เพราะอยู่ในจิตใจของหลี่ฝาง ทรงหัวใจเป็นสีแดงเหมือนลูกท้อ โตมาขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นรูปทรงของหัวใจเลย
“คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?นี่มันไม่ใช่ก้อนหินเหรอ?จะเป็นหัวใจของเขาได้อย่างไร”
หลี่ฝางเข้ามาข้างกายไป๋เห้อด้วยความสงสัย ก่อนจะมองอัญมณีที่อยู่ในมือเขาอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินหลี่ฝางถามคำถามนี้ ไป๋เห้อกับไป๋หลินสองคนก็มีท่าทีทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“พวกคุณหาอะไรกินก่อนเถอะ เดี๋ยวเซียนผู้ยิ่งใหญ่อยากจะพบพวกคุณ”
ไป๋เห้อเห็นได้ชัดว่าไม่อยากตอบคำถามของหลี่ฝาง เลยพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
ถึงหลี่ฝางจะสงสัยอัญมณีอันนี้มาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่อยากจะรู้ความลับของคนอื่น เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูด เลยไม่ถามอะไรไปมากกว่าเดิม ก่อนจะสุมหัวกินกับส้าวส้วย
“หลี่ฝาง ส้าวส้วย คุณสองคนอย่าเอาแต่สนใจกินสิ รีบบอกมาเร็วว่าสามวันมานี้พวกคุณเห็นอะไรในฝันกันแน่?”
เมื่อกู่ยี่เทียนเห็นพวกเขากินอย่างอร่อย ในใจก็คันยุบยิบขึ้นมา เขาสงสัยตายอยู่แล้ว แต่ทั้งสองคนนี้เอาแต่กิน โดยที่ไม่พูดเลยว่าสามวันมานี้พวกเขาเห็นอะไรในฝันกันแน่
คำถามนี้มันทำให้หลี่ฝางกับส้าวส้วยชะงักไปพร้อมๆ กัน จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็มองหน้ากัน ด้วยความหนักใจที่มีมากขึ้น
ในสามวันนี้ หลี่ฝางกับส้าวส้วยมั่นใจแล้วว่าพวกเขานั้นเป็นรุ่นหลังของเทพอ้านกับเทพหมิง
หลายวันมานี้ที่พวกเขาหลับใหลนั้น อันที่จริงก็เหมือนกับฝันไป พวกเขาแยกเป็น การเห็นสงครามที่ผ่านมาเป็นพันปีจากมุมของเทพอ้านกับเทพหมิง
ในขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจการมีปัญหาและการต่อสู้ระหว่างเทพหมิงเทพอ้าน ได้อย่างเข้าใจถ่องแท้
ตอนแรกพวกเขาสามพี่น้องนั้นสนิทสนมกันเป็นอย่างดี แต่หลังจากนั้นมันทำให้น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
เดิมทีสามารถจัดการดูแลโลกนี้ด้วยกันได้อย่างดี แต่เพราะความเชื่อกับความคิดเท่านั้น เลยทำให้ทั้งสามคนนั้นเดินเส้นทางที่ต่างกัน
สงครามของเทพหมิงและเทพอ้านนั้นสู้กันติดต่อกันสี่สิบเก้าวันเต็ม สู้กันจนฟ้าหมุน แยกเวลาไม่ออกเลยทีเดียว
ตอนที่เทพอ้านตายแล้ว หลี่ฝางกับส้าวส้วยนั้นรู้สึกได้ว่าในใจของพวกเขานั้นมันจนปัญญา เจ็บปวด เกลียดชังและไม่ยอมแพ้
“คุณอย่าเอาแต่มองหน้ากัน เดี๋ยวต้องบอกฉันด้วยนะ!” เมื่อกู่ยี่เทียนเห็นพวกเขาทั้งสองคนไม่ยอมเปิดปากพูด ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก เลยเร่งด้วยความหมดความอดทน
“อันที่จริงก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก เห็นเพียงพี่น้องที่สู้กันเมื่อหลายพันปีก่อนเท่านั้นเอง”
อันที่จริง สิ่งที่เห็นในฝันนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรมาก แต่สิ่งที่ทำให้หลี่ฝางหนักใจก็คือเขากลัวว่าตัวเองกับส้าวส้วยจะเหมือนกับเทพหมิงและเทพอ้าน ที่สุดท้ายจะต้องแตกหักกันเพราะความเชื่อและความคิดไม่ตรงกัน แล้วก็มีความแค้นต่อกัน
“วางใจเถอะ พวกเขาก็คือพวกเขา พวกเราก็คือพวกเรา” ตามความเข้าใจที่ตัวเองมีต่อหลี่ฝาง ส้าวส้วยก็มองออกว่าในใจของหลี่ฝางคิดอะไรอยู่ เมื่อสบตาหลี่ฝาง ก็พูดอย่างมั่นใจ
“อือ เราจะเป็นพวกพ้องที่ดีตลอดชีวิต” ท่าทีของส้าวส้วยนั้นทำให้หลี่ฝางเหมือนกินยารู้ใจเข้าใจ ตอนแรกที่ยังหนักใจก็มั่นใจได้ทันที
“เห้อ พวกคุณสองคนเป็นอะไรกัน ทำไมถึงพูดอะไรที่ฉันไม่รู้เรื่อง?ไม่เห็นฉันเป็นพวกแล้วเหรอ?”
กู่ยี่เทียนที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนมีหมอกวนเวียนอยู่บนหัว เลยถามด้วยความไม่สบอารมณ์
หลี่ฝางมองใบหน้าของเขาที่โกรธเคือง เลยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ จากนั้นก็ยื่นหมัดออกมาต่อยแขนของกู่ยี่เทียน “คุณพูดอะไรบ้าๆ เนี่ย?”
“ในเมื่อพวกเราเป็นพวกพ้องที่ดีต่อกัน พวกคุณก็รีบบอกเรื่องนั้นกับฉันสิ คุณไม่รู้ว่าสามวันนี้ฉันแทบบ้าแล้ว เล่นโทรศัพท์ก็ไม่ได้ นอกจากนั่งอยู่ที่หัวเตียงดูพวกแกหลับก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นแล้ว”
สีหน้าของกู่ยี่เทียนแย่ลงในทันที น้ำเสียงที่พูดก็ดูน้อยใจเป็นอย่างมาก
หลี่ฝางเห็นท่าทีของเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอียนขึ้นมา จากนั้นก็ลูบแขนของตัวเองอย่างเว่อเกิน พลางพูดด้วยความรังเกียจ
“แกมันบ้า มานั่งดูเราสองคนหลับสามวันสามคืน รู้ว่าแกทำแบบนี้เพราะเบื่อ ถ้าไม่รู้คงคิดว่าแกคิดอะไรบ้าๆ กับพวกเราแน่ๆ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลี่ฝาง กู่ยี่เทียนก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเล็กๆ พลางจ้องตาเขม็ง แล้วพูดแก้ตัวด้วยความเร็ว
“คุณบ้าหรือเปล่า กูเป็นชายแท้ทั้งแท่ง!บนโลกนี้มีหญิงขาวสวยมากขนาดนั้น ฉันต้องมาคิดอะไรกับพวกแกงั้นเหรอ?ให้ตายเถอะ แกมันหน้าไม่อาย!”
ส้าวส้วยเห็นหลี่ฝางกับกู่ยี่เทียนเถียงกัน เลยยิ้มมุมปากขึ้นมาด้วยความจนปัญญา คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนั้นมา ทั้งสองคนยังจะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้อีก
เมื่อทะเลาะกันราวๆ 10นาที หลี่ฝางกับส้าวส้วยก็เหมือนจะอิ่มตัวแล้ว จากนั้นก็ให้ไป๋เห้อนำพวกเขาไปที่ปากถ้ำที่ปกติเซียนผู้ยิ่งใหญ่ใช้ฝึก
กายของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ตอนนี้เหมือนจะแก่กว่าสามวันก่อนมาก ตอนแรกที่ตัวตรงนั้นตอนนี้กลับเหมือนจะหลังค่อมเล็กน้อยแล้ว แววตาสุขุมลึกนั้นก็เหมือนมีความผันผวนขึ้นมา
“พวกคุณมาแล้วเหรอ?นั่งสิ เซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังทำสมาธิอยู่ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นหลี่ฝางกับส้าวส้วยเลยชี้ไปที่ทั้งสองพลางพูดออกมาเบาๆ
หลี่ฝางกับส้าวส้วยเองก็ไม่ได้ลังเล ก่อนจะนั่งลงทันที
“พวกคุณคงไม่สงสัยตัวตนของตัวเองแล้วใช่ไหม?พูดความรู้สึกของพวกคุณตอนนี้มาหน่อยสิ” หลังจากที่พวกเขานั่งลง เซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็เปิดปากถาม
หลี่ฝางกับส้าวส้วยสบตากันเล็กน้อย จากนั้น10นาทีก็พยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นหลี่ฝางก็เป็นคนพูดแทน
“ถึงฉันกับส้าวส้วยจะเป็นรุ่นหลังของเทพหมิงกันเทพอ้าน แต่เราก็เป็นเพียงคนรุ่นหลังเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เราไม่มีทางทำให้มันเกิดขึ้นอีก แถมเราก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยานเท่ากับพวกเขา ที่อยากจะเปลี่ยนโลกใบนี้”
“เราเดินเส้นทางของนักรบ ก็เป็นเพราะอยากปกป้องคนที่เรารักเท่านั้น ดังนั้นเซียนผู้ยิ่งใหญ่คุณไม่ต้องกังวลเราจะต้องไม่เป็นศัตรูกันเหมือนเทพอ้านกับเทพหมิง เรื่องนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันและส้าวส้วยเด็ดขาด”