญพืชอัดแผ่นที่แข็งราวกับหินที่อยู่ในมือไป อย่างกับว่าธัญพืชอัดแผ่นนั่นเป็นอาซาโทสอย่างไรอย่างนั้น
หลี่ฝางมองดูท่าทางดุร้ายของเขา ก็ยิ้มไปพลางส่ายหัวไป ในขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมานั้น จู่ ๆ ในป่าที่ทึบที่เงียบสนิทก็มีเสียงนกหวีดดังแสบหูลอยมา
เสียงนกหวีดนั่นเหมือนกับมีเวทมนตร์ ราวกับมีพลังที่สามารถโจมตีจิตวิญญาณของมนุษย์ หลี่ฝางและกู่ยี่เทียนเพียงรู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองกำลังสั่นสะท้าน ปวดหัวราวกับสมองจะระเบิด สติก็เริ่มเลือนรางขึ้นมา
วินาทีก่อนที่หลี่ฝางจะสลบไปนั้น ก็ได้เห็นเงาร่างสีดำทะมึนกระโดดเข้ามาที่ด้านหน้าของตัวเองและกู่ยี่เทียน เมื่อเห็นพวกเขาจะลงมือต่อกู่ยี่เทียน เขาก็พยายามดิ้นรนที่จะต่อสู้กลับ แต่ท้ายทอยพลันถูกคนตีเข้าให้อย่างจัง จากนั้นทั่วทั้งโลกก็ได้เข้าสู่ความมืดมิด
“ซี้ด……” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดหลี่ฝางก็ได้สติขึ้นมา หลังจากที่ครางเบา ๆ เขาก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้น
“หลี่ฝาง นายฟื้นแล้วเหรอ? !” กู่ยี่เทียนได้ฟื้นขึ้นมาก่อนหลี่ฝางสักพักแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของหลี่ฝาง ก็ได้รีบวิ่งเข้าไป และพยุงหลี่ฝางที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมา
หลี่ฝางลูบคลำท้ายทอยที่ยังคงบวมและเจ็บอยู่เบา ๆ เขามองกู่ยี่เทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย สายตาที่เขาจ้องมองมานั้นทำให้หัวใจของกู่ยี่เทียนเต้นตึกตัก เย็xเข้ หมอนี่คงไม่ได้ความจำเสื่อมอีกแล้วหรอกนะ?
“นี่! หลี่ฝาง! นายยังจำฉันได้ไหม? นายยังไม่ได้ความจำเสื่อมอีกแล้วหรอกนะ?”
“แม่งฉันไม่ได้กินโรคความจำเสื่อมเป็นอาหารสักหน่อย จะความจำเสื่อมทุกวันได้ยังไง” หลี่ฝางที่ได้สติกลับคืนมาตีมือของกู่ยี่เทียนที่จับอยู่บนไหล่ของตัวเองออกอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เริ่มสังเกตการณ์พื้นที่โดยรอบ
ในตอนนี้เขาและกู่ยี่เทียนถูกขังไว้ในคุกแห่งหนึ่ง คุกแห่งนี้นั้นทั้งสามด้านเป็นกำแพงหิน มีเพียงด้านเดียวเท่านั้นที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยกรงเหล็ก
คุกแห่งนี้น่าจะถูกสร้างอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง เพราะเมื่อหลี่ฝางมองผ่านกรงเหล็กออกไปนั้นก็เห็นเป็นผืนป่าดึกดำบรรพ์