ตอนที่ 145 ร้องขอเพื่อบอกข้า!
พอเห็นประกายแสงที่ฉายเด่นในดวงตาเขา เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มเย็น “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าข้าใช่หรือไม่”
สิ้นสุดน้ำเสียง ท่าร่างเธอว่องไว พุ่งออกไปราวกับลำแสง ความเร็วนั้นยังเร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ทำให้ชายวัยกลางคนที่เดิมทีตื่นตกใจอยู่ไม่ทันตอบโต้ในคราแรก รอเมื่อได้สติกลับมา เพียงรู้สึกถึงความเจ็บแปลบและเย็นเยียบข้างลำคอ
“ยังไงเล่า? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหนีไม่พ้นหรอก?”
น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นเบื้องหลังด้วยความเย็นชา ทั้งร่างเขาแข็งทื่อ สองตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าเหลือเชื่อเป็นที่สุด “เป็นไปได้ เป็นไปได้ยังไง…”
เขาเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด จะถูกนางจับได้ในทันทีได้เช่นไร?
แต่ว่า ความเจ็บที่แล่นมาบริเวณคอ รวมถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ กลับทำให้เขาไม่มีทางจะไม่เชื่อ เขาพ่ายแพ้แล้วจริงๆ พ่ายอยู่ในเงื้อมมือสาวน้อยที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา หนำซ้ำ สาวน้อยผู้นี้ยังเป็นเฟิ่งชิงเกอ!
“จิ๊ๆ ข้านึกว่าพอถูกจับแล้วเจ้าจะกินยาฆ่าตัวตายเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะหวงแหนชีวิตตัวเองกว่าที่คิดเอาไว้”
ได้ยินเสียงเยาะเย้ยนางลอยมา ชายวัยกลางคนก็ทำตัวแข็งขืนพร้อมทั้งหลับตาลง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ไม่ผิดเลย เขาไม่อยากตาย ด้วยระดับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเช่นเขา จะคิดสั้นฆ่าตัวตายได้อย่างไร? แม้รู้ว่าเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือนางจุดจบคงไม่ดีนัก แต่เขาจะฆ่าตัวตายไม่ได้
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องหลายเสียงลอยมาจากด้านนั้น เขาลืมตามองไป ก็เห็นเหล่าชายชุดดำทั้งหมดล้วนถูกซ้อมสลบลงบนพื้น ปากเผยอเล็กน้อยปิดไม่ลง เห็นได้ชัดว่าถูกชายหนุ่มเสยคาง
เห็นเช่นนี้ แววตาเขาหม่นลงน้อยๆ หัวใจก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม
พวกเขาประมาทศัตรูเกินไป เดิมนึกว่าจะรับมือทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย กลับทำให้พวกเขาสิบกว่าคนต้องจบเห่ลงที่นี่ แล้วจะแจ้งสถานการณ์ตอนนี้ให้นายหญิงรู้ได้เช่นไร?
“บอกว่าหมัดพวกเจ้าไม่แกร่งไปกว่าข้าก็ไม่เชื่อ!”
กวนสีหลิ่นยกเท้าขึ้นถีบคนบนพื้นทีหนึ่ง ถึงจะเดินไปหาเฟิ่งจิ่ว คลี่ปากแย้มยิ้ม “เสี่ยวจิ่ว คนพวกนี้ถูกข้าชกเสยคางจนสลบไปหมดแล้ว”
เฟิ่งจิ่วกวาดตามองคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ชำระล้างวรยุทธ์พวกเขาซะ”
“ได้เลย!”
หันตัวกลับโดยไม่พูดไม่จา ล้างวรยุทธ์ของคนพวกนั้นไปจนหมด ทันใดนั้น เมื่อวรยุทธ์สลายไป พวกเขาที่เดิมต่างสลบกันอยู่ก็ฟื้นคืนสติเพราะความเจ็บรุนแรง ทว่าคางถูกเสยไม่อาจส่งเสียงร้อง จึงทำเพียงดิ้นชักร่างอย่างกระเสาะกระแสะ
เห็นวรยุทธ์คนพวกนั้นถูกล้างไปในชั่วพริบตา สุดท้ายใบหน้าชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนสีซีดไร้สีเลือด ในดวงตาฉายแววตื่นตกใจ
วรยุทธ์ตั้งหลายสิบปี เขาจะยอมถูกชำระล้างได้อย่างไร?
