NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง – บทที่ 1315 มหาเซียนปรากฏตัว

บทที่ 1315 มหาเซียนปรากฏตัว

เมื่อเดินทางไปได้ประมาณสิบนาที หลี่ฝางก็เริ่มเห็นยอดเขาสูงที่อยู่ในปุยเมฆไกลๆ ภูเขาลูกนี้ต้องสูงอย่างน้อยสองถึงสามพันเมตร หมอกขาวฟุ้งได้บดบังส่วนยอดเขาเอาไว้ครึ่งลูก

ภูเขาลูกนี้สูงชันมาก ความลาดชันของภูเขาลูกนี้อยู่ที่ประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบองศาขึ้นไป จากมุมมองที่หลี่ฝางเห็น ไม่มีถนนสำหรับขึ้นมายังเขาลูกนี้ เขาจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เห้อถึงไม่ให้สองพี่น้องไขจี๋เออขึ้นมาที่นี่ ภูเขาลูกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะขึ้นมาได้

ในตอนแรกจากที่คิดเอาไว้ว่าแค่เหาะขึ้นมาก็คงจะถึงแล้ว ทว่าเมื่อไปต่อได้ครึ่งทาง ไป๋เห้อกลับหันมาทำสัญญาณมือให้พวกหลี่ฝางหยุด เมื่อเห็นไป๋เห้อหยุดกะทันหัน หลี่ฝางก็รู้สึกแคลงใจ

เขาเห็นไป๋เห้อขยับมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ปากของเขากำลังท่องอะไรบางอย่างที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ

เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ไป๋เห้อก็โบกมือทั้งสองข้างแล้วตะโกนว่า “เปิด” จากนั้นหมอกขาวหนาๆ ก็แหวกทางออกสองข้างเผยให้เห็นทางเดินสายหนึ่ง

ถือเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจมาก พวกหลี่ฝางต่างประหลาดใจมากว่าไป๋เห้อใช้วิธีการอย่างไรถึงสามารถควบคุมหมอกที่ไร้รูปรางเลือนพวกนี้ได้

“ไปกันเถิด” ไป๋เห้อหันมาทางพวกหลี่ฝางที่กำลังตะลึงพรึงเพริด แล้วทำท่าทางให้พวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปต่อ

เดินทางขึ้นไปได้อีกสิบกว่านาที หลี่ฝางและพวกก็ขึ้นไปถึงยอดเขา

เนื้อที่บนยอดเขาไม่มากนักประมาณหนึ่งหมื่นตารางเมตร ด้านบนมีพืชไม้ปกคลุมหนาแน่น ดอกไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มสดใส สรรพสัตว์ร้องสอดประสาน ถือเป็นทิวทัศน์ที่อุดมสมบูรณ์มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

กลางยอดเขามีวัดโบราณตั้งอยู่ ด้านบนสลักรูปมังกรและหงสาไว้อย่างตระการตา บริเวณด้านข้างมีสระน้ำที่มีไอน้ำลอยอบอวล น้ำในสระใสสะอาดหาใดเปรียบ สะท้อนเงาของทิวทัศน์รอบด้าน

ถือเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอย่างแดนเซียนโดยแท้

เมื่อลดตัวลงสู่พื้น หลี่ฝางและพวกต่างรู้สึกสบายร่างกาย ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่สะสมมาหลายวันได้มลายหายไปสิ้น

ตามหลักแล้ว ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทุกหนึ่งร้อยเมตร อุณหภูมิจะลดลงทุก 0.6 องศาเซลเซียส จากความสูงของเขาเซียนแห่งนี้ อุณหภูมิบนยอดเขาน่าจะอยู่ที่ราวๆ สิบองศา

แต่สิ่งที่ทำให้หลี่ฝางและพวกประหลาดใจคือ แม้ว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น

ดินแดนล้ำค่าที่มุ่งหน้ามาเยือนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นภูเขาของมหาเซียน

เมื่อเดินตรงไปข้างหน้าอีกจะเห็นประตูหลักของวัดมีป้ายๆ หนึ่งเขียนคำว่า “พ้นทุกข์” เอาไว้ ตัวอักษรให้อารมณ์ยิ่งใหญ่มีพละกำลัง ดูปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นลายมือของผู้มีชื่อเสียง ความเหนือจินตนาการเหล่านี้ ทำให้หลี่ฝางรู้สึกประหลาดใจในตัวมหาเซียนผู้นี้ว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่

