ตอนที่ 95 เยือนจวนตระกูลสวี่ยามวิกาล
องครักษ์ฟังแล้วหัวใจสั่นไหว กลับยังคงรีบร้อนขานรับ ก่อนจะเดินไปหยิบเหล็กเผาไฟร้อนจากด้านหลังมายื่นให้ท่านผู้นำตระกูลอย่างระวัง
“ข้าอยากลองดูนัก ว่ากระดูกเจ้าจะทนทานสักเพียงใด!”
ผู้นำตระกูลสวี่เอ่ยเสียงทุ้มเข้ม เหล็กร้อนในมือกำลังจะลนลงไปบนร่างกวนสีหลิ่น เหล็กที่เผาไฟร้อนนั้นยังมีไอร้อนซ่าๆ แผ่ออกมา แม้แต่องครักษ์ด้านข้างก็ไม่กล้าหันไปมอง
“หยุดนะ!”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยแรงกดดันดังลอยมา ทำให้ท่านผู้นำตระกูลสวี่ที่กำลังจะนาบเหล็กร้อนลงไปต้องหยุดมือไว้ทั้งอย่างงั้น ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางหันมองไป
ชายชราชุดเทาย่างก้าวเดินเข้ามา พอได้กลิ่นคาวเลือดในคุกใต้ดินนี้ และยังมีกวนสีหลิ่นที่หมดสติไป ก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมใบหน้ามืดลง ถลึงมองท่านผู้นำตระกูลสวี่ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก
“คนยังมีประโยชน์อยู่ หากท่านทำเขาตาย สาวน้อยผู้นั้นไม่มา กระผมจะไปหาใครได้?”
ฟังคำพูดนี้ ผู้นำตระกูลสวี่ก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงยื่นเหล็กร้อนส่งให้องครักษ์ข้างๆ “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลไป นังเด็กเหลือขอนั่นจะมาแน่นอน!”
ต่อให้ไม่มา เขาก็จะพลิกหาทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ยให้นางโผล่หัวออกมาให้ได้!
เมื่อรัตติกาลมาเยือน ในจวนตระกูลสวี่ยังคงมีแสงโคมสว่างราวกลางวัน ทั้งด้านในด้านนอกล้วนมีองครักษ์แต่ละกองลาดตระเวนสอดส่องอยู่ แหฟ้าตาข่ายดินที่วางไว้ แค่สำหรับเหยื่อที่อาจมาเยือนในค่ำคืนนี้
เฟิ่งจิ่วซ่อนตัวสังเกตการณ์อยู่ในมุมมืดเพียงเพื่อรอถึงพลบค่ำ จู่ๆ ก็เห็นเงาร่างสีดำที่แสนคุ้นตา จึงขมวดคิ้วขึ้น ร่างสีแดงแวบพุ่งไปยังเงาร่างนั้น
เหลิ่งซวงกำลังจะกระโดดขึ้นกำแพงทางเข้าจวนตระกูลสวี่ ทันใดนั้น มีมือหนึ่งคว้าเข้าที่ไหล่ ส่วนอีกข้างปิดปากไว้และลากนางไปยังมุมมืด พอจะสู้ตอบ ก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังลอยมาเบาๆ
“ข้าเอง”
ในขณะที่ปริปาก เฟิ่งจิ่วก็ปล่อยมือออก แล้วขมวดคิ้วน้อยๆ พลางมองนางที่หมุนหันตัวมา “ข้าให้เจ้าคอยดูแลเวิ้งสวนท้อไม่ใช่หรือ? ไยจึงมาอยู่นี่?”
“นายท่าน?”
ดวงตาเหลิ่งซวงเป็นประกายน้อยๆ “ข้าเป็นห่วงท่าน ดังนั้นจึงตามมาเจ้าค่ะ” ปล่อยนางมาช่วยคนเสียเอง จึงยังคงไม่วางใจอยู่บ้าง ดังนั้น หลังจากกำชับอาหวาให้ดูแลตัวเองดีๆ ก็ตามมาเลย
“หาเรื่องใส่ตัว!”
น้ำเสียงเธอเข้มขึ้นน้อยๆ “หากข้าไม่รั้งเจ้าไว้ คืนนี้คงทำข้าเสียเรื่องเป็นแน่”
ฟังคำพูดนี้ เหลิ่งซวงก็ก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ นายท่าน”
“กลับไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงเงยหน้าขึ้นมาทันใด แล้วส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่กลับเจ้าค่ะ! ข้าอยากช่วยนายท่านช่วยคุณชาย!”
