หลังจากที่กินอิ่มดื่มอิ่มแล้วพวกเขาต่างพักผ่อนกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกลุ่มพวกเขาถึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเผ่ากู่อีกครั้ง และหลังจากที่พยายามเปิดทางอยู่นาน พวกของหลี่ฝางต่างก็รู้สึกว่าแขนของตัวเองชาไปหมดแล้ว ทว่าขวากหนามที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุดสักที
“นี่!ลูกพี่ ผมไม่ไหวแล้ว พวกเรานั่งพักกันสักหน่อยเถอะ !” ไขจี๋เออทรุดตัวลงไปกับพื้น หายใจหอบหนักอย่างหมดสภาพ
หลี่ฝางถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทรุดตัวลงนั่งแบบเดียวกับไขจี๋เออ แต่ก็รู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถตั้งหลังตรงได้แล้วเหมือนกัน พอก็มลงไปดูเวลา ปรากฏว่ายังไม่ทันได้รู้ตัวตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงเสียแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่ท้องของเขาจะหิว
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะบ่ายสองโมงแล้ว พวกเราพักกันสักห่อยก่อนเถอะ” หลังจากพูดจบ หลี่ฝางก็วางมีดในมือลงไปปักกับพื้น จากนั้นทุกคนก็นั่งลงกินอาหารแห้งพลางพูดคุยเรื่องต่างๆ เพื่อแก้เบื่อ
“อูหลิง เรื่องเมื่อคืนนี้ต้องขอบใจนายมากๆ”
หลี่ฝางเป็นคนที่ทำอะไรมักจะตอบแทนสิ่งที่ได้รับมาตลอด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ท่าทีของอูหลิงที่มีต่อเขาจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ว่าเมื่อคืนนี้โชคดีที่มีเขาอยู่ ถึงได้สามารถสะกดเทพอ้านที่อยู่ร่างของเขากลับไปได้อีกครั้ง ฉะนั้นเรื่องที่ควรจะกล่าวขอบคุณก็ควรที่จะขอบคุณ
อูหลิงที่กำลังนั่งกินบิสกิต เงยหน้าขึ้นมองหลี่ฝาง ก่อนจะตอบ” อืม” เพียงคำเดียวเป็นการตอบรับ
ถึงแม้ว่าท่าทีของเขาจะเย็นชาเอามากๆ แต่หลี่ฝางกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เขาเองก็ไม่เป็นคนที่ไร้เหตุผล อีกทั้งเขายังรู้สึกขอบคุณมากด้วยที่ก่อนหน้านี้อูหลิงได้สะกดพลังความสามารถของตัวเองเอาไว้ด้วย ถ้าหากไม่ทำอย่างนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคงยากที่จะคาดเดาได้
“อูหลิง เผ่ากู่น่าจะมีวิธีการที่สามารถกำจัดพลังกลืนในร่างของฉันออกไปได้ใช่ไหม ?เพราะว่ามีเทพอ้านอยู่ พลังกลืนที่อยู่ในตัวฉันเลยค่อยๆ คืบบคลานเข้าสู่หัวใจแล้ว แบบนี้ยิ่งนานเข้าฉันก็เลยยิ่งไม่สามารถควบคุมเทพอ้านได้”
“ฉันเดาไว้ว่า ถ้าหากพลังกลืนนี้ยิ่งเข้าใกล้หัวใจมากเท่าไหร่ อย่างนั้นเทพอ้านก็จะยิ่งมีพลังในการควบคุมร่างกายของฉันมากยิ่งขึ้นไปด้วย ถ้าหากว่าฉันความสามารถมากพอที่จะกำจัดพลังกลืนออกไป แบบนั้นการจะทำให้เทพอ้านสาบสูญไปก็คงจะไม่ใช่ปัญหาด้วยแล้วสินะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ฝาง ท่าทางของ อูหลิงก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา เขาวางบิสกิตบิสกิต ในมือลง แล้วหันมาสบตาตอบคำถามของหลี่ฝาง
