หลายปีมานี้ หลี่ฝางออกเดินทางนับครั้งไม่ถ้วน อย่างน้อยสิบวัน มากหน่อยหลายเดือน ฉินวี่เฟยชินตั้งนานแล้ว
“รู้แล้ว ที่บ้านฝากเธอด้วยนะ” หลี่ฝางก้มหน้าลงจูบฉินวี่เฟย ก่อนที่จะกระซิบที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบา “วี่เฟย ผิงอันจะครบเดือนแล้ว เมื่อไหร่เธอจะมีลูกสาวให้ผม? โบราณเขาว่า เรื่องดีมาเป็นคู่”
ทีแรกคิดว่าหลี่ฝางจะพูดอะไรกับเธอ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องแบบนี้ ฉินวี่เฟยแก้มแดงไปถึงใบหู หยิบแขนของเขาอย่างแรง
“เป็นคุณพ่อแล้ว ทำไมถึงยังลามกแบบนี้ เรื่องแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันจะควบคุมได้ ยังไงตอนนี้ควรมีเดี๋ยวก็มีเองแหละ”
จ้องมองทีท่าเขินอายของฉินวี่เฟย หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่อีกหน
“ที่รัก สองวันนี้ผมพยายามมากเลยนะ หวังว่าผมกลับมาคราวหน้า จะได้ยินข่าวดี”
“โอ๊ย! นายไปเร็วเข้า!” หลังประดินประโยคของหลี่ฝาง ในหัวของฉินวี่เฟยเกิดภาพที่ไม่เหมาะสม อับอายจนแทบจะมุดดินหนี พลันเอื้อมมือผลักหลี่ฝาง เร่งให้เขารีบออกเดินทาง
“สามีจะไปแล้ว เธอแน่ใจนะว่าจะไม่จูบลา?” ฉินวี่เฟยยิ่งอาย หลี่ฝางก็ยิ่งอยากแกล้งเธอ พลันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฉินวี่เฟย แสดงว่ารอยจูบของเธอ
ปฏิกิริยาของทั้งคู่ไม่เบาเลย คนอื่นต่างก็หันสายตามายังพวกเขา หยางฉงที่อยู่อีกด้านหัวเราะจนตาหยี ฉินวี่เฟยแก้มแดงก่ำ แตะลงที่ริมฝีปากของหลี่ฝางราวกับแมลงปอแตะน้ำ
“พอได้แล้วใช่ไหม? นายรีบไปเร็วเข้า คนเยอะแยะมองอยู่ น่าอายชะมัด”
หลังจูบเสร็จ ฉินวี่เฟยหมุนตัวคิดจะเดินหนี หลี่ฝางไม่พออยู่แค่นี้ คว้าแขนของฉินวี่เฟย ประกบปากของเธอจูบอย่างลึกซึ้ง
เมื่อเหล่าลูกน้องรอบกายเห็นเข้า ต่างส่งเสียงร้อง ฉินวี่เฟยโดนจูบจนขาทั้งสองข้างอ่อนยวบ ลมหายใจแรงถี่ ผ่านไปสักพักทั้งคู่จึงแยกจากกันอย่างอาลัย
“ลามก!” ฉินวี่เฟยใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตนเอง ถลึงตาใส่หลี่ฝางอย่างดุดัน กระทืบเท้าอย่างโมโห หมุนตัวเข้าไปยังคฤหาสน์
เมื่อจ้องมองเงาร่างของเธอ หลี่ฝางหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนที่จะเดินไปที่ข้างหยางฉง ก้มลงจูบผิงอันที่ดูดนิ้วของตนเอง
“เสี่ยวฉง ผมไปก่อน รอผมกลับมานะ”
หยางฉงพยักหน้าอย่างว่าง่าย ในสายตาเต็มไปด้วยความอาลัย หลังจากที่หลี่ฝางฟื้นความจำ ทั้งคู่ก็ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน
อุตส่าห์กลับมาได้ไม่กี่วัน กำลังอยู่ในช่วงที่หวานแหวว หลี่ฝางก็ต้องไปอีกแล้ว หยางฉงอาลัยอย่างมาก