เมื่อไป๋เห้อเดินไปถึงด้านหน้าประตู เขากลับไม่ได้ผลักประตูเปิดออก แต่กลับคว้าที่เคาะประตูเคาะไปที่บานประตูอย่างนอบน้อม

“ท่านมหาเซียน ผมพาพวกเขามาถึงแล้ว ท่านต้องการพบเขาเวลานี้เลยหรือไม่”

เมื่อกล่าวจบ ด้านในประตูเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีเสียงกังวานสะท้อนออกมา

“ศิษย์พี่ไป๋เห้อ ท่านมหาเซียนให้พวกเขาเข้ามาได้เลยค่ะ”

น้ำเสียงน่าฟังราวสายธารใส ไพเราะคล้ายคลึงเสียงนกป๋ายหลิงขับขาน พวกหลี่ฝางจึงเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจในตัวของสตรีนางนี้ขึ้นมาในทันใด

สิ้นเสียง ประตูก็ส่งเสียงเปิดออก แต่เมื่อหลี่ฝางเหลือบมองด้านในกลับไม่เห็นว่ามีผู้ใดเปิดประตู

จึงอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่า คนที่วัดแห่งนี้มีพลังกล้าแกร่งกว่าที่คิด

“ตามข้ามา ห้ามมองไปรอบด้าน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกนายจะเข้ามาวุ่นวายได้ง่ายๆ” หลังจากก้าวเข้าประตูไปแล้วไป๋เห้อจึงเอ่ยเตือนขึ้นมา

แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งห้ามไม่ให้ทำเรื่องใดก็ยิ่งอยากทำ กู่ยี่เทียนไม่รู้สึกหวาดกลัว จึงไม่ได้เก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ เขาเดินเล่นไปรอบๆ ราวนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง

“โอ้ ท่านมหาเซียนของพวกนายช่างมีรสนิยมจริงๆ! ชายคาด้านนอกมีมังกรและหงสายังไม่พอ ด้านในยังมีหินแกะสลักใหญ่สองก้อนนี้อีก”เมื่อกู่ยี่เทียนเห็นหินแกะสลักรูปมังกรและหงสาตรงกลางลานที่มีขนาดราวภูเขาลูกย่อมสองลูกวางอยู่ ก็สงบปากสงบคำไม่ลง เมื่อเอ่ยจบจึงหันไปมองหลี่ฝาง “เหล้าหลี่ พี่ว่าหินสลักมังกรก้อนนี้กับมังกรทองในร้านสุราของพี่ อันไหนดูมีสไตล์มากกว่ากันหรือ”

เมื่อไป๋เห้อได้ยินกู่ยี่เทียนกล่าวดังนั้น ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาโดยตลอดของเขาก็ปรากฏรอยแยก ร่างกายของเขาแข็งเกร็ง ดวงตาทั้งสองจ้องมาที่กู่ยี่เทียนอย่างเคียดแค้น

“คนนอกเผ่าอย่างพวกแกกล้าดียังไง!” เขาแผดเสียงตะโกนเพียงหนึ่งประโยค จากนั้นจึงกระทืบเท้าวิ่งพุ่งเข้าใส่กู่ยี่เทียนราวม้าหลุดจากเชือก

แม้ว่าไป๋เห้อจะมีพละกำลังมาก แต่กู่ยี่เทียนเองก็ไม่ใช่พวกที่กินมังสวิรัติ คนทั้งสองต่างเป็นครึ่งเทพ ภายในช่วงเวลานั้นจึงยากที่จะห้ามปรามได้

กู่ยี่เทียนไม่ชอบท่าทางยกตนข่มท่านของไป๋เห้อมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงลงมืออย่างไม่ไว้หน้า ยังดีที่สนามตรงนี้เป็นลานกว้างว่างเปล่า ไม่เช่นนั้นแล้ว จากท่าทีการต่อสู้ของพวกเขา วัดแห่งนี้คงได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปอย่างแน่นอน

“ไป๋เห้อ! อย่าเสียมารยาท!” ในขณะที่หลี่ฝางลังเลว่าจะเข้าไปห้ามสองคนนั้นดีหรือไม่ ทุกคนพลันได้ยินน้ำเสียงล้ำลึกของผู้สูงอายุ