“ถึงแม้การคาดเดาของคุณจะไม่ผิด แต่ว่าด้วยความสามารถของผมในตอนนี้ กลับไม่มีความสามารถมากพอที่จะกำจัดพลังกลืนในร่างของคุณออกไปได้ ผงขาวที่ผมนำออกมาใช้เมื่อคืนนั้นที่จริงแล้วคือ ผงกระดูกกวางทิพย์”
“กวางทิพย์เป็นสัตว์วิเศษของเผ่ากู่เรา ในหนึ่งร้อยปีถึงจะปรากฏตัวหนึ่งครั้ง ผงกระดูกกวางทิพย์เองจึงถือเป็นของที่หายาก เพราะจำเป็นต้องใช้กระดูกซี่โครงอันดับที่สามของกวางทิพย์ ผสมกับยาสมุนไพรหายากห้าสิบเก็าชนิด และใช้เวลาบ่มถึงสี่สิบเก้าวันถึงจะได้”
“กวางทิพย์หนึ่งตัวสามารถทำกระดูกป่นได้เพียงสิบกรัมเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ในเผ่ากู่กลับมีไม่ถึงหนึ่งร้อยกรัม และหน้าที่หลักของกระดูกป่นคือการยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย หากสิ่งชั่วร้ายเผชิญหน้ากับมันก็จะสลายหายไปทันที”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ถึงกับตะลึงงัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าของที่อูหลิงโปรยออกไปนั้นเป็นเพียงผงธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าผงนี่จะมีที่มาที่ไปขนาดนี้ แถมยังหายากขนาดนี้อีกด้วย
ทว่าหลังจากที่ตกตะลึงไป ใบหน้าของพวกเขากลับแสดงท่าทีดีใจออกมา ในเมื่อผงกระดูกป่นนี้มีประโยชน์ขนาดนี้ อย่างนั้นก็แสดงว่ามันสามารถที่จะกำจัดพลังกลืนและเทพอ้านที่อยู่ในร่างของหลี่ฝางออกไปได้อย่างง่ายดายแล้วไม่ใช่หรือไง ?
อูหลิงที่เห็นสีหน้าของพวกเขาก็มองออกความคิดของพวกเขาแล้ว จึงถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่อ
“แต่ว่า ถึงแม้จะเป็นผงกระดูกกวางทิพย์ มันก็สามารถทำได้เพียงสะกดพลังกลืนเอาไว้ได้ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น กลับไม่สามารถที่จะกำจัดมันออกไป หากว่าต้องการที่จะกำจัดพลังกลืนที่อยู่ในร่างกายของคุณออกไป อย่างนั้นเราจำเป็นต้องล่ากวางทิพย์เป็นๆ”
“เพื่อคั้นเลือดสดๆ ของมัน ผสมกับสมุนไพรหายากอีกแปดสิบเอ็ดชนิด จากนั้นก็ต้องนอนแช่อยู่ในนั้นเป็นเวลาสามวันสามคืนติดต่อกัน แบบนี้ถึงจะสามารถชะล้างพลังกลืนที่อยู่ในร่างของคุณออกปจนหมด แต่สิ่งที่คุณต้องรู้เอาไว้เลยก็คือ หนึ่งร้อยปีถึงจะได้พบกับกวางทิพย์ครั้งหนึ่ง และยาสมุนไพรแปดสิบเอ็ดชนิดนั้นก็ยิ่งยากในการรวบรวม ถึงต่อให้จะรวบรวมของพวกนี้ได้ครบแล้ว แต่คงจะยากที่คุณจะสามารถทนรับความเจ็บปวดจากการล้างพิษ”
“ดังนั้น ผมอยากขอเตือนพวกคุณเอาไว้ก่อนเลยว่าอย่าได้หวังเอาไว้ให้มากนัก อีกอย่างผมจะบอกเอาไว้ชัดเจนไว้ก่อนเลยว่าถ้าหากไม่สามารถที่จะกำจัดเทพอ้านที่อยู่ในร่างของหลี่ฝางได้ งั้นผมจะเป็นคนที่จะฆ่าเขาด้วยมือตัวเอง”