“พี่หลี่ฝาง พี่ต้องปลอดภัยกลับมานะ ฉันไปที่วัดผู่ถัวขออันนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยกับพี่โดยเฉพาะ พี่เก็บเอาไว้กับตัวนะ” หยางฉางดึงมือของหลี่ฝางมาไว้ นำถุงผ้าสีแดงที่มีขนาดเล็กวางเอาไว้บนฝ่ามือของเขา
“วางใจเถอะ เธอกับลูกรอพี่อยู่บ้านเถอะ” หลี่วางเก็บยันต์มาไว้ จูบลาหยางฉงก่อนที่จะขึ้นไปยังรถเพื่อมุ่งไปที่สนามบิน
หลังจากที่หลี่ฝางและคนอื่นๆ ออกเดินทาง อากาศที่แจ่มใสกลับเปลี่ยนไป เมฆหมอกดำปิดบังท้องฟ้าของเมือง มือทั้งสองข้างของหยางฉงทาบอกยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง จ้องมองท้องฟ้าอย่างเป็นกังวล
“ทำไมอากาศคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลยล่ะ เมื่อกี้ยังแดดออกอยู่เลย ดูท่าทีแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะฝนตกหนัก ไม่รู้ว่าจะกระทบเที่ยวบินของพวกพี่หลี่ฝางไหม”
หยางฉงถอนหายใจ ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
“เธอนี่นะ ชอบกังวลคิดมากจะแก่ไวนะ หลี่ฝางบินบ่ายสองครึ่ง ตอนนี้คงบินแล้วครึ่งชั่วโมง ฝนตกนี่ไม่กระทบกับพวกเขาหรอก วางใจเถอะ”
เมื่อเทียบกับหยางฉง ฉินวี่เฟยใจเย็นกว่ามาก เธอนำผ้าผืนหนึ่งคลุมไหล่ให้กับหยางฉง ตบบ่าของหยางฉงเพื่อปลอบใจ
“เฮ้อ พี่วี่เฟย พี่ว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดรึเปล่า? หลังจากที่คลอดผิงอัน ฉันรู้สึกไม่สบายใจตลอดเลย รู้สึกเหมือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอดเลย”
ต่อให้ฉินวี่เฟยพูดถูก แต่ความกังวลในใจของฉินวี่เฟยกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ในมือถือผ้าเอาไว้ถอนหายใจแผ่ว
“เธอคงเหนื่อยเกินไป ฉันประคองเธอไปพักผ่อนในห้องสักพักเถอะ”
ฉินวี่เฟยเองก็รู้สึกได้ว่าหยางฉงอาการไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับเธออย่างไรดี จึงได้แต่ให้เธอไปพักผ่อน
ในขณะที่ทั้งคู่หมุนตัวขึ้นไปยังชั้นบน สายฟ้าเกิดฟาดลงมาจากบนฟ้า ก่อนที่จะเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ทำให้ฉินวี่เฟยและหยางฉงสะดุ้งตกใจ
ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ทันตั้งตัว ที่หน้าบันไดก็เกิดเงาร่างหนึ่ง หลังจากที่มองเห็นรูปลักษณ์หน้าตาของเงาร่างนั้น หยางฉงเกิดขาอ่อนขึ้นมาในทันควัน อยากจะกรีดร้องแต่กลับไม่มีเสียง
“แกเป็นใคร? !” เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอีกครั้ง ฉินวี่เฟยเห็นคนที่ยืนอยู่ที่หน้าบันไดพลันเนื้อตัวสั่นเทา
