ตอนที่ 67 ฐานะสูงศักดิ์!
หลังจากกวาดตามองทั้งสองคน เธอถึงจะเอ่ยว่า “ตรงนี้ข้ายังมียาอีกสองขวด แต่ว่าข้าคิดจะขายด้วยราคาประมูล และยังข้อมูลเกี่ยวกับข้า พวกท่านอย่าได้เปิดเผยไปแม้แต่น้อย”
เมื่อได้ยินว่ามีอีกสองขวด ผู้ดูแลต่งดวงตาเป็นประกาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “แม้ที่นี่เป็นตลาดมืด แต่ถ้าท่านไม่อนุญาต พวกเราก็จะไม่แพร่งพรายข้อมูลส่วนตัวของท่าน ขอท่านโปรดวางใจ”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า บอกว่า “นอกจากนี้ ข้ายังต้องการให้พวกท่านช่วยข้าหายาทิพย์จิตวิญญาณอีกสองสามอย่าง”
น้ำเสียงเธอชะงักเล็กน้อย พูดอีกว่า “ถึงเวลา ข้าจะให้น้ำยาเร่งรวมพลังเป็นของตอบแทน แน่นอนว่าราคายาทิพย์จิตวิญญาณจะคิดแยกต่างหาก ข้าไม่เอาเปรียบพวกท่านแน่”
พอสองท่านฟังดวงตาก็ลุกวาว รีบถามว่าเป็นยาทิพย์จิตวิญญาณอะไร?
สุดท้าย เฟิ่งจิ่วให้พวกเขาหยิบกระดาษกับพู่กันมา หลังจากเขียนรายการยาทิพย์จิตวิญญาณที่ต้องการ ก็ยื่นให้พวกเขา
“นายท่าน หากเขาหายาทิพย์พบ พวกเราจะเรียนบอกท่านเช่นไรขอรับ?” ผู้ดูแลต่งเอ่ยถาม
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อีกหลายวันข้าค่อยกลับมา เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล” เธอปัดๆ ชุดแดงแล้วลุกยืนขึ้น ทิ้งยาสองขวดไว้ ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป
“ช้าก่อนท่าน” ผู้ดูแลต่งเรียก และรีบร้อนมายังข้างกายเขาเพื่อยื่นป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งให้ “นี่คือป้ายคำสั่งมืดของตลาดมืดเรา เป็นตัวแทนแขกชั้นสูง ขอท่านโปรดเก็บไว้”
ได้ยินคำพูดนั้น เฟิ่งจิ่วจึงยื่นมือรับเก็บมันเข้าแขนเสื้อ ถึงจะก้าวเท้าเดินจากไป
เห็นเช่นนี้ หลังจากสองท่านเก็บยาขึ้นมา ก็เร่งรีบส่งแขก พอออกไปด้านนอก ถึงได้เห็นผู้ดูแลจูเดินกลับมาหน้าตายิ้มแย้มพอดิบพอดี
“คารวะนายท่าน” ผู้ดูแลจูรีบทำความเคารพ กำลังจะพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น ก็ถูกยกมือขึ้นปราม
“พวกท่านไม่ต้องไปส่ง ข้าเดินวนดูรอบๆ เองก็พอ” เธอปฏิเสธไม่ให้พวกเขาไปส่ง แล้วสาวเท้าเดินไปด้านหน้า
พอทั้งสามคนเห็นเงาร่างสีแดงนั้นเลี้ยวหายไป ถึงจะดึงสายตากลับมาส่งสัญญาณสักพัก เพื่อกลับเข้าห้องปีกกันอีกครั้ง
“เมื่อครู่มีคนมาถามข้าไม่น้อยเลย ว่าในขวดนั้นใส่อะไรไว้?”
ผู้ดูแลจูกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น “แม้พวกเขาไม่รู้เรื่องแน่ชัด แต่คงคาดเดากันว่าเป็นยา ถึงอย่างไร ก็มีแค่ยาถึงจะสามารถได้ผลอัศจรรย์ขนาดนี้”
“อย่าได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับท่านผู้นั้นออกไป รายงานเบื้องบนอย่างลับๆ ก็พอ” ผู้ดูแลต่งพูดเสียงเคร่งขรึม
“งั้นไม่ต้องส่งคนตามไปรึ?”