ประโยคสุดท้ายอูหลิงพูดออกมาอย่างจริงจังมากๆ พอหันไปเห็นสายตาของหลี่ฝางเองก็ฉายแววจิตสังหารออกมาเหมือนกัน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจึงนิ่งเงียบทันที แสงแห่งความหวังที่เพิ่งจะประกายขึ้นมาถูกดับลงไปในพริบตา
“อย่างน้อยก็ยังมีหวัง ไม่ใช่หรือไง ?ไม่ว่าวิธีการจะยากขนาดไหน ขอเพียงยังพอมีความเป็นไปได้ ฉันเต็มใจที่จะลิ้มลอง ถ้าเกิดว่าจนหนทางแล้วจริงๆ ไม่จำเป็นต้องให้พวกนายลงมือ ฉันจะเป็นคนจบชีวิตตัวเองเอง”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ฝางถึงค่อยพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
“ใช่!พวกเรายังเดินไปไม่ถึงทางตันเลย ไม่ควรที่จะล้มเลิกง่ายๆ แบบนี้เด็ดขาด !” กู่ยี่เทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอบโต้หลี่ฝางอย่างกระตือรือร้น พร้อมตบไหล่ของเขาอย่างแรง “สหาย นายวางใจได้เลย ฉันไม่มีทางปล่อยให้นายตายง่ายๆ แบบนี้เด็ดขาด !”
“หัวหน้ากู่พูดถูกแล้วครับ !ลูกพี่!วางใจเถอะ!พวกเราสองพี่น้องต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะต้องรวบรวมกวางทิพย์อะไรนั่นกับยาสมุนไพรแปดสิบเอ็ดชนิดมาให้ได้!”
คำพูดของกู่ยี่เทียนได้กระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของทุกคนอีกครั้ง ไขจี๋เออโผงผางลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วสะบัดมีดที่อยู่ในมือเพื่อเปิดทางต่อ
หลี่ฝางมองดูพวกเขาในใจก็เกิดความตื้นตันใจอย่างมาก การที่ทั้งชีวิตนี้จะได้เจอกับกลุ่มมิตรสหายที่พร้อมจะบุกน้ำลุยไฟไปด้วยกันนั้นถือเป็นเรื่องที่หายากมากๆ
“วางใจเถอะ ทุกอย่างจะไม่เป็นไร” ส้าวส้วยสะบัดฝุ่นที่อยู่บนร่างของตัวเอง แล้วพูดกับหลี่ฝางอย่างหนักแน่น
“อืม ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับฉัน” หลี่ฝางพยักหน้าอย่างหนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเอาบิสกิต ชิ้นสุดท้ายใส่ลงไปในปาก จากนั้นก็เข้าร่วมกองทัพเปิดทาง
“เป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นแก่ชีวิตซะจริง!” เมื่อมองดูพวกหลี่ฝางที่ดูเหมือนจะมีพละกำลังเพิ่มขึ้น อูหลิงถึงกับแสดงสีหน้าสับสนออกมา
สำหรับเขาแล้วความเป็นไปได้ในการรักษาหลี่ฝางนั้นแทบจะเป็นศูนย์เลย การที่เขาต้องสะกดพลังของพวกหลี่ฝางเอาไว้ อย่างแรกคือเพื่อยับยั้งไม่ให้หลี่ฝางเกิดอาการคลั่ง ส่วนอย่างที่สองก็คือหากหลี่ฝางถูกเทพอ้านครอบงำแล้วตัวเองจะได้ฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนั้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว กลับยังไม่ทิ้งโอกาสที่จะช่วยหลี่ฝางอีกทั้งความมั่นใจยังเพิ่มมากกว่าก่อนหน้านี้ด้วย
“พวกเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ ยิ่งยากแค่ไหนพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ในสายตาของพวกเขาแล้วคนที่จะสามารถฆ่าพวกเขาได้ก็เพียงตัวของพวกเขาเองเท่านั้น” เสี่ยวหลินตังจ้องมองพวกหลี่ฝางแล้วพูดออกมาด้วยรอยิ้มจางๆ