ประคองหยางฉงขยับไปที่หน้าประตู พลันขยับร่างกายพร้อมกับไตร่ตรองว่าจะติดต่อกับคนข้างนอกอย่างไร
ทว่าพวกเธอเพิ่งจะเดินไปเพียงครึ่งก้าว เงาร่างนั้นก็เดินมายังข้างหน้า ต่อให้ฉินวี่เฟยใจเย็นแค่ไหน ก็ตกใจไม่น้อย อ้าปากคิดจะหวีดร้อง แต่เงาร่างนั้นไม่ให้โอกาสเธอแม้แต่น้อย พลางเอื้อมมือบีบลำคอของฉินวี่เฟยเอาไว้
“ชู่ ถ้าเธอกล้าร้องแม้แต่นิดเดียว ฉันจะหักคอเธอวะ”
น้ำเสียงแหบพร่าเสียดแก้วหูแล่นเข้ามายังใบหูของทั้งสอง ฉินวี่เฟยและหยางฉงตกใจจนขาอ่อน สายตาแห่งความอาฆาตของชายหนุ่ม ฉินวี่เฟยรู้ดีว่าเขาไม่ได้เพียงแค่หลอกให้เธอกลัวเท่านั้น จึงได้แต่กลืนคำร้องขอความช่วยเหลือลงคอ
“เป็นเด็กดีจริงๆ” เมื่อชายหนุ่มเห็นฉินวี่เฟยว่านอนสอนง่าย เผยรอยยิ้มที่น่ากลัว ในขณะเดียวกันก็คลายมือที่บีบลำคอของฉินวี่เฟยเอาไว้ ประคองใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา
การสัมผัสของชายหนุ่มทำให้ฉินวี่เฟยอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่เธอในตอนนี้ที่ตกอยู่ในอันตรายได้แต่อดทน ไม่กล้าทำให้ชายตรงหน้าโกรธ
“แกเป็นใคร? อาซาโทสตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง?” หยางฉงสั่นเทาไปทั่วร่าง จ้องมองชายตรงหน้าพร้อมกับกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ในอดีตหยางฉงเคยถูกอาซาโทสลักพาตัวมาก่อนครั้งหนึ่ง เพราะงั้นจึงเคยได้เห็นรูปหน้าค่าตาของเขามาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้หยางฉงประหลาดใจ คือใบหน้านั้นกลับเป็นใบหน้าเดียวกัน แต่น้ำเสียงและนิสัยของคนตรงหน้ากลับไม่เหมือนกับในอดีต
แถมหลี่ฝางและคนอื่นๆ ก็บอกแล้ว อาซาโทสได้เสียชีวิตลงที่ซากปรักหักพังตั้งนานแล้ว คนตรงหน้าเป็นใครกันแน่?
“ฮ่าๆ ฉันก็คืออาซาโทสไง ก็แค่ ไม่ใช่ไอ้ไร้ประโยชน์ที่เธอรู้จักเท่านั้นเอง” คำถามของหยางฉง ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบของเขาทำให้หยางฉงไม่เข้าใจยื่งกว่าเก่า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าอาซาโทสมีวิชาแยกร่างด้วยหรือไง?
“เป็นผู้หญิงอย่าฉลาดมากจะดีกว่านะ เรื่องบางอย่างไม่ใช่เรื่องที่พวกเธอจะควรรู้”
เมื่อเห็นเธอยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย อาซาโทสเองก็ไม่อธิบายอีกต่อไป พลันจับทั้งคู่ เข้ามาที่อ้อมกอดของตน
“แกคิดจะทำอะไร! ปล่อยเรานะ!” การกระทำที่กะทันหันของชายหนุ่มทำให้ฉินวี่เฟยและหยางฉงหวีดร้อง ขัดขืนอย่างหนักเพื่อออกจากอ้อมกอดของเขา
แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ทั้งสองที่ไร้ยุทธเลยแม้แต่น้อย จะเป็นคู่ต่อสู้ของอาซาโทสได้อย่างไร?