“ไม่ต้อง”
ผู้ดูแลต่งส่ายหน้า “พวกเรายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่คนเช่นนี้ก็ไม่ควรไปขัดใจ หากส่งคนตาม เกรงว่าจะยิ่งยุให้เขาไม่ชอบใจ ถึงเวลานั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย”
และตอนนี้ เติ้งเหล่าที่ไม่พูดไม่จามาตลอด จู่ๆ กลับปริปากว่า “กลัวว่ายาทิพย์จิตวิญญาณบนนี้จะหาไม่ง่ายนัก”
“หืม? ทำไมพูดเช่นนั้น?” ผู้ดูแลต่งมองเขา เพราะเขาไม่ได้คุ้นเคยกับยานัก จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่ายาทิพย์จิตวิญญาณในรายการนั้นใช้ทำอะไรบ้าง
“พวกนี้ เห็นได้น้อยยิ่งนักในแคว้นแสงสุริยันเรา เกรงว่าต้องรวบรวมจากแคว้นอื่น” เขามองพวกเขาอีกสองท่าน ในแววตามีชีวิตชีวา “ข้าสรุปได้เลย ท่านนี้ต้องเป็นนักปรุงยาแน่! ถึงขั้นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ!”
“อะไรนะ?”
สองท่านอุทาน “นักเล่นแร่แปรธาตุ? ตำแหน่งสูงศักดิ์เช่นนั้น เป็นไปได้รึ? ประเมิณจากน้ำเสียงเขา คงยังอายุน้อยมาก จะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้อย่างไร?”
ต้องรู้ไว้ ว่านักเล่นแร่แปรธาตุคือตำแหน่งที่เหนือชั้นกว่านักปรุงยา ไม่ต้องพูดถึงแคว้นเล็กๆ ระดับเก้าของพวกเขาหรอก ต่อให้เป็นแคว้นขั้นกลางระดับหกก็เกรงว่ายังยากมากที่จะหาได้สักคน
และตอนนี้คนที่พวกเขาพูดถึงกำลังยืนอยู่หน้ารายชื่อสำหรับทหารรับจ้างตลาดมืด พอเห็นรางวัลนำจับด้านบน มุมปากเธอก็ยกขึ้นผุดรอยยิ้มน้อยๆ
…………………………………………………….
ตอนที่ 68 ผู้แข็งแกร่งทั้งสองท่าน
นึกไม่ถึงเลยว่าเงินรางวัลของเธอจะอยู่สามอันดับแรก จิ๊ๆ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง!
ขณะกำลังคิด พลันได้ยินเสียงพูดคุยลอยมาข้างหู
“ทำไมรูปเหมือนสาวคนนั้นขึ้นมาอยู่สามอันอับแรกได้เล่า? ไม่คิดเลยว่าเงินรางวัลจะถึงห้าแสนเลยรึ?”
“เจ้าเพิ่งกลับมายังไม่รู้หรอก ตอนนี้ไม่มีทหารรับจ้างคนไหนกล้ารับภารกิจตามล่านี้แล้ว”
“เพราะเหตุใดรึ?”
“เพราะทหารทุกคนที่รับภารกิจนี้ออกไป ไม่เคยมีชีวิตรอดกลับมา ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งเดือนก็มีทหารรับจ้างไม่น้อยที่พ่ายแพ้แก่นาง”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน เห็นชายหนุ่มชุดแดงยืนอยู่หน้าป้ายรายชื่อ ก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย หนึ่งในนั้นจึงถามว่า “ใต้เท้าต้องการลงภารกิจไว้รึขอรับ?” ถึงอย่างไร คนที่รับภารกิจบนนี้ มีเพียงทหารรับจ้างตลาดมืดเช่นพวกเขาที่รับได้
เฟิ่งจิ่วดึงสายตากลับมามองสองคนนั้นแวบหนึ่ง เธอส่ายหน้ายิ้มๆ หางตาชำเลืองเห็นชายวัยกลางคนเดินออกไปด้านนอก จึงสาวเท้าก้าวตาม
รอจนนางจากไป ทหารรับจ้างตลาดมืดในตำแหน่งสามก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสียงเบา “ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมาเป็นครั้งแรก กลิ่นอายบนร่างช่างน่าดึงดูดนัก ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดกัน?”