ส่วนคนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดยากจะแยกออกจากกัน พลันตัวแข็งทื่อราวท่อนไม้ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับโดนสะกดจุด

เจ้าของเสียงยังไม่ปรากฏตัวออกมา แต่สถานที่แห่งนั้นกลับมีรังสีแห่งความพรั่นพรึงแผ่ซ่าน แม้แต่หลี่ฝางที่ห่างจากขั้นเทพเพียงครึ่งก้าวก็ยังรู้สึกหวาดเกรง

ไม่นานนักก็เห็นสตรีรูปงามสวมใส่ชุดสีขาวพลิ้วไหวนางหนึ่งประคองชายชราไว้หนวดเคราขาวปรากฏตัวออกมาต่อหน้าพวกหลี่ฝาง

หลี่ฝางเคยคิดว่าแคทเธอรินของชาวอู เป็นสตรีที่งามที่สุดตั้งแต่ที่ตนเคยเห็นมาแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่าสตรีชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้จะงดงามยิ่งกว่าแคทเธอรินเสียอีก

แม้แต่ส้าวส้วยผู้ไม่สนใจในสาวงามก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นได้เห็นหญิงงามนางนี้

“ไป๋เห้อ เธอสำนึกผิดแล้วหรือยัง” ชายชราผู้นั้นยังคงไม่ได้หันมาพูดกับหลี่ฝาง แต่กลับเดินไปข้างตัวไป๋เห้อ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แม้ว่าตอนนี้ไป๋เห้อจะขยับไม่ได้ แต่ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการพูดไปด้วย ไม่ว่าเขาจะแข็งขืนเพียงใด แต่ก็ยังควบคุมแววตาของตนได้แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ท่านมหาเซียนโปรดลงโทษ”

มหาเซียนสังเกตเห็นสายตาแข็งขืนของไป๋เห้อทั้งหมด จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“ดูท่าเธอยังไม่สำนึกในความผิดของตน เราขอลงโทษให้เธอไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดที่หน้าผ่าต้วนหน เมื่อเธอใคร่ครวญทุกอย่างดีแล้วค่อยกลับมาพบเรา”

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง

ยามค่ำคืนดึกๆ ในหอพักแห่งหนึ่งที่ตงไห่

“หลี่ฝาง รีบเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉันเร็วๆ ”

ได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ฝางไม่รีรอเลยสักนิด รีบไปยกน้ำล้างเท้าของเจ้าอ้วนมาให้

“รอเดี๋ยว ถุงเท้าก็ช่วยซักด้วยเลย ไม่ซักมาหลายวันแล้ว เหม็นตายห่า” หลี่ฝางยกกะละมังล้างเท้าขึ้นมา เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นมาอีกทันที

หยิบถุงเท้าที่เหม็นเน่าของเจ้าอ้วนแล้ว หลี่ฝางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำของหอพัก จากนั้นเริ่มยุ่งๆ

เขาไม่เพียงแค่ซักถุงเท้าของเจ้าอ้วน ยังต้องซักเสื้อนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นอีกด้วย รองเท้า กางเกงใน……

“เกาเสิ้ง ช่วงนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเกินไปแล้วนะ นายเห็นหลี่ฝางเป็นอะไร เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของนาย ไม่ใช่คนใช้นะ”

หัวหน้าห้องโจวหยางทนดูต่อไปไม่ไหว จึงว่าเจ้าอ้วนสองสามคำ

“หัวหน้า ผมกำลังช่วยเขา เขาขาดเงินไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายเงินให้เขาอยู่” เจ้าอ้วนยิ้มๆ ไม่สนใจ

“ใช่ไหม หลี่ฝาง? ” เจ้าอ้วนตะโกนถามหลี่ฝางไปทางห้องน้ำ

“ใช่ ขอบใจนายที่ช่วยอุดหนุนธุรกิจของผม เกาเสิ้ง” หลี่ฝางหันหน้ามายิ้ม ตอบหนึ่งคำด้วยความทราบซึ้งน้ำใจ