“บอกสิ่งที่ข้าอยากรู้มา บางที ข้าอาจให้เจ้าได้ตายอย่างสบายๆ หน่อย”
ฟังเสียงที่ลอยมาจากด้านหลัง แววตาชายวัยกลางคนแน่วแน่ กัดฟันกรอด “อยากฆ่าก็ฆ่า! เจ้าอย่าได้คิดเลยว่าจะได้ข้อมูลอะไรจากปากข้า!”
“จริงรึ?”
มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นหน่อยๆ พลันใช้ขาหนึ่งออกแรงเตะ เขาจึงงอขาทรุดลงคุกเข่าไป มือหนึ่งใช้กลิ่นอายพลังเร้นลับปิดผนึกวรยุทธ์ไว้ ขณะเดียวกันก็ฝืนยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าปาก
“หึ! ไยต้องกรอกยาพิษข้าด้วย? อยากฆ่าก็ฆ่า ข้าจะไม่ร้องขอความเมตตาหรอก!”
ชายวัยกลางคนแค่นเสียงหยัน ยาเม็ดนั้นที่เข้าปากมาอย่างกะทันหัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นยาพิษเจาะลำไส้ เขาไม่กล้าพอจะฆ่าตัวตาย แม้จะไม่เต็มใจตายในเงื้องมือนาง แต่จะไม่ขลาดกลัวแม้แต่สักนิด!
หลังจากปิดผนึกวรยุทธ์เขาไว้ เธอก็เดินออกมาจากด้านหลัง เล่นมีดสั้นในมือ รอยยิ้มอิ่มเอมในดวงตาดูแปลกๆ อยู่บ้าง
“ไม่หรอก เจ้าพูดแน่ ซ้ำยังจะอ้อนวอนเพื่อบอกข้า”
……………………………
ตอนที่ 146 ยาชั้นดี!
เห็นประกายแปลกๆ ในดวงตานาง ใจชายวัยกลางคนพลันสั่นไหว และไม่สงบอยู่เล็กน้อย
“พี่ชาย ท่านลองไปดูทีว่าที่นี่มีของจำพวกคุกใต้ดินอยู่หรือไม่” เฟิ่งจิ่วหรี่สองตาลงยิ้ม ในดวงตาฉายประกายแสนตื่นเต้นใจ
“ได้สิ” แม้กวนสีหลิ่นไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร แต่ยังรีบไปทำตามคำพูดนั้น ค้นหาทั้งด้านนอกด้านในที่พำนักแห่งนี้ที่ก็ไม่นับว่าใหญ่โตอะไรสักรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ ไม่นานนัก ก็เห็นกวนสีหลิ่นกลับมา
“เสี่ยวจิ่ว ที่นี่ไม่มีคุกใต้ดิน แต่มีกรงเหล็กอยู่ คล้ายจะไว้ใช้ขังคน”
“งั้นเอาพวกเขาไปโยนไว้ในห้องกรงให้หมด” เธอส่งสัญญาณ ให้เขาพาชายวัยกลางคนเข้าไปก่อน แล้วกรอกยาให้พวกคนที่เหลือ ถึงจะลากคนไปด้านหลัง
นำพวกเขามาขังไว้ในกรงเหล็ก หลังจากล็อคกรง เฟิ่งจิ่วก็ย้ายเก้าอี้มากะจะหาที่นั่งชมการแสดง จากนั้น เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปทางพี่ชายผู้แสนซื่อข้างกาย กะพริบตาปริบๆ “พี่ชาย ท่านก็อยากดูรึ?”
“ดูอะไร?”
กวนสีหลิ่นทำสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว แค่เห็นนางนำคนพวกนั้นมาขังไว้ในกรงหมดแล้ว ยังจะย้ายเก้าอี้มานั่งดูตรงนี้อีก กลับไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรกันแน่
ฟังคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มหน้าเหยเกน้อยๆ “ไม่มีอะไร พี่ชาย ท่านไปเฝ้าอยู่นอกเรือนเถอะ ระวังจะมีคนของพวกเขาเข้ามานะ” ไล่เขาออกไปก่อนดีกว่า ไม่เช่นนั้น มันก็โสมมเกินไปสำหรับจิตใจอันบริสุทธิ์ของเขา
“ก็ได้ อยู่ที่นี่เจ้าก็ระวังหน่อย หากเกิดอะไรขึ้นค่อยเรียกข้านะ” เขาพยักหน้า เดินออกไปอย่างไม่คิดสงสัยอื่นใด เพื่อมาเฝ้าอยู่นอกเรือน
เห็นเช่นนี้ เธอถึงจะหันรอยยิ้มปลื้มปริ่มกลับมามองที่ชายวัยกลางคนในกรงขัง กล่าวว่า “เจ้าบอกตอนนี้ก็ยังทันนะ ข้าบอกแล้วไง ว่าจะยอมให้ท่านตายง่ายๆ หน่อยก็ยังได้”
สิ้นสุดคำพูด สายตาก็เหลือบมองเหล่าชายชุดดำที่งัวเงียตื่นขึ้นมา เพราะคางถูกเสย ปากจึงปิดไม่สนิท พอผ่านไปสักพักกำลังในร่างถึงกลับมา แต่สุดท้ายวรยุทธ์ก็ถูกชำระล้าง ตอนนี้จึงเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น
ความร้อนรุ่มฉับพลันในร่างกายทำให้เขาตกใจตื่น โดยเฉพาะเมื่อเห็นเหล่าชายชุดดำต่างฉีกเสื้อตัวเองด้วยแววตาพร่ำเพ้อ สีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนไปยกใหญ่ แทบจะกู่ร้องอย่างไร้เสียง
“เจ้า เจ้าใช้ยานั่นกับพวกเรา…!”
ไม่ได้สงสัย แต่มั่นใจแน่นอน ร่างกายเร่าร้อนผิดมนุษย์ ปฏิกิริยาท่าทางของคนพวกนั้นยิ่งไม่ใช่ของปลอม แต่อย่างไรก็นึกไม่ถึงว่านางจะคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้
ต้องรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขาล้วนเป็นชายชาตรีกันทั้งนั้น!
“ปล่อยข้าออกไป! รีบปล่อยข้าออกไปเร็ว!”
เมื่อเห็นคนพวกนั้นต่างดึงเสื้อผ้ากันและกัน ซ้ำหนึ่งในนั้นยังกอดขาเขาไว้พลางดึงกางเกง สีหน้าพลันซีดเผือดไร้สีเลือด ท่าทางตื่นตระหนกก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างไม่อาจปกปิด
“วางใจเถอะ ปริมาณยาที่ข้าใช้กับเจ้ายังน้อยนัก ที่พวกเขากินต่างหากถึงจะหนักกว่า”
นัยน์ตาฉายประกายความสนุกที่เป็นภัยร้าย เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “อยากออกมามีแค่วิธีเดียว บอกสิ่งที่ข้าอยากรู้ออกมาเสียดีๆ เช่นนั้น เจ้าก็ไม่ต้องโดนคนพวกนั้นรุมโทรมแล้ว ไม่งั้นล่ะก็ หึๆ…”
“อ๊าก! ออกไปให้พ้น!”
บุรุษผู้หนึ่งกระโจนไปหา เขาตกใจเสียจนหวีดร้อง ก่อนจะยกขาถีบคนออกไป สองมือจับเขย่าประตูกรงเหล็กไว้แน่น พร้อมแผดเสียงอย่างเสียขวัญ “ปล่อยข้าออกไป! ข้าจะพูด! ข้าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้!”
……………………………