“หากเข้าไปแล้ว เจ้าอาจตายได้นะ!”
นางมองนายท่านด้วยแววตายืนหยัดหนักแน่น “ชีวิตเหลิ่งซวงเป็นของนายท่าน ต่อให้ตาย เหลิ่งซวงก็ไม่อาจให้นายท่านไปเสี่ยงอันตรายตัวคนเดียวเจ้าค่ะ!”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็มองนางอย่างลึกซึ้งอยู่นานนัก ถึงจะละสายตาออกไป “ในเมื่อไม่กลัวตาย ก็ตามมา!”
“เจ้าค่ะ!” นางระรื่นอยู่ในใจ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
เฟิ่งจิ่วพานางกระโดดขึ้นไปหลังกำแพงอย่างเงียบเชียบ แอบในมุมมืด เพียงเห็นก็มองออกว่าสถานที่รอบนอกจวนตระกูลสวี่ที่ไม่มีองครักษ์ลาดตระเวนล้วนมีค่ายกลกระบี่วางไว้ หากอยากจะเข้าไป จำต้องผ่านค่ายกลนั้น
“ด้านในมีค่ายกลกระบี่ ตามติดข้ามา ห้ามเดินผิดแม้แต่ก้าวเดียว” สิ้นสุดคำพูด ก็โดดลงด้านล่าง พาเหลิ่งซวงเดินเข้าไปในค่ายกล
และที่ด้านในจวนตระกูลสวี่ บริเวณลานบ้าน
ผู้นำตระกูลสวี่กำลังจิบชาอยู่ เอ่ยถามอย่างไม่วางใจเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโส ค่ายกลกระบี่นั้นจะดักจับคนได้จริงๆ รึ? หากนางมาแล้วพวกเราจะไม่รู้หรือไม่?”
“ไม่มีทางหรอก”
ชายชราส่ายหัว กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ค่ายกลกระบี่ของกระผม ในแคว้นแสงสุริยันนี้ไม่มีผู้ใดแก้ได้มาแต่ไหนแต่ไร ขอเพียงนางกล้าเข้ามา พวกเราก็ไม่ต้องลงมือ นางจำต้องถูกดักจับอยู่ในค่ายกลโดยไม่มีทางออกมาได้แน่!”
…………………………………………………….
ตอนที่ 96 ไฟไหม้จวนตระกูลสวี่!
ทว่า ทั้งสองท่านในเวลานี้กลับไม่รู้ ว่าคนที่กล่าวถึงกันอยู่ ได้เดินออกจากค่ายกลนั้นอย่างปลอดภัยไร้อุปสรรค…
เมื่อออกจากค่ายกลกระบี่ พวกนางก็พบกับองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกกองหนึ่งที่เดินมา ขณะที่เหลิ่งซวงยังไม่ทันได้หลบ ก็ถูกเฟิ่งจิ่วลากพามาอีกด้านหนึ่ง เงาร่างแวบผ่านรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้คนที่ลาดตระเวนกะดึกไม่ได้สังเกตเลยสักนิด
ยืนรออยู่นิ่ง เหลิ่งซวงตกใจน้อยๆ ก่อนจะมองนายท่านข้างกายด้วยแววตาที่มีความเหลือเชื่อ ท่วงท่าเช่นนั้น เดาว่าต่อให้นางฝึกฝนวิชาอีกสิบปีก็ยังเทียบได้ไม่ติด
“ไป!”
เฟิ่งจิ่วบอกเสียงเบา แล้วพานางเดินไปอีกด้าน ตลอดเส้นทาง ถึงแม้จะพบเจอองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกของตระกูลสวี่อยู่เรื่อยๆ แต่ก็ล้วนถูกทั้งสองหลบเลี่ยง จึงไม่ทำให้พวกเขาไหวตัวทัน
ในที่สุดเหลิ่งซวงก็รู้ถึงความหมายคำพูดก่อนหน้าของนายท่าน
รอบนอกด้านในนี้เป็นค่ายกลกระบี่ ภายในกลับเห็นองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกอยู่ทุกหนแห่ง หากนางเข้ามาเสียเอง เดาว่าคงถูกพบตัวนานแล้ว
“รออยู่ตรงนี้นะ”
หลังจากเฟิ่งจิ่วทิ้งคำพูดไว้ ก็พุ่งตัวออกไปอย่างเงียบงัน ล็อคตัวปิดปากองครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ทิ้งท้ายหลังสุดลากไปยังมุมมืด รอกององครักษ์นั้นเดินไปไกล ค่อยเอ่ยถามกดเสียงเบา “กวนสีหลิ่นอยู่ที่ไหน?”