“อย่าสนใจเลยว่าเขาจะมาจากที่ใด ไปเถอะ ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง” อีกคนหนึ่งอ้าแขนกว้างโอบไหล่พาเดินไปด้านนอก
ชายวัยกลางคนที่เดินไปโรงเตี๊ยมพลันชะงักย่างก้าวลงเล็กน้อย มองไปด้านหลัง และขมวดคิ้วเบาๆ อย่างอดไม่ได้ เขาเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าตรอกแล้วหยุดก้าวลง ตะโกนไปเสียงเข้ม
“ใครน่ะ! ออกมานะ!”
เงาร่างสีแดงสาวเท้าก้าวนวยนาดออกมาอย่างผ่าเผย ยังคงเป็นชุดสีแดงแพรวพราว เส้นผมสีดำใช้เพียงริบบิ้นแดงผูกไว้ จะแตกต่างก็แค่ ที่สวมบนใบหน้าคือหน้ากากสีทองที่มีดองลำโพงแห่งแดนนรกเบ่งบานอยู่
เมื่อเห็นผู้นั้นเดินกรีดกรายออกมา แววตาเขาหรี่ลง ในหัวก็คาดเดาขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่กลับปฏิเสธอย่างทันควัน
ไม่ คงไม่ใช่สาวน้อยคนนั้น ชายหนุ่มชุดแดงเบื้องหน้าสูงกว่าสาวน้อยอยู่บ้าง คงไม่ใช่นางหรอก
“ไม่ได้เจอกันนานมากจริงๆ”
น้ำเสียงเฟิ่งจิ่วช่างเอื่อยเฉื่อย มันมีทั้งความหยอกล้อ เย็นชา และแรงอาฆาต
“เป็นเจ้า!”
หลังจากได้ยินเสียงอันคุ้นเคย สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงล้วนสั่นเทา ความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณทำให้เขาถอยไปสองเก้าในคราแรก ร่างกายเตรียมป้องกันตัวอย่างตึงเครียด ยังไม่ทันลงไม้ลงมือ ก็กลับเหงื่อออกซกเสียแล้ว
ไม่แปลกใจที่ปรมาจารย์นักรบผู้ทรงเกียรติเช่นเขาจะเกรงกลัวนักรบอย่างนาง เพราะเขาเคยประมือกับนาง จึงรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจ เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่เกือบตายในเงื้อมมือนาง และนึกถึงแขนที่เสียไป ในใจก็เกิดความขลาดกลัวขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไปลงภารกิจตามล่าไว้ที่ตลาดมืด แต่กลับไม่กล้าสู้กับนางตรงๆ
พอเห็นปฏิกิริยาเขา เฟิ่งจิ่วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อท่านกลัวข้าเสียขนาดนี้ ทำไมถึงยังลงภารกิจตามล่าไว้เพื่อฆ่าข้าด้วยเล่า?”
เธอเดินเยื้องย่างออกหน้าเข้าใกล้ไปทีละก้าวๆ “เดิมทีข้าเกือบลืมว่ายังมีคนเช่นท่านนี้อยู่ ใครจะรู้ ว่าท่านยังวิ่งมาตรงหน้าข้าด้วยตัวเอง”
สิ้นเสียงนั้น ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวด้านหลัง เธอเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วดึงสายตามองไป
จึงเห็นชายวัยกลางคนกับชายแก่ที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวกันด้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองท่านกลิ่นอายแรงกล้า แววตาเผยคมเฉียบแหลม แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจากร่างสองท่าน แรงอาฆาตที่กำลังเอ่อล้น ท่วมท้นอยู่ในตรอกเล็กแห่งนี้
“ฮ่าๆๆ! อยากฆ่าข้ารึ? งั้นจะดูว่าเจ้ามีปัญญาหรือไม่!” ชายวัยกลางคนแปรผันความตื่นตระหนกและหวาดกลัวก่อนหน้า มามองสองท่านนั้นด้วยสายตาที่มีความลิงโลดใจ
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ และผู้อาวุโสสี่ เป็นเจ้านี่ คือนังคนที่ฆ่าเผิงเอ๋อร์!”