ตอนที่ 93 ที่แท้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก!
“งั้นเจ้าก็ไม่ควรเอาชีวิตมาเดิมพัน!”
หงส์ไฟน้อยถลึงตามอง ใบหน้าเล็กอ้วนท้วมเป่าแก้มป่อง “หากเจ้าเข้าขั้นสูงแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรเข้า ใครจะไปช่วยเขา?”
“แม้วรยุทธ์ข้าในตอนนี้จะสามารถจัดการกับผู้ฝึกเซียนระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้ แต่ข้ากังวลว่าเมื่อถึงเวลา หากพละกำลังอีกฝ่ายเหนือกว่านี้ จำต้องเกิดสถานการณ์ที่ไม่อาจถอยกลับได้แน่”
น้ำเสียงเธอชะงักเล็กน้อย ครุ่นคิดนิดๆ ว่า “หนำซ้ำ ข้าวางค่ายกลกระบี่ไว้ในเรือน หากไม่ใช่นักวางค่ายกลก็ไม่มีทางแก้ออกได้แน่ ดังนั้น ถึงเหลิ่งหวาจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาบอกเรื่องทั้งหมด ข้าก็รู้ว่าเรื่องครั้งนี้นั้นแตกต่างออกไป ศัตรูที่ข้าจะเผชิญต้องแข็งแกร่งมาก”
“ก็ได้ๆ เจ้าอย่ากินยานั่นเลย ถึงเวลาหากเจ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ จะให้ดีก็ให้ข้าช่วยเจ้าเป็นพอ”
เมื่อฟังคำพูดนี้ สายตาเฟิ่งจิ่วก็จับจ้องบนเรือนร่างเล็กๆ นั่นด้วยความสงสัยต่อคำพูดเขาที่ไม่อาจปิดบัง
“เจ้าเด็กน้อย ถึงเจ้าเป็นสัตว์เทวะในตำนาน แต่อันที่จริงตอนนี้ก็เป็นเพียงวัยเด็ก ซ้ำยังรูปลักษณ์เช่นมนุษย์เด็กน้อยสามขวบ หากเป็นคนที่แม้แต่ข้าก็ยังสู้ไม่ไหว เจ้าจะทำอะไรได้เล่า?”
เอาเถอะ! แต่ไหนแต่ไรเธอก็คิดว่าเด็กน้อยแขนขาสั้นตัวอ้วนจ้ำม่ำราวกับตุ๊กตานำโชคนี้ไม่เห็นมีกำลังต่อสู้อะไร ที่จริงแล้ว เขายังไม่โตเลยไม่ใช่หรือ?
ถ้าเจอกับผู้แข็งแกร่งที่แม้แต่เธอยังสู้ไม่ไหวเข้าจริงๆ ก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขามีฝีมือพอจะช่วยได้
ทว่าหงส์ไฟน้อยพอฟังคำพูดนี้ก็ไม่ชอบใจนัก สองแขนเล็กๆ ยกขึ้นกอดอก บั้นท้ายหย่อนลงนั่งบนพื้น แล้วถลึงมองนางด้วยแววตาขุ่นเคือง “เจ้าดูถูกกันให้น้อยๆ หน่อย! ข้าไม่ไร้ประโยชน์เหมือนเด็กทารกมนุษย์อายุสามขวบของพวกเจ้า ข้าแข็งแกร่งมากนะ!”
เขาเน้นย้ำอีกครั้ง แม้เฟิ่งจิ่วจะไม่คิดว่าคำพูดเขาเป็นความจริงก็ตาม
“นายท่าน อาหวาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
ด้านนอกมีเสียงเหลิ่งซวงดังลอยมา
พอเฟิ่งจิ่วในห้วงมิติได้ยิน ก็มองเม็ดยาในมือแวบหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก จึงเก็บมันขึ้นมา ก่อนจะกำชับว่า “เจ้าอยู่ฝึกฝนวิชาด้านในนี้อย่างว่าง่ายไปเถิด” ขณะที่พูด ถึงจะแวบตัวออกจากห้วงมิติ
เมื่อเปิดประตูห้องออก ก็เห็นใบหน้าระรื่นของเหลิ่งซวง
“นายท่าน อาหวาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” เธอพยักหน้า ถึงจะสาวเท้าก้าวเดินไปยังห้องของเหลิ่งซวง
มาถึงในห้อง เห็นเหลิ่งหวาบนเตียงลืมตาขึ้นมาแล้ว พอเห็นเธอมาจึงคิดจะลุกขึ้น แต่ก็โดนเธอกดไว้ “บนตัวเจ้ามีแผล นอนไปดีกว่านะ”
“นายท่านขอรับ คุณชายถูกจับไปแล้ว” น้ำเสียงเขาอ่อนรวยรินนัก แต่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
“รู้รึว่าคนพวกนั้นเป็นใคร?” เธอแอบเดา แค่ถูกจับก็ยังดี ไม่ถูกฆ่าเป็นพอ
“ชายวัยกลางคนนั่นบอกว่าเป็นคนตระกูลสวี่ หาว่านายท่านฆ่าลูกชาย น้องชายคนรอง และยังมีผู้อาวุโสอีกสองท่านของเขา จึงจะมาคิดบัญชีกับนายท่านขอรับ”
พอได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งซวงก็แปลกใจน้อยๆ นายท่านฆ่าคนรึ? จะเป็นไปได้ยังไง? พละกำลังของนายท่านอย่างมากก็ได้เพียงทำทีเป็นเก่งกาจแต่ไร้ความสามารถ จะฆ่าคนระดับอาวุโสของตระกูลได้อย่างไรเล่า?
ทว่าเฟิ่งจิ่วที่ฟังอยู่ แววตากลับเป็นประกายน้อยๆ ในใจนึกขึ้นได้ทันใด ที่แท้ก็เป็นตระกูลสวี่
คุณชายรองตระกูลสวี่และคนพวกนั้นล้วนถูกเธอสังหาร พวกเขารู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นคนฆ่า? หรือว่าเจอรูปวาดภาพเหมือนจากรางวัลนำจับในตลาดมืดนั้น จึงคาดเดาได้?
“พวกเขาพาคนที่ชำนาญค่ายกลกระบี่ไปด้วยหรือไม่? แล้วเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร? เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดทีสิ”
“ผู้นำตระกูลสวี่ผู้นั้นพาชายชราชุดเทาไปด้วยขอรับ เขาเป็นคนทำลายค่ายกล ส่วนข้า…”
น้ำเสียงเขาชะงักน้อยๆ เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ก็ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง “นายท่าน ที่แท้หมัดไทเก๊กอันพลิ้วไหวนั่นช่างร้ายกาจยิ่งนักขอรับ!”
…………………………………………………….
ตอนที่ 94 ถูกทรมาน!
“ตอนนั้นข้าแทบจะโต้กลับไปตามสัญชาตญาณ หากไม่ใช่เพราะหมัดไทเก๊กที่นายท่านสอนสั่ง เดาว่าคงตายอยู่ใต้คมกระบี่ของสองคนนั้นแล้วขอรับ”
นึกถึงตรงนี้ ในใจเขายังคงมีความหวาดกลัวในภายหลัง อันที่จริง ชีวิตก่อนหน้านี้ ก็มีพี่สาวคอยปกป้องมาตลอด ร่างกายยังอ่อนแอ ป่วยติดเตียงมาตลอดปี เรื่องอย่างเช่นในคืนนั้น ที่ผ่านมาก็ไม่กล้านึกฝัน
ทว่า หลังจากผ่านคืนนั้นมา ความคิดอันเดือดพล่านกลับเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหัวใจ
เขาต้องฝึกฝนวิชาบ้าง! แม้จะไม่อาจเทียบกับพี่สาว ก็ยังต้องฝึกฝน! เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ต้องให้คนอื่นคอยปกป้อง หนำซ้ำ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็สามารถปกป้องพวกเขาได้
เมื่อฟังคำพูดเขาเรียบร้อย เหลิ่งซวงก็หันมองนายท่านอย่างอดไม่ได้ ในใจรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
หมัดที่นายท่านฝึกฝนใช้โต้ตอบศัตรูได้ด้วยรึ?
ตลอดมานางคิดว่านายท่านนั้นฝึกฝนเพื่อออกกำลังแขนขา นึกไม่ถึงว่ารอบนี้ จะเป็นหมัดไทเก๊กนั่นที่ช่วยอาหวาไว้
หลังจากฟังคำพูดเขาจบ เธอก็พยักหน้ากำชับว่า “เจ้ารักษาแผลดีๆ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น” ก่อนจะหันตัวเดินออกไปด้านนอก
เหลิ่งซวงตามออกมา เห็นนางยืนอยู่ในลานบ้าน จึงเอ่ยถาม “นายท่าน จากนี้ไปพวกเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ?”
“ข้าจะกลับไปเสียหน่อย เจ้าอยู่ดูแลที่นี่ดีๆ ก็พอ”
“นายท่านคิดจะไปช่วยคุณชายคนเดียวรึเจ้าคะ?”
นางตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดอย่างกังวลใจ “กำลังของคนพวกนั้น แม้แต่คุณชายก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ หากนายท่านไปคงจะไม่…”
โยนตัวเองลงตาข่าย? ประโยคนี้ไม่ได้พูดออกมา ในสายตานาง แม้นายท่านจะฝึกฝนหมัดไทเก๊กเสียจนคล่องแคล่ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น นางแค่ตัวคนเดียว แต่อีกฝ่ายกลับมีมาทั้งวงศ์ตระกูล
ไม่ต้องพูดถึงความต่างด้านพละกำลัง จำนวนคนก็แตกต่างกันมากเกินไป นางจะปล่อยให้นายท่านไปตายได้อย่างไรเล่า?
“เรื่องพวกนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล ทำเรื่องที่ข้ากำชับไว้ให้ดีก็พอ”
เธอหันตัวกลับห้อง เปลี่ยนสวมชุดผู้ชาย สวมหน้ากากสีทองลายดอกลำโพง กลิ่นอายทั่วร่างก็เหมือนจะเปลี่ยนตามไปด้วย
เป็นกลิ่นอายที่รุนแรง เฉื่อยชา และมีความลึกลับ อันตรายราวกับท่านชายแห่งรัตติกาล สัดส่วนบนร่างถูกผูกรัดไว้เสมอ ท่าทางที่เก็บซ่อนไว้ ก็เปิดเผยออกมาในช่วงเวลานี้ ทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตา
เธอออกจากเรือนพุ่งไปยังด้านนอกป่า พลังเร้นลับพรั่งพรู ย่างก้าวแปรปรวนแปลกๆ ทำให้เธอรวดเร็วราวกับภูตผีที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย…
ในคุกใต้ดินบ้านตระกูลสวี่
“ฟิ้ว! ผัวะ!”
“อื้ม!”
เสียงตวัดกวัดแกว่งแส้มีเสียงลมดังฟิ้วๆ เมื่อแส้ตีไปแต่ละครั้ง ก็ตามมาด้วยเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นระงม กลิ่นคาวเลือดที่ปะปนกันหนาแน่นฟุ้งกระจายอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดสลัวและชื้นแฉะ
กวนสีหลิ่นที่มีแผลทั่วร่างถูกผูกตรึงไว้บนเสาไม้รูปกางเขน รอยแส้บนตัวต่างทับซ้อนกันไป เลือดสดไหลลงมาพร้อมหยาดเหงื่อ ทำให้เสื้อเปราะเลือดตัวรุ่งริ่งบนร่างเปียกชื้น
ตั้งแต่ถูกจับตัวกลับมา แส้ก็หวดไม่เคยหยุดอยู่เช่นนี้ เขาแสนเหนื่อยล้า แม้แต่เสียงตะโกนยังร้องไม่ออก ทั่วทั้งร่างกายเหมือนไม่ใช่เขา เจ็บเสียจนไร้ความรู้สึก ไม่อาจเงยศีรษะขึ้นได้แล้ว แต่คนที่หวดแส้กลับไม่ผ่อนมือลงเลย ยังคงก่นด่าพลางตวัดแส้ไป
“สำหรับพวกเจ้าที่ฆ่าลูกชายข้า!”
“สำหรับพวกเจ้าที่ฆ่าน้องรองข้า!”
“สำหรับพวกเจ้าที่สังหารผู้อาวุโสทั้งสอง!”
“และสำหรับพวกเจ้าที่เป็นศัตรูกับตระกูลสวี่ข้า!”
องครักษ์ข้างๆ เห็นว่ากวนสีหลิ่นห้อยหัวก้มลงหมดสติไปด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย จึงอดไม่ได้ที่จะปริปากอย่างระแวดระวัง “ท่านผู้นำตระกูล เขาสลบไปแล้วขอรับ”
“หยิบเอาเหล็กร้อนเผาไฟมา! ลนมันให้ตื่นทั้งสดๆ เลย!”