องครักษ์ผู้นั้นเบิกดวงตาอย่างตื่นตระหนก ในแววตาร้องขอความเมตตา ก่อนจะยื่นมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ถีบขาคิดจะดิ้นรนหนีไป เห็นเช่นนี้ แววตาเฟิ่งจิ่วเย็นเยียบ ใช้มือหนึ่งจับหักคอเขา แล้วลากไปทิ้งไว้ยังมุมมืด
ทั้งสองออกมาอีกครั้ง มองหาไปตามทิศทางนั้น พอพบองครักษ์ลาดตระเวนกะดึกก็หลบเลี่ยง จนกระทั่ง เมื่อมาถึงด้านในบริเวณข้างภูเขาจำลอง เฟิ่งจิ่วถึงจะหยุดฝีเท้าลง
เหลิ่งซวงใช้สายตามองเป็นคำถาม ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงหยุดลงอย่างกะทันหัน
และทุกที่ด้านหน้าที่สายตาเฟิ่งจิ่วหันแฉลบมองไป เห็นที่ไกลๆ ตรงด้านข้างภูเขาจำลองมีองครักษ์สี่นายเฝ้าอยู่ นอกจากนี้ มุมมืดบริเวณรอบๆ ยังมีคนซ่อนตัวอยู่อีกไม่น้อย
แววตาเธอครุ่นคิด รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางจัดการทั้งคนในที่แจ้งและที่ลับได้เพียงชั่วอึดใจ เช่นนั้นก็เหลือแค่ใช้ยาแล้ว
พอพลิกฝ่ามือ ก็หยิบขวดยาออกมาจากในห้วงมิติ แอบขึ้นไปเหนือลมอย่างเงียบสงัด อาศัยสายลมยามวิกาลสลัดน้ำยาในมือออกไป จากนั้นค่อยรออยู่นิ่งๆ จนกระทั่ง คนทั้งในที่ลับที่แจ้งต่างล้มกันลงไป ถึงจะส่งสัญญาณให้เหลิ่งซวงออกมา
“เจ้าเฝ้าไว้ ข้าจะลองเข้าไปดู” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็งัดเปิดประตูหินเดินเข้าไป
พอเข้ามาด้านใน กลิ่นที่มืดสลัวและชื้นแฉะก็ปะทะโดนใบหน้า กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกทำให้เธอขมวดคิ้วแน่นขึ้น โดยเฉพาะ เมื่อเห็นคนที่เนื้อเหวอะหวะช้ำเลือดช้ำหนองถูกผูกตรึงไว้บนเสาไม้ ใจยิ่งร้อนรน ไอกระหายเลือดเอ่อล้นไปทั่วร่าง
“ท่านพี่!”
เธอเรียกเสียงเบา แต่เขาหมดสติไป จึงไม่รู้สึกตัวแล้ว
เห็นเช่นนี้ จึงยัดเม็ดยาใส่ในปากเขาอย่างรวดเร็ว ตัดเชือกปล่อยคนลงมาและพาออกไป
“ข้าจะล่อคนไป เจ้าหาโอกาสพาเขาออกไปก่อนนะ”
เหลิ่งซวงที่ประคองกวนสีหลิ่นอยู่พยักหน้า กล่าวเตือนอย่างไม่วางใจ “นายท่าน ระวังตัวหน่อยนะเจ้าคะ”
“อืม รีบไปซะ”
เธอรับปาก พอเห็นพวกเขาเดินไปอีกด้าน ถึงจะเบนสายตามาจับจ้องที่เรือนหลักในส่วนที่พำนัก แววตามีจิตสังหารอันกระหายเลือดเยือกเย็น และน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปาก
“ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ ว่าคนแบบไหนไม่ควรยุแหย่!”
“ไฟไหม้! ไฟไหม้แล้ว! รีบดับไฟเร็ว!”
ท่านผู้นำตระกูลสวี่กับชายชราที่พูดคุยกันอยู่ในลานบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเรียกดับไฟดังลอยมาจากด้านนอก ก็พลันลุกยืน “เกิดอะไรขึ้น?”
องครักษ์นายหนึ่งท่าทางรีบร้อนเข้ามา “ท่านผู้นำตระกูล แย่แล้วขอรับ ด้านในจวนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายแห่ง ไฟโหมรุนแรงมาก ใกล้จะลามมาถึงด้านนี้แล้วขอรับ!”
พอสองท่านได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ ก่อนจะพุ่งไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว…