หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทุกอย่างก็นับว่าเกือบกลับมาเป็นปกติสักที
ส้าวส้วยหันไปมองอูหลิงที่หลับตาลงไปแล้ว หวังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่เมื่อครุ่นคิดไปมาสุดท้ายก็ไม่ได้อ้าปากพูดออกมา
“สิ่งที่อยู่ร่างของหลี่ฝางนั้นเป็นปัญหาอย่างมาก ตอนนี้ผมทำได้เพียงสะกดเขาเอาไว้ได้สักพักเท่านั้น หากต้องการที่จะกำจัดเขาให้สิ้นซาก จำเป็นต้องเชิญให้เซียนผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าเราออกโรงช่วยเหลือ”
ส้าวส้วยที่เพิ่งล้มตัวนอนลงไป กำลังเตรียมจะหลับตานอน จู่ๆ ภายในเต็นท์ก็มีเสียงของอูหลิงดังขึ้นมา
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อูหลิงเป็นเริ่มพูดกับส้าวส้วย ตอนแรกส้าวส้วยยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ผ่านไปสักพักเขาถึงจะตอบกลับ
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้มีความแค้นกับพวกเรา เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ต้องขอบใจที่นายเข้ามาช่วยเหลือ ฉันว่านายก็คงจะรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ร่างของหลี่ฝางคืออะไร ถ้าเกิดว่าปล่อยให้เขาได้ครอบครองร่างของหลี่ฝางโดยสมบูรณ์ อย่างนั้นก็คงจะกลายเป็นหายนะต่อโลกนี้ทันที”
“ดังนั้นฉันอยากขอให้นายช่วยพวกเราอีกครั้ง รอให้ถึงดินแดนของเผ่ากู่แล้ว ยังหวังว่านายจะยังช่วยออกหน้าช่วยพวกเชิญเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของพวกนายออกมา”
ส้าวส้วยเป็นคนที่ทั้งการพูดและการกระทำนั้นล้วนอยู่ในความเหมาะสม ไม่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เมื่อได้ยินอย่างนั้นอูหลิงก็แสยะเสียงเย็นชาออกมา ด้วยท่าทีที่ดีกว่าก่อนหน้านี้
“คุณวางใจเถอะ ต่อให้ผมจะไม่สนใจความเป็นความตายของพวกคุณ แต่ผมไม่สนใจคนในเผ่าของผมไม่ได้”
เมื่อมีคำพูดนี้ของ อูหลิง ใจของส้าวส้วยก็พอที่จะสงบลงมาได้เสียหน่อย อันที่จริงเขารู้แต่แรกอยู่แล้วว่าอูหลิง ยืนอยู่ข้างพวกเขา ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางมาที่โรงแรมแน่นอน
อีกอย่างเรื่องในคืนนี้ อูหลิงเอาตัวเองไปเผชิญหน้ากับเทพอ้านโดยตรงอีก ถ้าหากเขาไม่ช่วยหลี่ฝาง ในวันข้างหน้าเทพอ้านจะต้องกลับมาก็แค้นเผ่ากู่ของเขาแน่นอน
“ขอบใจนายมากนะ” ส้าวส้วยที่ไม่รู้ว่าจะแสดงความตื้นตันใจที่ตัวเองมีต่ออูหลิง ได้รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดเป็นคำขอบคุณออกมา
“เอาเถอะๆ คุณไม่ต้องมาพูดจาเกรงใจกันแบบนี้กับผมหรอก เพราะผมเองก็ทำเพียงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองเท่านั้น”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดขอบคุณของส้าวส้วย หน้าของอูหลิงก็รู้สึกร้อนแผ่ว ด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาโบกมือขึ้นทำทีไม่สนใจ ก่อนจะพลิกตัวไปอีกแล้วหลับตาลง
ด้านส้าวส้วยเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบตื๊อ เมื่อเห็นว่าเขานอนหลับไปแล้ว ตัวเองจึงกลับตัวไปอีกทาง ทั้งสองหันหลังใส่กันแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในเช้าของวันถัดมา เพราะเสียงนกร้องทำให้หลี่ฝางสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาตบหัวตัวเองที่กำลังสะลึมสะลือเบาๆ จนผ่านไปสักพักกว่าจะตั้งสติได้
“เห้ย ตอนนี้นายคือหลี่ฝางหรือว่าเทพอ้านไอ้คนตายยากคนนั้น ?” และในตอนนั้นเอง กู่ยี่เทียนที่เปิดเต็นท์เข้ามาแล้วได้เห็นว่าหลี่ฝางได้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว ก็แสดงสีหน้าระมัดระวังพร้อมกับโยนหินเล็กก้อนหนึ่งใส่เขา
เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังตัวของกู่ยี่เทียน หลี่ฝางถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่นายกลายเป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู่ยี่เทียนถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาหลี่ฝาง พร้อมตบลงบนหลังของเขาอย่างเสียอารมณ์
“นายจะไปรู้อะไร!เมื่อคืนนี้ฉันเกือบจะต้องตายด้วยมือนายแล้ว!นายดูสิแผลบนแขนนี่เป็นฝีมือของนาย”
กู่ยี่เทียนเลิกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นอย่างไม่พอใจ แล้วยื่นแขนที่พันแผลเอาไปตรงหน้าของหลี่ฝาง
เมื่อเห้นว่าบนแขนของเขาในตอนนี้ยังมีคราบเลือดสีแดงซึมอยู่บนผ้าพันแผล ในใจของหลี่ฝางก็รู้สึกผิดขึ้นมา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้เลย แต่เพราะในตอนนั้นร่างกายได้ถูกเทพอ้านครอบงำไปแล้ว เขาจึงได้เพียงแต่ร้อนรนใจเท่านั้น
“ขอโทษนะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนั้น”
“เอาเถอะ ฉันรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือนายเป็นคนทำ นายเองก็อย่าได้ใส่ใจเลย ผู้ชายอกสามศอกอย่างฉัน แผลแค่นี้จะเป็นอะไรไปได้ ส่วนนายก็จัดระเบียบตัวเองสักหน่อยแล้วกินอะไรหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องเดินทางต่อแล้ว”
กู่ยี่เทียนไม่ได้คิดจะโทษอะไรหลี่ฝางอยู่แล้ว ยังไงซะเขาก็รู้ดีว่าคนที่ต้องการฆ่าตัวเขาเมื่อคืนนี้คือเทพอ้านไม่ใช่หลี่ฝาง เขาตบไหล่ของหลี่ฝาง พร้อมกับหยิบเอาขนมปังแผ่นถุงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังของตัวเองแล้วออกจากเต็นท์ไป
เมื่อมองดูแผ่นหลังอันสง่าของกู่ยี่เทียนแล้ว หลี่ฝางก็ยิ้มพลางสะบัดหน้า ก่อนที่เขาจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกออกจากที่นอน
“ลูกพี่!ตื่นแล้วหรอ?รู้สึกยังไงบ้างครับ?” ไขจี๋เออที่กำลังก่อไฟต้มน้ำ เห็นหลี่ฝางเดินออกมาจากเต็นท์ก็รีบวิ่งเข้าไปหาแล้วถามด้วยใบหน้าเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไรแล้วหล่ะ ไม่ต้องกังวล” ในตอนที่อยู่ต่อหน้ารุ่นน้องที่ทั้งมีความสามารถสติปัญญาและเชื่อฟัง ท่าทีของหลี่ฝางที่มีต่อเขาก็ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย
และเมื่อได้ยินหลี่ฝางบอกว่าไม่เป็นไร ความตระหนกในใจของ ไขจี๋เออก็สงบลง “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ ผมต้มน้ำร้อนเอาไว้แล้ว ลูกพี่รีบไปล้างหน้าทำความสะอาดสักหน่อยเถอะครับ”
หลังจากที่พูดจบ ไขจี๋เออก็หันหลังกลับไปทำงานต่อ ซึ่งในตอนที่หลี่ฝางกำลังล้างหน้าทำความสะอาดอยู่นั้น ทุกคนที่ออกไปหาอาหารก็พากันหลับมายังที่ตั้งแคมป์
ส้าวส้วยกับอูหลิงในมือของทั้งสองถือปลาไว้คนละสองสามตัว ทางด้านกู่ยี่เทียนกับ เสี่ยวหลินตังก็ถือผลไม้ป่าสดๆ เอาไว้ ส่วนไขบู๊เกอก็เก็บเอาไม้แห้งกลับมา
หลังจากที่กลับมาพวกเขาได้พูดคุยทักทายกับหลี่ฝางอยู่ครู่หนึ่งเสียก่อน จากนั้นก็พากันไปจัดเตรียมอาหารเช้า
ต้องบอกเลยว่าฝีมือของกู่ยี่เทียนและส้าวส้วยนั้นสุดยอดอย่างมาก เพียงไม่นานปลาหลายถูกที่นำกลับมาก็ถูกจัดการจนสะอาดเรียบร้อย ก่อนจะเสียบลงไปบนกิ่งไม้แหลมที่ถูกลอกเปลือกทิ้งไปแล้ว จากนั้นก็นำไปย่างบนกองไฟ
ผ่านไปเพียงไม่นานนักกลิ่นหอมก็โฉยออกมาเตะจมูก ทำเอาทุกคนถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะเสี่ยวหลินตัง ทั้งที่ปลายังย่างได้ไม่ทันสุก เธอก็รอไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป แต่กลับถูกกู่ยี่เทียนที่อยู่ข้างๆ ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าแมวขโมย ปลานี่ยังย่างไม่ทันสุกเลย ระวังกินไปแล้วจะท้องเสียนะ” กู่ยี่เทียนมองเสี่ยวหลินตังที่ดวงตาทั้งสองกำลังส่องประกายก็หัวเราะต่อว่าออกมา
เสี่ยวหลินตังทำปากมุ่ย พลางลูบมือของตัวเองที่ถูกตีอย่างน้อยอกน้อยใจ “ก็คนมันหิวนี่ คนอายุนี้เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต เทียบกับลุงๆ อย่างพวกคุณแล้วกระเพาะก็ย่อยเร็วมากด้วย”
เมื่อเห็นท่าทีทำตัวเป็นเด็กสาวของเธอ กู่ยี่เทียนถึงกับยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะหยิบเอาผลไม้ป่าสองลูกและขนมปังแผ่นส่งให้กับเสี่ยวหลินตัง
“รุ้ว่าเธอหิว เธอกินพวกนี้รองท้องไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวถ้าเสร็จแล้วจะให้เธอกินคนแรกเลย”
ถึงแม้เสี่ยวหลินตังจะยังอยากกินปลาย่าง แต่เมื่อคิดแล้วยังไงก็กินเนื้อดิบไม่ได้ จึงได้เพียงรับเอาผลไม้ป่าและขนมแผ่นในมือของกู่ยี่เทียนเอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น ก่อนจะกินด้วยใบหน้าที่ไม่เต็มใจ
จนผ่านไปอีกสักพัก ในที่สุดปลาก็ย่างเสร็จเสียที เมื่อลองดมกลิ่นปลาย่างที่หอมตลบอบอวล พวกหลี่ฝางก็พากันกินปลาคนละตัวอย่างอเร็ดอร่อย