เห็นเป็นเช่นนี้ โจวหยางได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่หายตัวไป หลี่ฝางได้แค่พึ่งการซักเสื้อผ้าให้คนอื่น ทำการบ้าน ช่วยวิ่งซื้อของเป็นต้น เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและจ่ายค่าเทอม

ไม่นาน โจวหยางเดินเข้าไปในห้องน้ำ: “หลี่ฝาง ถ้านายไม่มีเงินจริงๆ ผมยืมให้นายได้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณนะ” หลี่ฝางไม่อยากใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น อีกอย่าง เงินที่ยืมมา สุดท้ายก็ต้องคืนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

โจวหยางมองความคิดของหลี่ฝางออก: “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรียคืนครับ รอให้นายเรียนจบก่อนค่อยคืนก็ได้ครับ”

หลี่ฝางหัวเราะขมขื่น: “หัวหน้า อีกนานกว่าจะเรียนจบเลยนะ”

โจวหยางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วกลับไปบนที่นอนของตนเอง

“ผมว่านะ หัวหน้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลี่ฝางตอนนี้มีสถานการณ์อย่างไร นายช่วยไหวเหรอ? ” จางเสี่ยวเฟิงคนที่อายุโตกว่าทุกคนในห้องยิ้มและพูด

“ใช่ ถ้าไม่มีพวกเรา เรื่องกินของเขายังมีปัญหาเลย” เกาเสิ้งพูดด้วยความภูมิใจ

พอหลี่ฝางทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังเตรียมจะเข้านอน จางเสี่ยวเฟิงก็พูดขึ้นมา: “หลี่ฝาง อาการอยากสูบบุหรี่กำเริบอีกแล้ว นายไปซื้อให้ฉันซองหนึ่งสิ เหมือนเดิม”

สีหน้าของหลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ: “ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้วนะ ประตูมหาวิทยาลัยก็ปิดแล้ว”

“อย่าพูดมาก กูเพิ่มเงินให้นายสิบหยวน ไปไม่ไป? ” จางเสี่ยวเฟิงโยนเงินลงบนพื้น พูดด้วยความโมโห

“งั้นผมปีนกำแพงออกไปซื้อให้”

หลี่ฝางเก็บเงินบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินออกจากหอ

“หลี่ฝางคนนี้นี่ ขอแค่ให้เงินเท่านั้น แม้แต่ขี้ก็ยอมกิน” เพิ่งเดินออกจากห้อง หลี่ฝางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเกาเสิ้ง

“ก็นั่นสิ? ถ้าผมเป็นเขา ไปตายเสียดีกว่า จะอยู่ให้อายคนอีกทำไม” จางเสี่ยวเฟิงก็พูดเห็นด้วย

หลี่ฝางได้ยินแล้วกำมือแน่นๆ ด้วยความโมโหอย่างมาก

แต่หลังจากนั้นสักพัก หลี่ฝางก็ค่อยๆ ปล่อยวาง คนอื่นเค้าก็พูดไม่ผิดอะไรนี่ ตนเองก็เป็นแค่คนจนๆ ที่ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว

ปีนกำแพงไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งที่เปิดตลอด24ชั่วโมง หลี่ฝางซื้อบุหรี่เสร็จและเตรียมตัวจะกลับหอ มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในซูเปอร์มาร์เก็ต

หญิงคนนี้เหลือบไปมองหน้าหลี่ฝางหนึ่งครั้ง สายตาเหมือนมีอะไรบางอย่าง ลำคอของเธอขยับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกข้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหลี่ฝางอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเซี่ยลู่ เป็นเพื่อนบ้านของหลี่ฝาง ยังเป็นหนึ่งในดาวในโรงเรียนอีกด้วย

เมื่อก่อนสถานะทางบ้านของหลี่ฝางรวยมาก การเรียนก็ดี ตอนนั้นเซี่ยลู่วันๆ คอยตามหลังของเขาอยู่ทุกวัน ทั้งสองตระกูลเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ยังมีการสัญญาหมั้นให้ทั้งสองคนตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ส่วนชายที่อยู่ข้างๆ เซี่ยลู่ คือเพื่อนนักเรียนในห้องของหลี่ฝาง ชื่อตู้เฟย เป็นลูกเศรษฐี หน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมีรถBMWจอดอยู่ นั่นก็คือรถของเขา

“เถ้าแก่ เอาถุงยางให้ผมหนึ่งกล่อง” ตู้เฟยตะโกนบอก

เซี่ยลู่หน้าแดงขึ้นมาทันที ต่อหน้าหลี่ฝางมีความรู้สึกอาย: “พี่เฟย ท้องของฉันไม่ค่อยสบายหน่อย เราเอาไว้วันหลังละกันนะ”

“วันหลังห่าอะไร เป็นเพราะนายคนนี้ใช่ไหม? ” ตู้เฟยหันหน้าไปชี้หลี่ฝางแล้วถาม

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องระหว่างเธอสองคนนะ แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว” ตู้เฟยสีหน้าเข้มขรึม ซักถามเซี่ยลู่ตรงๆ : “ทำไม คุณยังไม่ลืมเขาเหรอ? ”

เซี่ยลู่ส่ายหัวและรีบปฏิเสธ: “หนุ่มจนๆ แบบนี้ ฉันจะลืมเขาไม่ลงได้ไง? ”

“ฉันไม่สบายท้องจริงๆ ”

“พูดแล้วก็น่าแปลกใจ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ คงจะเป็นเพราะเจอใครบางคน ท้องถึงได้สะอิดสะเอียน” เพื่อที่จะเอาใจตู้เฟย เซี่ยลู่พูดอย่างโหดร้าย

“ฮาฮา ผมเห็นเขาแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกเหมือนกัน”

ตู้เฟยหัวเราะดังๆ ยื่นมือไปตบหน้าหลี่ฝางหนึ่งที: “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่ได้ยินเหรอ? ว่าแฟนฉันเห็นแกแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน? ”

หลี่ฝางกัดฟันแน่นๆ จ้องหน้าตู้เฟยอย่างเย็นชา

สีหน้าของตู้เฟยตะลึงสักพัก จากนั้นก็ถีบที่ท้องของหลี่ฝางอีกครั้ง: “ยังกล้าจ้องฉันอีกเหรอ? แกไม่พอใจอะไร? ”

“พี่เฟย อย่าตีอีกเลย” เซี่ยลู่เข้าไปห้าม

“ทำไม? เห็นอกเห็นใจมัน? ”

“ไม่หรอก? ฉันแค่รู้สึกว่าเราไม่ควรไปถือสาและยุ่งเกี่ยวกับคนจนๆ แบบนี้หรอก” เซี่ยลู่รีบส่ายหัว

ตู้เฟยทำเสียงฮึ่ม แล้วยื่นมือไปรับกล่องถุงยางจากเถ้าแก่ร้าน และพูดว่า: “เซี่ยลู่ คืนนี้ฉันไม่สนว่าเธอจะประจำเดือนมาหรือว่าปวดท้อง แต่ว่าเธอปลุกไฟราคะของฉัน อย่าคิดหนีนะ? ”

“หลี่ฝาง แกจำไว้ หลังจากวันนี้อยู่ห่างๆ เซี่ยลู่ไว้ ไม่อย่างนั้นเห็นนายครั้งหนึ่ง เตะครั้งหนึ่ง” ก่อนจะไป ตู้เฟยเตือนหลี่ฝางด้วยถ้อยคำที่โหดเหี้ยม

เช็ดๆ รอยเท้าบนเสื้อ หลี่ฝางปีนกำแพงกลับไปถึงหอพัก

หลี่ฝางกลับมาดึกเกิน ยังถูกจางเสี่ยวเฟิงด่าอีกชุดใหญ่

หลี่ฝางทนไม่ไหว กัดฟันและแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งคืน

เช้าวันถัดมาตื่นมา หมอนของหลี่ฝางยังเปียกชื้นอยู่เลย ขณะนั้น เขาสังเกตเห็นในมือถือมีสายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย

“ทำไมเป็นสายจากต่างประเทศทั้งหมดเลย? ”

หลี่ฝางเปิดดูสักพัก สงสัยว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพโทรมา

“ยังมีข้อความ เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 1,000,000.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,325.00 หยวน” หลี่ฝางอ่านหนึ่งรอบ คิดว่าต้องเจอพวกนักต้มตุ๋นแน่ๆ

ในตอนนี้ หลี่ฝางรีบถอนเงินในวีแชทที่ได้ออกมา

มือถือดังขึ้นตึ้ดหนึ่งเสียง หลี่ฝางรู้สึกมึนงง

“ธนาคารABC วันที่ 12 เดือน 11 ปี x เวลา 07:14 น. เลขที่บัญชีลงท้ายด้วย 911มีเงินโอนเข้าจำนวน 300.00 หยวน ยอดเงินคงเหลือ 1,000,625.00 หยวน”

ข้อความที่มีเงินโอนเข้าหนึ่งล้าน กับข้อความที่มีเงินโอนเข้าสามร้อย เลขเหมือนกัน?

ถ้าเป็นนักต้มตุ๋น เขาจะรู้ยอดเงินคงเหลือของหลี่ฝางได้ไง

นั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านที่โอนเข้ามานี้เป็นเรื่องจริง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลี่ฝางรีบลุกขึ้นมาเหมือนคนบ้าและวิ่งออกจากโรงเรียน

ไปถึงตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง หลี่ฝางใส่บัตรเอทีเอ็มของตนเองเข้าไป นิ้วมือกดรหัสเอทีเอ็ม

“ผมกำลังฝันไปแน่ๆ ” เห็นมียอดเงินในบัญชีหนึ่งล้านกว่า หลี่ฝางส่ายหัว เขาไม่กล้าเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เบอร์โทรแปลกๆ นั่นโทรมาอีกครั้ง ครั้งนี้หลี่ฝางไม่ลังเลเลยสักนิด รีบรับสายโทรศัพท์นั้น

“เสี่ยวฝาง……” ในสายโทรศัพท์ทางโน้นเป็นเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา

“พ่อ? ใช่พ่อ…..ใช่พ่อไหม? ” สองมือของหลี่ฝางสั่นแรงขึ้น

“ใช่ พ่อเอง ฉันกับแม่แกไม่อยู่ หลายปีมานี้แกสบายดีไหม? ต้องลำบากมากแน่ๆ ใช่ไหม? เมื่อกี้พ่อโอนเงินหนึ่งล้านเข้าบัญชีให้แล้ว ใช้ไปก่อนนะ ถ้าไม่พอพ่อจะโอนให้อีก ใช่สิ ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แกคงคิดถึงพวกเรามากใช่ไหม? ” พ่อของหลี่ฝางถามไถ่ติดกันหลายประโยค

หลี่ฝางแน่ใจว่าเขาคือพ่อตนเองแล้ว น้ำตาก็ไหลและนั่งร้องไห้ลงกับพื้นทันที เขาพิงตู้เอทีเอ็มไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็เช็ดน้ำตาไปด้วย

“ผม……คิดถึง…..พวกท่านจะตายอยู่แล้ว”

“ดี ดีแล้วลูก หลายปีมานี้ลำบากแกมากพอแล้ว แต่ว่าอย่าเกลียดพ่อนะ ถ้าจะเกลียด ก็ไปเกลียดปู่ของแกโน่น เขาเป็นคนวางแผน……”

หลี่ฝางพูดแทรกขึ้นมา: “เดี๋ยว ปู่ของผมตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”

“ตายที่ไหน ตาเฒ่านั่น พ่อก็อยากให้ตายตั้งนานแล้ว พ่อแค่หลอกแกมาสามปี ตาเฒ่านั่นหลอกพ่อมานานสิบกว่าปี……สามปีก่อนตาเฒ่ามารับพ่อกลับบ้าน แล้วมาบอกพ่อว่าเขายังไม่ตาย ยังบอกกับพ่อว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด แกว่าตาเฒ่าบ้านี่ยังมีคุณธรรมอยู่รึเปล่า หลอกว่าตัวเองตายแบบนี้ยังทำออกมาได้”

“มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด? ”

“ไอ้ลูกอกตัญญู ว่าใครตาเฒ่า เดี๋ยวตีให้ตายเลย” ในโทรศัพท์ทางนั้นมีเสียงสั่นตะโกนมา แต่เสียงในนั้น หลี่ฝางได้ยินพ่อตนเองพูดคุยอยู่: หลี่เจียเฉิน ถ้าท่านยังกล้าตีผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับท่าน

หลี่เจียเฉิน? เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในภูมิภาคเอเชียไม่ใช่เหรอ?

เดี๋ยว! ปู่ของผมเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท